บทที่ 6.1 สุสานอาวุธ
สุสานอาวุธมีชื่อเสียงในด้านความอันตรายมาก เนื่องจากว่าที่นั่นมีอาวุธอันตรายรวมกันอยู่มากมาย เมื่อความชั่วร้ายของพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจึงสามารถสร้างหมอกพิษมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบได้ อีกทั้งมันยังสามารถดึงดูดสัตว์อสูรอันตรายได้อีกด้วย สุสานอาวุธจึงกลายเป็นเหมือนสถานที่รวมตัวของสัตว์อสูรอีกด้วย
แต่เพราะมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสมบัติและอาวุธวิเศษ เหล่านักล่าสมบัติผู้โลภมากทั้งหลายจึงเดินทางเข้าไปในสุสานแห่งนั้นไม่หยุดหย่อน แต่ผู้คนส่วนมากที่เข้าไปในนั้นมักจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์อสูรหรือไม่ก็พิษที่อยู่โดยรอบสุสานอาวุธ หรือบางครั้งพวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าโดยอาวุธชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ที่นั่น
แต่ถึงจะมีผู้คนมากมายตายที่นั่น นักล่าสมบัติก็ยังคงเข้าไปในสุสานอาวุธอย่างไม่กลัวตายอยู่ทุกวัน
เมืองซู ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับสุสานอาวุธมากที่สุดจึงมักจะถูกใช้เป็นสถานที่แวะพักของเหล่านักล่าสมบัติ มันจึงไม่แปลกที่เมืองซูจะพลุกพล่านและคึกคักไปด้วยผู้คนอยู่ทุกวันและฟางเซียนและลู่เหลียนก็ได้เดินทางมาถึงเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ฟางเซียนเดินทางมาที่นี่ก็เพราะภารกิจจากระบบห้ามฆ่าตัวตายนั่นเอง
สามเดือนที่ผ่านมาลู่เหลียนเรียนรู้การใช้คาถาและวิชากระบี่อย่างหนักหน่วง มันถึงเวลาแล้วที่ลู่เหลียนจะต้องมีกระบี่เป็นของตัวเอง นางจึงต้องพาลู่เหลียนมาที่นี่เพื่อให้เขาได้เลือกอาวุธจากสุสานอาวุธตามเรื่องราวดั้งเดิมที่ควรเป็นและแน่นอนว่าเป้าหมายของฟางเซียนไม่ได้มีเท่านั้น นางได้ยินว่าสุสานอาวุธอันตรายมากจึงคิดจะมาหาทางตายในสุสานอาวุธแห่งนั้นนั่นเอง
ระบบห้ามฆ่าตัวตายอวยพรไม่ให้ความหวังของฟางเซียนสำเร็จผลอย่างลับๆ
“ดูเลวร้ายกว่าที่คิด” ฟางเซียนพึมพำพลางพยักหน้าพอใจ ขณะนี้นางได้มาพักอยู่บนชั้นสี่ของร้านน้ำชาซึ่งมีความสูงมาก นางจึงสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆหมอกสีดำที่ลอยปกคลุมสุสานอาวุธได้อย่างชัดเจน
ฟางเซียนดูพอใจมากเพราะเห็นว่ามันเป็นสถานที่เลวร้ายมากกว่าที่คิด
“เตรียมตัวไว้ลู่เหลียน เราจะไปหาอาวุธที่นั่น” ฟางเซียนยิ้มแย้มด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ลู่เหลียนมองฟางเซียนด้วยสายตาจับผิด “คิดจะหาทางตายอีกแล้วหรือ?”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าอยากจะเป็นคนสังหารข้าด้วยตัวเองสินะ? แต่เจ้าเติบโตไม่ทันใจข้าเลย ข้าจึงต้องลองหาทางอื่นบ้างไงล่ะ” ฟางเซียนทำหน้าประมาณว่า มันช่วยไม่ได้เจ้าโตช้าเอง ลู่เหลียนจึงได้แต่ก้มหน้ามองพื้นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ในใจก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองเติบโตเร็วๆ
[โปรดระวังตัวด้วย หากลู่เหลียนได้รับบาดเจ็บบทลงโทษในฐานะที่คุณเป็นอาจารย์แต่ปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองไม่ได้รอคุณอยู่ แต่กลับกันหากคุณปกป้องลูกศิษย์ได้ดีคุณจะได้รับแต้มลบ 100 แต้ม!] ตัวเลขรางวัลเด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบ
ฟางเซียนหน้ามืดเมื่อเห็นตัวเลขเพราะมันน้อยมาก ไม่รู้ว่ามันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระบบมักจะให้แต้มลบของนางน้อยลงและน้อยลง!
