บทที่ 6.2 สุสานอาวุธ

3507 Words
บทที่ 6.2 สุสานอาวุธ [ภารกิจใหม่ คุณจะต้องมีอาวุธประจำกายเป็นของตัวเอง รางวัล แต้มลบ 100 แต้ม เพราะงั้นคุณฟางเซียนโปรดเลือกอาวุธของตัวเองด้วยครับ] ระบบส่งภารกิจใหม่มาให้ ฟางเซียนก็เลยต้องมองหาอาวุธให้กับตัวเองบ้าง... “ในกองขยะพวกนั้นเนี่ยนะ!? ไปหาซื้อมันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ!?” ฟางเซียนโวย ฟางเซียนเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมพวกนางไม่ไปซื้ออาวุธใหม่จากร้านขายอาวุธแทนที่จะถ่อมาหาอาวุธในสุสานซึ่งส่วนมากพวกมันจะดูสกปรกมาก แต่ฟางเซียนก็ต้องเลือกเอาสักอัน นางจึงลองเดินหาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งห่างจากลู่เหลียนไปเรื่อยๆ เมื่อเดินมาได้ไกลพอสมควรแล้วฟางเซียนก็ยังไม่พอใจกับอาวุธสักอันเพราะพวกมันดูไม่สวยเอาเสียเลย นางลองหยิบกระบี่ขึ้นมาดูหลายเล่มแต่ก็โยนทิ้งไปหลายเล่มแล้วเช่นกัน จนกระทั่งนางบังเอิญหยิบกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมา ปลายด้ามจับของมันมีรูปร่างเหมือนหัวงูสีทองและตัวกระบี่มีสีดำสนิท ดูดีไม่น่าเกลียด อีกทั้งขนาดของมันก็ไม่ใหญ่เกินไปและน้ำหนักของมันก็กำลังพอดี มันเหมาะกับนางไม่น้อย “เล่มนี้แล้วกัน” ฟางเซียนพึมพำกับตัวเอง ‘หากเจ้าใช้งานข้า ข้าก็จะกลืนกินเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่วิญญาณ! ฮ่าฮ่าฮ่า!’ “หือ?” ฟางเซียนมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งโทนเย็นยะเยือกดังเข้ามาในหัว มันไม่ใช่เสียงระบบแน่นอน แล้วมันเป็นเสียงของใครกัน? [เสียงที่คุณได้ยินเมื่อครู่ก็คือเสียงของกระบี่ในมือของคุณครับ เนื่องจากว่ามันเป็นกระบี่ที่มีจิตวิญญาณร้ายสิงสู่มันจึงถูกเรียกว่ากระบี่ต้องสาป แต่มันเรียกตัวเองว่า เสอโหย่วตู๋] เมื่อได้รับคำอธิบายจากระบบฟางเซียนจึงร้องอ๋ออย่างเข้าใจ “งั้นเลือกเล่มนี้ล่ะ” ฟางเซียนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ‘อ้าวเฮ้ย! ข้าบอกว่าข้าจะกลืนกินวิญญาณเจ้านะ! วางข้าลงสิ!’ เสียงโวยวายของกระบี่ต้องสาปดังเข้ามาในหัวของฟางเซียน แต่ฟางเซียนเมินเฉยเสียงประท้วงของมันและกำมันไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น ‘เดี๋ยว! เจ้าได้ยินข้ารึเปล่า! วางข้าลงเลยนะไม่อย่างงั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ! รู้ไว้ซะด้วยว่าข้าสามารถสร้างพิษร้ายแรงออกมาได้ หากเจ้าได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายไปแค่นิดเดียวเจ้าก็จะไม่มีแม้แต่เวลาจะร้องขอชีวิตอย่างแน่นอน! และอีกอย่างตัวของข้านั้นสามารถปล่อยไอพิษออกมาได้ตลอดเวลา หากเจ้าสูดดมเข้าไปในปริมาณมากสักวันเจ้าก็จะต้องเป็นโรคร้ายและตายในที่สุด! เฮ้ย! ได้ยินรึเปล่า!’ กระบี่ต้องสาปพยายามตะโกนบอกสรรพคุณของตัวมันเองอย่างสุดความสามารถเพราะอยากให้ฟางเซียนวางมันลง แต่น่าเศร้าที่กระบี่เล่มนั้นไม่รู้เลยว่ายิ่งมันพยายามอธิบายสรรพคุณของตัวมันเองมากเท่าไหร่ฟางเซียนก็ยิ่งอยากได้มันมากเท่านั้น... ในขณะเดียวกันลู่เหลียนและเหล่านักล่าสมบัติที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสุสานอาวุธก็กำลังประสบโชคร้าย เนื่องจากว่าพวกเขาสนใจกองอาวุธตรงหน้ามากเกินไปจึงไม่ทันได้ระวังรอบตัวและบังเอิญเข้าไปเหยียบถิ่นที่อยู่ของฝูงงูยักษ์อย่างไม่ได้ตั้งใจ ในขณะนี้สัตว์อสูรงูยักษ์มากกว่าสิบตัวได้ปิดล้อมทางหนีพวกเขาไว้แล้ว “ทำอย่างไรกันดี” นักล่าสมบัติคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ข้าไม่รู้!” หัวหน้าของกลุ่มนักล่าสมบัติตอบด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านเซียนล่ะอยู่ไหน!?” เขาถามหาฟางเซียนซึ่งเป็นความหวังเดียว แต่ทุกคนกลับตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “ไม่รู้!” “ไร้ประโยชน์! แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะรู้รึเปล่าว่าท่านเซียนหายไปที่ใด!?” หัวหน้านักล่าสมบัติหันไปถามลู่เหลียนแทนและหวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ แต่ลู่เหลียนก็ส่ายหัวเป็นคำตอบ พวกเขาผิดหวังและไม่ให้ความสนใจกับลู่เหลียนอีก นักล่าสมบัติทั้งห้าคนหันหลังเข้าหากันและพยายามหยิบอาวุธแถวนั้นขึ้นมาใช้โจมตีงูยักษ์พวกนั้น แต่การโจมตีของพวกเขาก็ไม่ค่อยได้ผลนัก พวกเขาทำได้เพียงทำให้พวกมันผงะไปข้างหลังเล็กน้อยเท่านั้น ตรงกันข้ามกับลู่เหลียนซึ่งสามารถใช้พลังปราณซัดพวกมันจนล้มกลิ้งได้ แต่เขาคงทำเช่นนี้ได้อีกไม่นานเพราะเขาไม่ได้มีกำลังพอที่จะสังหารพวกมันทั้งหมดได้ เขาทำได้เพียงต้านพวกมันไว้เท่านั้น ลู่เหลียนต่อสู้กับงูพวกนั้นอย่างทุลักทุเลและสุดท้ายเขาก็พลาดท่าถูกหางงูฟาดจนกระเด็น ในตอนนั้นเองผ้าคลุมของเขาก็บังเอิญหลุดออกจนเผยให้เห็นหางและหงอนนกยูงของเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขามีเชื้อสายปีศาจ “เด็กนั่นเป็นปีศาจ!” นักล่าสมบัติคนหนึ่งตะโกนออกมา “เด็กนั่นอาจจะดึงดูดพวกสัตว์อสูรก็ได้! ผลักมันออกไป!” หัวหน้านักล่าสมบัติคิดอย่างนั้นจึงสั่งให้ลูกน้องของตัวเองโยนลู่เหลียนไปให้พวกงูยักษ์พวกนั้น ทั้งที่หากไม่มีลู่เหลียนคอยต้านงูยักษ์พวกนั้นเอาไว้พวกเขาคงถูกกินไปแล้ว “พวกเจ้า!” ลู่เหลียนมองพวกนักล่าสมบัติด้วยท่าทีแข็งกร้าวเมื่อถูกต้อนให้ไปอยู่ท่ามกลางฝูงงูยักษ์อย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าเขาจะได้รับการปกป้องจากเกราะพลังปราณของฟางเซียน