หลี่ซีเหมยมองตามสายตาของป้าก็เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงเข้าใจผิด เธอผลักมือที่ยื่นเงินมาให้กลับคืนไป พร้อมอธิบายอย่างใจเย็น
“ฉันเพิ่งเอาหนังสือไปให้พี่เต๋า ได้ยินว่ามีคนในบ้านยังเรียนมัธยมปลายอยู่”
“อาเหมยช่างจิตใจดีเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นก็หาซื้อตำราเล่มใหม่ ๆ มาอ่านเถอะ เราไม่ได้ขาดเงินหรอกนะจ๊ะ” ผู้เป็นป้ายังไม่วายยื่นเงินกลับคืนให้ แต่ก็ต้องโดนผลักกลับมาอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ต้องอ่านตำราแล้ว”
“ได้ที่ไหนกันล่ะ ถึงอาเหมยของป้าจะเก่งฉลาดมาตั้งแต่เล็ก แต่คนเราเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกนะ หลานจะถือว่าตนเองเก่งแล้วไม่ได้” พูดจบหลี่หงก็วางเงินไว้บนเอกสารเหล่านั้น
“ฉันแค่ไม่จำเป็นต้องอ่านบทเรียนของชั้นมัธยมปลายแล้วจริง ๆ เพราะฉันได้รับใบจบมาแล้ว” หลี่ซีเหมยตัดสินใจอธิบายด้วยคำพูดยืดยาวที่สุด ทำให้หลี่หงที่ได้ยินนิ่งค้างจนจับใจความไม่ได้ คิดอยู่นานถึงได้เข้าใจคำพูดของหลานสาว
“หลาน…หลานบอกว่าอะไรนะ” ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อคำพูดของหลาน แต่มันเหลือเชื่อเกินไปต่างหากล่ะ
“...” หลี่ซีเหมยเห็นว่าป้ายังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอบอก จึงหยิบเอกสารใบจบมัธยมปลายมายื่นให้ดู แล้วยังพูดย้ำอีกว่า
“ครูที่โรงเรียนยังบอกหากมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่แน่ว่าฉันคงสอบติดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศในปีนี้ แต่ก็อีกไม่นานแล้วค่ะ”
“หลานทำได้จริง ๆ หลานเรียนจบแล้ว อาเหมยของป้าเก่งมาก” หลี่หงรับใบจบมาอ่าน ก่อนจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตันใจ เธอรู้สึกภาคภูมิใจในตัวหลานสาวยิ่งนัก
นั่นจึงทำให้หลี่ซีเหมยต้องเข้าไปพยุงร่างหญิงวัยกลางคนให้มานั่งลงบนเตียงของตนเอง คนเป็นป้าดูเหมือนจะยิ้มอย่างเหม่อลอยไปอีกสักพัก แล้วปาดน้ำตาออกจากหน้า ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตนเอง ดึงภาพถ่ายที่ถูกพับเก็บเอาไว้อย่างดีออกมา
“ดูสิ นี่คือหลานกับพ่อแม่ พวกเขาบอกว่าหลานทั้งฉลาดและน่ารัก ป้าเชื่อแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะมีเพิ่มมาแค่เรื่องดื้อดึงเท่านั้นเอง”
หลี่ซีเหมยมองภาพขาวดำที่ถูกถ่ายในสตูดิโอแบบเก่า มันดูซีดเซียวแต่กลับมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด บ่งบอกว่าครอบครัวนี้สนิทสนมรักใคร่กันมาก
เมื่อเทียบกับภาพถ่ายครอบครัวในความทรงจำ ที่แม้จะพยายามแค่ไหนก็เหมือนเป็นภาพถ่ายที่มีเพียงตัวเธอนั่งอยู่บนบัลลังก์อันสูงส่งเพียงลำพัง กระทั่งน้องสาวตัวน้อยที่นั่งบนตักยังกลายเป็นเพียงตุ๊กตาไร้ชีวิตชีวา ช่างแตกต่างจากภาพครอบครัวนี้เหลือเกิน
“นี่ต่างหากคือรูปครอบครัว”
“ใช่จ้ะ นี่คือครอบครัวของเรา” หลี่หงตอบรับโดยไม่รู้ว่าหลานสาวคิดอะไรอยู่ เห็นเพียงดวงตาเหม่อลอยก็เบาใจ เพราะคิดว่าหากได้เห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้งหลี่ซีเหมยอาจร้องไห้หนักกว่าตัวเธอ แต่ดูเหมือนหลานสาวจะเริ่มยอมรับความจริงได้แล้ว
“แล้วนี่คือใครคะ” หลี่ซีเหมยชี้ไปทางชายหนุ่มอีกคนหนึ่งและเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนโยน เห็นป้าชะงักไปก็จำได้ว่าเป็นใคร
“พวกเขาคือ…สามีและลูกของป้า แต่พวกเขาก็เหมือนกับพ่อแม่ของอาเหมย ไปรอเราอยู่ในที่แสนไกลแล้ว”