“ทำไมแต้มรางวัลปกป้องลู่เหลียนถึงน้อยอย่างนี้? นายอยากให้ฉันปกป้องเขาจริงรึเปล่า? แล้วแต้มรางวัลของภารกิจตามหาอาวุธของฉันและลู่เหลียนล่ะ อย่าบอกนะว่านายจะงกแต้มลบเหมือนกันน่ะ!” ฟางเซียนพูดเสียงต่ำ อดทนที่จะไม่อาละวาดใส่อากาศเหมือนคนบ้า
[รางวัลตามหาอาวุธจะเป็นแต้มลบ 100 แต้มครับ] ระบบตอบเสียงแผ่วเบา
“ระบบ...แต้มโชครอดตายของฉันมีมากเท่าไหร่? ฉันจำผิดไปเองงั้นเหรอว่ามันถูกลบไปแค่นิดเดียว?” ฟางเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคางอย่างใจเย็น
[เอ่อ...แต้มโชครอดตายจากอุบัติเหตุมี 3,499,000 แต้มและแต้มโชครอดตายจากการถูกฆ่ามี 4,333,444 แต้มครับ]
“แต้มรอดตายจากอุบัติเหตุลดไปแค่ 1,000 แต้ม ส่วนแต้มรอดตายจากการถูกฆ่าลดไปแค่ 11,000 แต้ม ยังเหลือแต้มอีกตั้งเยอะ งกทำไม?” แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบแต่ระบบรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของฟางเซียนใกล้ระเบิดแล้ว
[งั้นเพิ่มให้เป็น 500 แต้มก็ได้ครับ] ระบบเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่เต็มใจนัก
“หือ? ช่วยพูดใหม่ได้ไหม ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด” ฟางเซียนเอ่ยถามพลางยิ้ม
ระบบอยากตะโกนออกมาว่า ผมพูดอยู่ในหัวคุณนะ! จะได้ยินไม่ชัดได้ยังไงกัน!
[1,000 ไม่สิ 1,500 แต้ม! ผมให้ได้แค่นี้!]
“ก็ได้” ฟางเซียนยังไม่พอใจมากนักแต่ยอมรับในที่สุด
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงตะโกนขึ้นมา “มีคนฆ่าตัวตายอีกแล้ว ฆ่าตัวตายอีกแล้ว! ลัทธิฆ่าตัวตายมาถึงเมืองแห่งนี้แล้ว!”
เสียงตะโกนนั้นเรียกความสนใจของหลายคนรวมถึงฟางเซียนด้วย นางเคยสงสัยว่าปีศาจงูกินคนนั่นคือหัวหน้าลัทธิฆ่าตัวตาย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะปีศาจงูตายแล้วแต่ลัทธิฆ่าตัวตายก็ยังคงแพร่กระจายออกไปทั่วแคว้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมปีศาจงูถึงพูดคล้ายกับว่ามันเคยล่อลวงให้คนฆ่าตัวตาย? หรือว่ามันจะมีการส่งต่อหน้าที่?
ครุ่นคิดเพราะความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งฟางเซียนก็ไม่สนใจอีกเพราะตอนนี้นางสนใจสุสานอาวุธสุดแสนอันตรายมากกว่า ไม่ต้องรีรออีกต่อไป รีบมุ่งหน้าไปสุสานอาวุธกันเลยดีกว่า!