แต่ถ้าหากเกราะแตกสลายเมื่อใดเขาก็คงจะตายทันที เขาจึงพยายามหลบหนีออกจากวงล้อมของงูยักษ์ แต่เขาก็หนีไม่พ้นและถูกงูงาบเข้าไปในปาก เขี้ยวพิษในปากของมันเกือบจะแทงทะลุร่างของเขาแล้วหากเขาไม่มีเกราะพลังปราณ แต่เขี้ยวพิษนั่นก็ได้ทำให้เกราะพลังปราณมีรอยร้าว ลู่เหลียนรีบซัดพลังเข้าใส่ดวงตาของงูยักษ์เพื่อเอาตัวรอด เมื่อมันเผลอปล่อยเขาให้ร่วงลงบนพื้นเขาก็รีบสุ่มคว้าอาวุธในกองสุสานอาวุธขึ้นมาเพื่อใช้ต่อกรกับงูยักษ์ที่ยังคงเลื้อยตามเขามาหวังจะกลืนกินให้ได้ ทว่าสิ่งที่เขาคว้ามาได้กลับเป็นแค่พัดด้ามจิ้วอันหนึ่ง ลู่เหลียนชะงักกับสิ่งที่ตัวเองคว้ามาได้แต่ก่อนจะได้โยนมันทิ้งเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่สามารถเข้ากับพลังของตัวเองได้ดี อีกทั้งพัดด้ามจิ้วด้ามนี้ยังยอมรับให้เขาเป็นเจ้านายอีกด้วย เพราะได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้านายลู่เหลียนจึงสามารถรับรู้ถึงรูปลักษณ์อีกอย่างของมันได้อย่างชัดเจน เมื่องูยักษ์พวกนั้นฉกหัวลงมาอีกครั้งลู่เหลียนก็ได้สะบัดพัดด้ามจิ้วในมือตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นพัดด้ามจิ้วก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นกระบี่สีแดงคล้ำเล่มหนึ่ง ลู่เหลียนรีบใช้กระบี่ในมือแทงไปที่ปากของงูยักษ์ที่กำลังอ้าปากทันที และทันใดนั้นงูยักษ์ก็คำรามออกมาอย่างทรมานและต่อมามันก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น จากนั้นในปากของมันและเลือดของมันก็ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะเจือปนพิษร้าย ดูเหมือนว่ากระบี่ในมือของลู่เหลียนจะมีพิษและพิษของมันก็ร้ายแรงยิ่งกว่าพิษของงูพิษเสียอีก แต่ยังไม่ทันที่ลู่เหลียนจะได้ชมผลงานของตัวเองอย่างเต็มตางูยักษ์ที่เหลืออยู่ก็พุ่งมาโจมตีเขาพร้อมกัน ลู่เหลียนพยายามปัดป้อง แต่ก็หลบไม่พ้นทั้งหมด สุดท้ายแล้วเกราะพลังปราณของฟางเซียนที่ร้าวอยู่แล้วก็แตกสลาย ลู่เหลียนสูดดมหมอกพิษเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจากนั้นร่างกายของเขาก็มีอาการอ่อนแรงทันที แค่ยืนตรงเขาก็แทบจะทำไม่ได้ เมื่อถูกโจมตีลู่เหลียนจึงไม่สามารถหลบการโจมตีได้และถูกหางงูปัดกระเด็นจนหมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นวิ่งหนี ความหวาดกลัวต่อความตายเข้าเกาะกุมจิตใจของลู่เหลียนทันที ในช่วงเวลานั้นเขานึกถึงคนเพียงคนเดียวเท่านั้น... ในตอนนั้นเองภายใต้หมอกพิษเงาเลือนรางของใครบางคนได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับประกายแสงจากกระบี่สีดำทมิฬและต่อมาหัวของงูยักษ์ก็ขาดสะบั้นพร้อมกันถึงสามตัว