หลี่ซีเหมยรู้สึกเจ็บหนึบในใจเมื่อเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของป้า นี่คงจะเป็นการแบ่งปันความรู้สึกกับคนในครอบครัว เธอจึงเข้าไปโอบไหล่ป้าเอาไว้แล้วพบว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้อ่อนแอและบอบบางมาก เห็นอย่างนี้แล้วก็ยิ่งกังวลใจ หากจะออกไปจากที่นี่ แล้วปล่อยให้ป้าผู้อ่อนไหวต้องทำงานหนักเพียงลำพังในบ้านหลังนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ หญิงสาวจึงเผลอพูดออกมาว่า
“ป้าออกจากที่นี่กับฉันเถอะ”
หลี่ซีเหมยในตอนนี้คือมาเฟียสาวผู้โหยหาความรัก เธอไม่อยากได้ความรักจอมปลอมเหมือนในชาติก่อนอีกแล้ว เมื่อพบว่าหลี่หง หญิงวัยกลางคนตรงหน้ามอบความรักอันบริสุทธิ์จากคนในครอบครัวให้อย่างไร้ข้อเรียกร้องใด ๆ เธอก็เกิดความโลภมากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอชอบที่ป้าหลี่หงช่วยดูแล เป็นห่วงเป็นใยอย่างดี แบบที่หญิงสาวไม่เคยได้รับมาก่อนในชาติที่แล้ว ทั้งที่มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นแต่กลับทำให้รู้สึกพิเศษได้ สำหรับคนที่เคยได้รับแต่เรื่องโกหกจากน้องสาวอกตัญญู และความรักจอมปลอมจากสามีผู้ทรยศในชาติก่อน
ป้าหลี่หงถือเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับหลี่ซีเหมยไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อกำลังจะออกไปมีชีวิตที่ดี สร้างอำนาจด้วยตัวเอง มีทั้งข้าวของมากมายในมิติ ความรู้ความสามารถจากอนาคต ไหนจะเงินทองที่หามาได้ ต่อให้อยู่สบาย ๆ ไปจนแก่โดยไม่ทำอะไรเลย หลี่ซีเหมยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่จะติดก็ตรงที่ป้าดูจะใส่ใจเจ้านายมาก เพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณอย่างไรก็คงไม่ยอมไปด้วยกันง่าย ๆ
“หลานจะไปไหนป้าไม่ห้าม แต่ตัวป้าไปไม่ได้หรอกนะอาเหมย ป้าต้องอยู่ดูแลนายท่าน ถึงอย่างไรหลานก็สามารถมาหาป้าได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว แล้วถ้าหลานยังอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ป้าก็จะเดินทางไปหาบ่อย ๆ ทุกวันก็ยังได้”
หลี่หงไม่ได้หวงหรือห้ามเรื่องที่หลานสาวอยากออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง แม้ในใจไม่อยากห่างจากหลานสาวเลยก็ตาม แต่จะให้มาเป็นคนรับใช้ไปตลอดชีวิตเหมือนตัวเองคงไม่ได้ และที่สำคัญเธอไม่สามารถละทิ้งเจ้านายไปได้เหมือนกัน
นั่นปะไร คิดยังไม่ทันขาดคำ ป้าของเธอก็พูดออกมาเองเสียแล้ว
“แบบนั้นป้าก็ต้องเหนื่อยมากขึ้น”
“เหนื่อยแค่นี้ป้าเหนื่อยได้ หลานเป็นเลือดเนื้อคนเดียวของป้าแล้วนะจ๊ะอาเหมย อย่าคิดว่าตัวเองไม่สำคัญกับป้า เพียงเพราะป้าไม่ได้ตามหลานไปสิ”
“หรือเพราะเรื่องเงินทองงั้นเหรอคะ” หลี่ซีเหมยพยายามเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้มั่นใจในความคิดของป้าหลี่หง
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ อย่างที่บอกคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงคนก่อนเป็นผู้มีพระคุณกับครอบครัวของเราอย่างมาก แล้วนายน้อย…นายท่านในตอนนี้ก็ต้องการป้าด้วย ป้าจากไปแบบนี้ไม่ได้”
หลี่หงไม่ได้พูดเปล่า แต่เดินมานั่งกุมมือหลานสาวเอาไว้เพื่อเป็นการขอโทษและแสดงความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตามหลานสาวเพียงคนเดียวออกไปใช้ชีวิตนอกรั้วคฤหาสน์แห่งนี้ได้