เมื่อใกล้ไปถึงสุสานอาวุธไม่ว่าใครที่มาถึงก็คงคิดไปในทางเดียวกันว่ามันเป็นสถานที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลยเพราะมันเต็มไปด้วยหมอกพิษ สัตว์อสูรดุร้าย และกลิ่นอายชั่วร้าย ด้วยเหตุนี้เองพื้นดินบริเวณรอบสุสานอาวุธถึงแห้งแล้งและไม่มีแม้แต่วัชพืชเกิดขึ้นมาเลย และยังมีซากศพของมนุษย์และสัตว์ตายเกลื่อนกลาดจนบริเวณรอบข้างสุสานอาวุธได้กลายเป็นสุสานอีกแห่งไปแล้ว มันดูน่าสยองขวัญ
ทว่าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นอยู่กับหมอกพิษของฟางเซียนนางจึงเดินผ่านซากศพเหล่านั้นได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น และอีกไม่กี่ก้าวฟางเซียนก็จะได้เดินเข้าไปในหมอกพิษอันตรายนั่นแล้ว แต่ทว่าจู่ๆ ร่างกายของฟางเซียนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบอีก
[เนื่องจากว่าคุณรู้ว่าหมอกพิษอันตรายถึงชีวิตแต่ก็ยังคิดจะเดินเข้าไปมันจึงถือว่าเป็นการพยายามฆ่าตัวตาย กฎห้ามฆ่าตัวตายจึงทำงาน] ระบบได้กล่าว
“เฮงซวย!” ฟางเซียนสบถออกมา ลู่เหลียนอดไม่ได้ที่จะเหล่ตามองฟางเซียนที่สบถออกมาอย่างไร้เหตุผลในสายตาของเขา
[แต่ไม่ต้องห่วง คุณสามารถเข้าไปในสุสานได้ถ้าใช้พลังปราณคลุมร่างกายไว้ การทำเช่นนั้นมันจะสามารถปกป้องคุณจากหมอกพิษได้อย่างดี] ระบบกล่าวขณะส่งวิธีใช้พลังปราณคลุมร่างกายเข้ามาในหัวของฟางเซียน มันไม่ยากเลยก็แค่หลอมรวมพลังปราณทุกธาตุและสร้างเป็นเกราะคลุมกาย เท่านี้ก็จะได้โล่ป้องกันพิษอันแข็งแกร่ง [อย่าลืมคลุมให้ลู่เหลียนด้วยนะครับเขาจะได้ไม่ตายเพราะหมอกพิษ]
เมื่อถูกบังคับให้รู้วิธีป้องกันตัวจากหมอกพิษกฎห้ามฆ่าตัวตายก็เลยบังคับให้นางสร้างเกราะพลังปราณขึ้นมาเพื่อปกป้องร่างกายของตัวนางเอง
ฟางเซียนเจ็บแค้นใจจนต้องกัดเนื้อในปากตัวเองจนเลือดออก นางรู้สึกเกลียดระบบมากขึ้นไปอีกขั้นแล้วล่ะ...
เมื่อเดินเข้าไปในเขตสุสานอาวุธที่เต็มไปด้วยหมอกพิษท่าทางของฟางเซียนก็เปลี่ยนไป ทั้งที่ตอนแรกดูร่าเริงแจ่มใสดีแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับดูราวกับผีตายซากเสียอย่างนั้น ลู่เหลียนหยุดให้ความสนใจเกราะพลังปราณของฟางเซียนบนร่างของเขาชั่วคราวและหันไปสนใจฟางเซียนแทน
แม้จะอยู่ด้วยกันมาแล้วหลายเดือน แต่เขาก็ไม่อาจคุ้นชินกับอารมณ์และท่าทีของฟางเซียนที่บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้สาเหตุได้เลย
“ท่านอาจารย์” เขาเอ่ยเรียกฟางเซียนเพื่อเรียกสติของนางให้กลับเข้าร่าง
“อย่าออกห่างจากข้าล่ะ” ฟางเซียนบอกลู่เหลียนด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ลู่เหลียนได้แต่พยักหน้ารับด้วยความรู้สึกเป็นห่วงนิดๆ
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะ ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่เสียงคำรามยิ่งดังมากขึ้น ลู่เหลียนมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลาอย่างหวาดระแวง นั่นจึงทำให้เขาไม่ระวังและเกือบสะดุดล้มบ่อยครั้ง
ระบบอดพูดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ว่า [ลู่เหลียนเกือบบาดเจ็บด้วยล่ะ]
หน้าต่างระบบและแต้มบวกลอยขึ้นมาตรงหน้าฟางเซียนแวบๆ
ฟางเซียนหน้ากระตุก นางอยากถามกลับไปว่าเกราะพลังปราณมันปกป้องได้แค่หมอกพิษรึไง!? ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ฟางเซียนก็ยอมลงให้ นางยื่นมือไปจับมือของลู่เหลียน
“จับมือข้าไว้” นางกล่าวสั้นๆ และกระชับมือให้แน่นขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าถ้าเขาสะดุดเขาจะไม่ล้มหน้าคว่ำ
ซึ่งการกระทำนั้นของฟางเซียนมันก็ได้ทำให้ความสนใจของลู่เหลียนหันมาจดจ่ออยู่กับแค่ความอบอุ่นและอ่อนนุ่มบนฝ่ามือเท่านั้น
มันให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยมาก การที่ได้กุมมือใครสักคนเป็นเช่นนี้เองหรือ?