แม้ภาพที่เห็นจะพร่าเลือนแต่ลู่เหลียนก็แน่ใจว่าคนคนนั้นคือฟางเซียนอย่างแน่นอนเพราะไม่มีใครอื่นแล้วที่จะช่วยเหลือและดีกับเขาเท่าฟางเซียน ลู่เหลียนยิ้มกว้างให้ฟางเซียน เขารู้สึกดีใจมากเกินไปจึงลืมไปว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะหมอกพิษเสียอย่างนั้น “ลู่เหลียน! ยังไม่ตายใช่ไหม?” เมื่อจัดการกับพวกงูยักษ์พิษพวกนั้นหมดแล้วฟางเซียนก็รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างเล็กของลู่เหลียนขึ้นมาอุ้ม ในขณะนี้ลู่เหลียนไม่แม้แต่จะตอบสนองคำถามของนาง เขาเหม่อมองนางด้วยสติอันเลื่อนลอย ฟางเซียนรับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของลู่เหลียนจึงรีบมาหาเขา แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป ตอนนี้ลู่เหลียนได้รับหมอกพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว แม้ว่านางจะสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องเขาใหม่มันก็ไม่สามารถกำจัดพิษที่อยู่ในร่างกายของลู่เหลียนได้ [พวกนักล่าสมบัติมียาถอนพิษครับ!] ระบบรีบบอกฟางเซียน ฟางเซียนจึงรีบมองหาพวกนักล่าสมบัติ “ท่านเซียนขอรับช่วยพวกเราด้วย!” พวกนักล่าสมบัติเหมือนจะมีญาณรับรู้ว่าฟางเซียนกำลังมองหาตัวเองอยู่พวกนั้นจึงตะโกนขอความช่วยเหลือดังลั่น ฟางเซียนรีบวิ่งไปหาต้นเสียงและก็พบว่านักล่าสมบัติเหลือกันอยู่เพียงแค่สองคน คาดว่าอีกสามคนน่าจะถูกกินไปแล้ว เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ยาถอนพิษฟางเซียนจึงรีบใช้กระบี่ในมือหั่นงูทุกตัวเป็นชิ้นเนื้อ ในตอนนี้ความเมตตาของฟางเซียนที่มีต่อสิ่งมีชีวิตร่วมโลกได้หายไปหมดสิ้นแล้ว... ‘อย่าเอาข้าไปแทงพวกงูน่าขยะแขยงพวกนั้นนะ!’ กระบี่ต้องสาปในมือของฟางเซียนส่งเสียงโวยวาย “แกเป็นอาวุธไม่ใช่เรอะ!” ฟางเซียนตวาดใส่กระบี่ในมืออย่างโมโหขณะใช้มันแทงเข้าไปที่ดวงตาของงูยักษ์ ‘ไม่นะร่างกายอันงดงามของข้า วางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!’ กระบี่ต้องสาปกรีดร้อง ฟางเซียนเมินเสียงกรีดร้องของมันและใช้มันฟาดฟันงูยักษ์ต่อไปจนกระทั่งงูยักษ์ตายหมด ซึ่งกว่าที่พวกมันจะตายหมดนางก็เสียเวลาไปไม่น้อยนางจึงต้องรีบไปขอยาถอนพิษจากนักล่าสมบัติเพื่อเอาไปให้ลู่เหลียนกินก่อนที่ลู่เหลียนจะทนพิษไม่ไหวและตายไปเสียก่อน และเมื่อได้ยาถอนพิษมาแล้วนางก็นำไปให้ลู่เหลียนดื่มแต่เขากลับสำลักยาออกมาและไม่ยอมกลืนยาลงไป “ลู่เหลียนอย่าดื้อ” นางเอ่ยเสียงดุ แต่ว่าลู่เหลียนในตอนนี้ไม่มีสติพอจะเข้าใจสิ่งที่นางพูดเลย “คงไม่มีทางเลือกแล้ว” นางพึมพำกับตัวเอง ฟางเซียนยกขวดยาถอนพิษขึ้นดื่มแต่ไม่ได้กลืนลงไป นางอมยาไว้ในปากและโน้มใบหน้าเข้าไปหาลู่เหลียนจนกระทั่งริมฝีปากของนางประกบกับริมฝีปากเล็กของลู่เหลียน