“แล้วฉันล่ะ ?” คำถามสั้น ๆ ของหลานสาวทำให้หลี่หงชะงักไปก่อนจะใช้มือที่หยาบเล็กน้อยจากการทำงานบ้านลูบศีรษะของหลี่ซีเหมยเบา ๆ
“เมื่อหลานสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็ให้มาบอกป้า ป้าจะช่วยบอกลาออกกับนายท่าน หรือหลานต้องการเวลาอ่านหนังสือเพิ่มก็สามารถบอกได้ นายท่านรับรู้แล้วว่าหลานต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพียงแต่เรื่องจะออกไป…”
“เข้าใจแล้วค่ะ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็คงยังไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้คงหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วง หลานสามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้ ห้องห้องนี้ก็จะเป็นห้องของหลานตลอดไป”
“ป้าไปพักเถอะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ตั้งใจอ่านหนังสือ พักผ่อนมาก ๆ จะได้มีแรงสอบนะจ๊ะ เพิ่งไปสอบมาแท้ ๆ กลับแต่งชุดทำงานออกไปแล้ว ประเดี๋ยวป้าบอกลางานให้อีกวัน”
หลี่หงมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใย มองสำรวจหลานสาวอย่างดีว่าไม่ได้บุบสลายที่ใด เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เบาใจลง แต่ทำแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ทุกครั้งที่พบกัน อาจเพราะหญิงวัยกลางคนฝังใจในเรื่องที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปเช่นเดียวกัน เมื่อเหลือหลานสาวเพียงคนเดียวก็ยิ่งรู้สึกทะนุถนอมมากขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะป้า พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปทำงาน”
“ดีแล้ว” หลี่หงย้ำอีกรอบว่าให้พักผ่อนมาก ๆ ไม่ต้องเร่งอ่านหนังสือจนหมดแรง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังย้ำว่าให้นอนพักทันที
คล้อยหลังที่ป้ากลับไป หลี่ซีเหมยก็เปลี่ยนสายตาเป็นแหลมคมมองไปยังบ้านหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ไม่ไกล
“นายท่านคนนี้ ดูเหมือนเราจะต้องพบกันสักหน่อยแล้ว”
เธอตัดสินใจที่จะอยู่ในบ้านต่อไป ทั้งที่สามารถออกไปได้ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว นั่นก็เพราะอยากรู้ว่า ‘นายท่าน’ คนนี้ของป้าหลี่หงเป็นคนเช่นไร ทำไมป้าผู้ที่รักและทะนุถนอมหลานสาวอย่างดีชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่กลับยอมปล่อยให้หลานสาวเพียงคนเดียวของตนออกไปอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง แทนที่จะเลือกติดตามหลานสาวออกจากบ้านหลังนี้ไป
‘หรือเป็นเพราะโดนสัญญาบีบคั้น บังคับขู่เข็ญจากนายท่านคนนั้นหรือเปล่านะ’
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เป็นป้าไม่ได้จำใจอยู่ แต่มีความตั้งใจที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปด้วยตัวเอง หลี่ซีเหมยจึงจะไว้ใจและออกจากบ้านหลังนี้ไปได้อย่างสบายใจ
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เป็นปัญหาก็ยังมีอยู่ นั่นคือเธอจะไว้ใจให้ป้าอยู่กับเจ้านายคนนี้ต่อไปดีหรือไม่ เธอซึ่งเคยเป็นมาเฟียมาก่อนรู้ดีว่าการเลือกเจ้านายก็มีส่วนสำคัญกับชีวิตและความเป็นอยู่ รวมถึงความปลอดภัย ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องการทำต่อไปก็คือ สืบดูว่านายท่านของบ้านนี้ น่าไว้ใจให้ป้าฝากชีวิตไว้ด้วยได้หรือไม่
“หวังว่ามาเฟียรุ่นปู่คนนี้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”