“อย่ามัวแต่เหม่อลอย เดี๋ยวก็ถูกสัตว์อสูรเขมือบลงท้องหรอก” ฟางเซียนกล่าวเตือนและทันใดนั้นภายใต้หมอกพิษหนาก็ปรากฏดวงตาสีแดงก่ำของสัตว์อสูรขึ้นมาให้เห็นเป็นจำนวนมาก หากถูกพวกมันรุมโจมตีพร้อมกันโอกาสรอดชีวิตคงเหลือน้อยนิด แต่การคำนวณของกฎห้ามฆ่าตัวตายไม่ใช่เช่นนั้น มันเห็นทางรอดมากมายเลยทีเดียว กฎห้ามฆ่าตัวตายทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมร่างกายของฟางเซียนให้กำจัดสิ่งที่อันตรายต่อชีวิตของนางด้วยการสร้างเปลวเพลิงสีแดงฉานออกมาแผดเผาสัตว์อสูรทุกตัวที่เข้ามาใกล้จนภายใต้เงามืดของหมอกสว่างจ้าเพราะเปลวไฟ
ฟางเซียนยืนมองซากไหม้เกรียมของสัตว์อสูรด้วยสายตาสิ้นหวังและปลงตก
ไม่ว่าจะเป็นงูพิษ แมงป่องพิษ และสัตว์อสูรมีพิษชนิดอื่นๆ พวกมันต่างก็ถูกเผาจนไม่เหลือซาก แต่ดูเหมือนว่าวิธีการกำจัดสัตว์อสูรจะไม่ถูกต้องเพราะแสงสว่างของไฟได้เรียกสัตว์ตัวอื่นๆ เข้ามาหา รวมถึงมนุษย์ที่ต้องการสมบัติในสุสานอาวุธ
“หัวหน้าใหญ่ นั่นจะเป็นไฟของผู้บำเพ็ญเพียรหรือไม่?” นักล่าสมบัติเอ่ยถาม
“เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่ผิดแน่ ข้าสัมผัสได้!” หัวหน้ากลุ่มนักล่าสมบัติกล่าวด้วยสีหน้าราวกับได้พบโชคลาภ
พวกเขาทั้งห้าคนคือนักล่าสมบัติ รู้วิชาวรยุทธ์ซึ่งเป็นเพียงวิชาการต่อสู้และการใช้พลังจากกำลังภายในซึ่งเป็นเพียงการฝึกตนอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกมีกำลังมหาศาลเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถใช้พลังปราณหรือคาถาได้อย่างเช่นผู้บำเพ็ญเพียร มันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะสามารถรอดออกไปจากสุสานอาวุธได้ แม้ว่าจะมียาแก้พิษของหมอกพิษแล้วก็ตามแต่พวกเขาก็อาจจะถูกสัตว์อสูรฆ่าตายอยู่ดี
เมื่อพบคนที่น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรพวกเขาจึงมีความคิดอยากจะขอพึ่งใบบุญจากผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าไปในสุสานอาวุธ พวกเขาไม่รอช้าที่จะวิ่งตรงไปยังต้นกำเนิดเปลวไฟสีแดงนั่น
“ท่านเซียน! โปรดรอสักครู่!” หัวหน้ากลุ่มนักล่าสมบัติตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อเห็นเงาของใครบางคนในหมอก และ ‘ท่านเซียน’ ที่เขาพยายามตะโกนเรียกก็หันมามองด้วยสีหน้ายุ่งเหยิงคล้ายกำลังหงุดหงิดอยู่ แต่ ‘ท่านเซียน’ ในสายตาของเหล่านักล่าสมบัติยังคงดูงดงามและน่าหลงใหลอย่างมาก พวกเขาถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ
ซึ่งในขณะที่นักล่าสมบัติยังไม่ทันสังเกตเห็นลู่เหลียน ลู่เหลียนก็รีบดึงหมวกของผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวเพื่อปกปิดเส้นผมสีขาวและหงอนนกยูงของตนเอง
“มีอะไร” ฟางเซียนถามเสียงห้วน กลุ่มนักล่าสมบัติจึงได้หลุดออกจากภวังค์
“คือว่า! พวกเราขอติดตามท่านเซียนไปด้วยได้รึไม่?” หัวหน้านักล่าสมบัติเอ่ยขอร้องพลางมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้า ในสุสานอาวุธแห่งนี้อันตรายมากแต่ไม่ว่าจะส่วนไหนบนร่างกายของหญิงสาวคนนั้นมันก็ไม่มีรอยเปื้อนเลย อีกทั้งข้างกายของหญิงสาวคนนั้นยังมีเด็กคนหนึ่งติดตามมาด้วย ปกติแล้วไม่มีใครที่ไหนเขาพาเด็กมาที่แห่งนี้แน่นอน นั่นหมายความว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องมีความสามารถและความมั่นใจในตัวเองสูงมากแน่
“พวกเรามีเหตุจำเป็นที่ต้องเข้าไปในสุสานอาวุธขอรับ แต่ที่นั่นอันตรายยิ่งนักพวกเราจึงคิดว่าหากเกาะกลุ่มกันไว้จะปลอดภัยยิ่งกว่า” นักล่าสมบัติคนหนึ่งกล่าว
“พวกเราพอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เป็นตัวถ่วงของท่านแน่นอนขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ! ขอให้พวกข้าติดตามไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ!”