นางบังคับให้เขาเปิดปากและดื่มยาถอนพิษจากปากของนาง หากเขาไม่ยอมกลืนนางก็จะบีบจมูกของเขาและกดริมฝีปากอยู่อย่างนั้น สุดท้ายลู่เหลียนก็ต้องยอมกลืนยาถอนพิษลงไป ลู่เหลียนดึงสติอันน้อยนิดของตัวเองกลับมาได้เล็กน้อยหลังจากดื่มยาขมลงไป เขาหรี่ตามองฟางเซียนด้วยความงุนงง เมื่อครู่สติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่ทว่าเขาก็รู้สึกถึงริมฝีปากอันร้อนระอุ อ่อนนุ่ม และเปียกชื้นของฟางเซียนชัดเจน มันคืออะไรกัน ทำไมเขารู้สึกชอบมันมากจนน่าประหลาด... “ได้อาวุธรึยัง? ถ้าได้แล้วจะได้กลับกันเลย” ฟางเซียนเอ่ยถาม ลู่เหลียนหันไปมองกระบี่สีแดงคล้ำเล่มหนึ่งเป็นคำตอบ เมื่อฟางเซียนไปหยิบมันขึ้นมากระบี่สีแดงคล้ำเล่มนั้นมันก็กลายเป็นพัดด้ามจิ้วสีขาวด้ามหนึ่ง ฟางเซียนคิดว่ามันเป็นอาวุธที่น่าสนใจจึงไม่ได้แย้งที่ลู่เหลียนเลือกเล่มนี้และเก็บพัดด้ามนั่นไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นนางก็เตรียมเดินออกไปจากสุสานอาวุธแห่งนี้พร้อมกับลู่เหลียนในอ้อมแขน แต่นักล่าสมบัติสองคนที่เหลือกลับรีบห้ามฟางเซียนไว้ก่อน “โปรดรอสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ” พวกเขาพูดเช่นนั้นก่อนจะรีบโกยสิ่งมีค่าใส่กระเป๋ามิติ ทั้งที่เพิ่งสูญเสียเพื่อนร่วมเดินทางไปถึงสามคนแท้ๆ แต่ก็ยังมีอารมณ์มาห่วงสมบัติอีกนะ จิตใจมีแต่ความโลภจนไม่ห่วงแม้แต่ชีวิตของตัวเอง เพราะความโลภนี้เองพวกเขาจึงไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าอาวุธที่ถูกทิ้งในสุสานอาวุธแห่งนี้อันตรายเพียงใด นักล่าสมบัติคนหนึ่งได้เลือกหยิบกระบี่สีเลือดเล่มหนึ่งขึ้นมา ‘เจ้ากระบี่เลวเล่มนั้นนี่น่า’ กระบี่ต้องสาปในมือของฟางเซียนพูดขึ้นมา “อ้าก!” ยังไม่ทันได้นึกเอะใจกับคนพูดของกระบี่ต้องสาป นักล่าสมบัติที่จับกระบี่สีเลือดก็กรีดร้องออกมาคล้ายกับคนเสียสติ “จะ เจ้าเป็นอะไรไป!” นักล่าสมบัติอีกคนเดินเข้าไปหาเพื่อนด้วยความกลัว ‘เจ้าน่าจะเตือนชายคนนั้นนะ กระบี่เลวเล่มนั้นไม่เลือกคนที่มันอยากดื่มเลือดหรอก’ กระบี่ต้องสาปได้เอ่ยเตือนฟางเซียน แต่ก็ช้าไปเพราะต่อมานักล่าสมบัติผู้ถูกกระบี่สีเลือดครอบงำก็ได้สังหารเพื่อนของตัวเองเสียแล้ว “เป็นบ้าอะไรเนี่ย” ฟางเซียนสบถและถอยหลังให้ห่างจากนักล่าสมบัติที่เสียสติ ในใจของนางไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองเพราะนางห่วงชีวิตของคนในอ้อมแขนมากกว่า แม้จะได้รับยาถอนพิษแล้วแต่นางก็อยากจะรีบพาเขาไปหาหมอและตรวจร่างกายเพื่อดูว่าเขาปลอดภัยจริงหรือเปล่า แต่เหมือนกับว่ามีบางอย่างไม่ต้องการให้นางออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ ไม่เพียงแค่มีคนเสียสติออกอาละวาดไล่ฟันคน