ฟางเซียนรำคาญเสียงของคนพวกนั้นจึงไม่ตอบและเดินหนีทันที นักล่าสมบัติกลุ่มนั้นจึงเข้าใจผิดว่าฟางเซียนตอบตกลง พวกเขาประสานหมัดคำนับและกล่าวขอบคุณก่อนจะวิ่งตามฟางเซียนไปติดๆ สำหรับนักล่าสมบัติทุกอย่างดูราบรื่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ติดตามฟางเซียนเพราะฟางเซียนจัดการเผาพวกสัตว์อสูรจนกลายเป็นเถ้าถ่านจนหมดในพริบตา พวกเขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับพวกสัตว์อสูรเลยสักนิด
การติดตาม ‘ท่านเซียน’ คงเป็นความคิดที่ถูกต้อง!
“ท่านเซียน ท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก” พวกเขาสรรเสริญเยินยอฟางเซียนไม่หยุดจนคนถูกสรรเสริญเริ่มรำคาญกับเสียงโหวกเหวกของพวกเขา แต่ก่อนที่ฟางเซียนจะได้หมดความอดทนพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธหลากหลายรูปแบบและมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นกว่าบริเวณอื่น ซากโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์โดยรอบบ่งบอกถึงความอันตรายของพวกมันได้อย่างดี
แต่นักล่าสมบัติทั้งห้าคนหาสนไม่ พวกเขารีบวิ่งเข้าหาอาวุธมีค่าเหล่านั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว! ไม่คิดเลยว่าจะง่ายเช่นนี้!” นักล่าสมบัติคนหนึ่งเอ่ย
“ต้องขอขอบคุณท่านเซียนยิ่งนัก!”
“ขอบคุณท่านเซียน!” พวกเขากล่าวขอบคุณฟางเซียนและหันไปสนใจกองอาวุธทั้งหลาย แม้พวกมันจะดูสกปรกไปบ้างแต่หากทำความสะอาดเสียหน่อยพวกมันก็จะเผยความงามออกมาได้อย่างแน่นอนและถ้าหากเอาพวกมันไปขายพวกเขาคงได้เงินดีไม่น้อย
และในขณะที่นักล่าสมบัติกำลังยินดีกับการที่ได้กอบโกยอาวุธและของวิเศษมากมายเข้ากระเป๋าลู่เหลียนก็พยายามมองหาอาวุธประจำกายของตัวเอง
“ข้าต้องเลือกอาวุธสักอย่างในนี้ใช่หรือไม่ขอรับ? ถ้าเช่นนั้นข้าควรเลือกอันไหน?” ลู่เหลียนถามฟางเซียน และฟางเซียนก็ไปถามระบบต่อ
แต่ระบบก็ตอบว่า [ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาครับ] มันฟังดูไร้ความรับผิดชอบไม่น้อย
“ถูกใจอันไหนก็เอาไปเถอะหรือจะเอาไปหมดก็ได้” ฟางเซียนบอกกับลู่เหลียนเช่นนั้นและปล่อยให้ลู่เหลียนออกตามหาอาวุธแห่งโชคชะตาของตัวเองในกองอาวุธที่มีมากกว่าหมื่นล้านชิ้นขึ้นไป กว่าจะหาอาวุธแห่งโชคชะตาพบคงจะต้องเสียเวลาและเสียแรงไม่น้อย ฟางเซียนยืนสบายใจและเอาใจช่วยลู่เหลียนในใจ