ภายใต้หมอกพิษหนายังได้มีบางสิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ สิ่งนั้นมีขนาดลำตัวใหญ่และยาวและมีเกล็ดสีทอง “งูสีทอง?” ฟางเซียนพึมพำพลางขมวดคิ้ว นางคิดว่างูยักษ์สีทองนั่นต้องทำให้นางยุ่งยากแน่เพราะมันมีขนาดใหญ่กว่าฝูงงูที่นางเพิ่งกำจัดไปตั้งหลายเท่า [ไม่ใช่งูสักหน่อยครับ มีขาและมีเขาแบบนั้นต้องเป็นมังกรแน่! ผมขอเวลาตรวจสอบสักหน่อยแล้วกันครับว่ามังกรมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง] ระบบพูดก่อนจะเงียบหายไป ในขณะเดียวกันนักล่าสมบัติผู้ถูกครอบงำโดยกระบี่สีเลือดก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและไร้เหตุผล “ตาย! ตาย! ตายให้หมด! ฮ่าฮ่าฮ่า!” เขาตะโกนคำว่าตายและหัวเราะออกมาจากนั้นเขาก็หันปลายกระบี่เข้าหาตัวเองและแทงลงตรงกลางหัวใจ นักล่าสมบัติคนสุดท้ายฆ่าตัวตาย ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่มีคนฆ่าตัวตายต่อหน้าฟางเซียน คิดจะเยาะเย้ยที่นางฆ่าตัวตายไม่ได้รึไง! ฟางเซียนคิดอย่างหัวเสีย ทันใดนั้นงูยักษ์...ไม่สิ มังกรสีทองนั่นก็ส่องแสงเจิดจ้าในความมืดภายใต้หมอกหนาและมันก็หายไป ฟางเซียนมองไปรอบด้านที่มีเพียงความเงียบงันและกลิ่นอายเย็นของความมืด นางมีลางสังหรณ์ว่านางอาจได้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา ซึ่งลางสังหรณ์ของฟางเซียนมันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ในขณะที่ฟางเซียนกำลังเดินทางออกจากสุสานอาวุธ นางไม่อาจจับสัมผัสได้เลยว่ามีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาใกล้นางจากทางด้านหลังจนกระทั่งนางก็รู้สึกเจ็บบนไหล่ซ้ายเพราะถูกกระบี่ของใครก็ไม่ทราบแทงจากทางด้านหลัง ทั้งที่มีเกราะคลุมกายอยู่แท้ๆ แต่กระบี่เล่มนี้กลับสามารถเข้ามาทำร้ายนางได้ มันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน [คุณฟางเซียน! ผมมีข่าวมาบอก! มังกรทองนั่นก็คือจ้าวหลงเทียน พระเอกของโลกนี้ครับ!] ระบบได้ตะโกนบอกนางเมื่อมันกลับมา [อ๊ะ เกิดอะไรขึ้นทำไมคุณถึงบาดเจ็บ!] นางไม่ได้สนใจเสียงอุทานของระบบ นางสนใจพระเอกของโลกนี้ที่ระบบกล่าวถึงมากกว่า เขาอยู่ที่นี่? หรือว่าเจ้าของกระบี่ที่แทงไหล่ของนางจะเป็นของ... “ข้าเห็นเจ้ายืนดูชายผู้นั้นฆ่าตัวตาย เจ้าคือผู้นำลัทธิฆ่าตัวตายใช่หรือไม่!?” เสียงของชายหนุ่มที่น่าจะเป็นคนใช้กระบี่ทำร้ายนางตะโกนถามด้วยน้ำเสียงดุดัน เมื่อฟางเซียนหันหน้าไปมองนางก็พบกับชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ไม่ว่าจะคิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก และรูปของใบหน้า ทุกอย่างล้วนดูโดดเด่น แต่สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดคงไม่พ้นนัยน์ตาและเส้นผมสีทอง รวมถึงเขามังกรสีขาวบริสุทธิ์คู่นั้นบนศีรษะด้วย รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่ผิดแน่จ้าวหลงเทียน พระเอกของโลกนี้! ฟางเซียนอยากจะยิ้มและหัวเราะที่จะได้ตายด้วยน้ำมือของพระเอกของโลกนี้ แต่เพราะรู้สึกเจ็บมากเกินไปจึงส่งเสียงหัวเราะไม่ออก ถึงจะอยากตายแต่ก็ไม่ได้ชอบความเจ็บปวดเสียหน่อย นางคิดพลางกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลและความเจ็บปวดจากพิษด้วยเพราะดูเหมือนว่าเกราะพลังปราณของนางถูกทำลายจากการโจมตีของพระเอกจนนางต้องสูดหายใจเอาหมอกพิษเข้าปอดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ทันที่จ้าวหลงเทียนหรือฟางเซียนจะได้กล่าวอะไรอีกไฟลูกหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าไปโจมตีจ้าวหลงเทียน ซึ่งมันก็เป็นฝีมือของลู่เหลียนที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของฟางเซียน เขาได้ฝืนใช้พลังโจมตีจ้าวหลงเทียนทั้งที่ร่างกายยังคงอ่อนแอ “เจ้า...ทำร้ายอาจารย์ของข้า!” ลู่เหลียนตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้า...”จ้าวหลงเทียนชะงักเมื่อเห็นลู่เหลียน ในตอนแรกเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กคนนี้เลย อาจจะเพราะพลังชีวิตที่อ่อนแอเหมือนใกล้ตายของเขา “ทำไมเจ้าถึงได้โจมตีอาจารย์ของข้า!” ลู่เหลียนตะโกนถามขณะเดียวกันก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อย “ข้าคิดว่านางคือผู้นำลัทธิฆ่าตัวตาย...”จ้าวหลงเทียนตอบเสียงเบาเพราะเมื่อได้เห็นสีหน้าของลู่เหลียนแล้วทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจและสับสนในความคิดของตน “เจ้าโง่! ท่านอาจารย์ของข้าไม่มีทางเป็นผู้นำลัทธินั่นอย่างแน่นอนเพราะนางเคยตกเป็นเหยื่อเสียด้วยซ้ำ!” ปีศาจกินคนเคยใช้หน้าตาของฟางเซียนไปล่อลวงผู้คนลู่เหลียนจึงได้บอกว่านางเป็นเหยื่อนั่นเอง ซึ่งเมื่อจ้าวหลงเทียนได้ยินดังนั้นเขาก็มีสีหน้าตกใจและรู้สึกผิดอย่างมาก “ข้า...ไม่รู้เลย ข้าขออภัยอย่างยิ่งและเพื่อเป็นการไถ่โทษข้าจะช่วยรักษาเจ้าเอง”จ้าวหลงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ฟางเซียนแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความโมโห “ไม่ต้อง! ไม่ต้องมารักษาข้า!” ฟางเซียนปฏิเสธการรักษาอย่างดื้อดึง “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอีกครั้งอย่างแน่นอน”จ้าวหลงเทียนกล่าวและแสดงสีหน้าจริงจังและหนักแน่นเพื่อให้ฟางเซียนได้เห็นว่าเขาจะไม่ผิดคำพูด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฟางเซียนต้องการเลยสักนิด!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD