เมื่อเดินกลับเข้าบ้านโดยผ่านประตูข้าง เธอไม่ลืมยื่นเม็ดแตงให้พี่ใหญ่เต๋าคนเฝ้าประตูที่ตอนนี้คุ้นเคยกันมากขึ้น
“ไปสอบมาหรือ ได้ยินว่าน้องเหมยสอบเทียบมัธยมปลาย จบแล้วก็ไปทำงานในกิจการของเจ้านายสิ ลองถามหัวหน้าแม่บ้านหลี่ดู”
“ฉันจะลองคิดดู” หลี่ซีเหมยพยักหน้ารับ หญิงสาวยังคงบุคลิกเป็นคนเงียบขรึมของร่างเดิมเอาไว้อย่างแนบเนียน ที่เพิ่มมาคงเป็นความรู้สึกเย็นชาที่แผ่ออกมารอบกายจนคนเข้าถึงยากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งมันเป็นบรรยากาศรอบตัวของมาเฟียสาวไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม
หญิงสาวเดินกลับเข้าห้องพัก วางเอกสารใบจบการศึกษาไว้ในลิ้นชักหัวเตียง หยิบชุดสาวใช้มาสวมใส่ ทำผมให้ปิดหน้าปิดตามากขึ้น ก่อนจะออกไปที่ห้องครัวในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้านาย
นี่เป็นเวลามื้อเย็น ทำให้แม่ครัวและสาวใช้ที่ไม่ได้มีหน้าที่รับใช้เจ้านายระหว่างมื้ออาหารมารวมตัวกันอยู่หลังครัว ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำหรับแจกจ่ายอาหารให้แก่คนในคฤหาสน์ ทั้งคนรับใช้ คนสวน คนขับรถ จนถึงพวกลูกน้อง ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนแต่งงานกันเอง จับคู่หนุ่มสาวในคฤหาสน์ เมื่อมีลูก เด็ก ๆ ก็จะถูกสั่งสอนเลี้ยงดูมาภายใต้รั้วบ้านหลังนี้ นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลของความซื่อสัตย์
เรียกได้ว่าการมากินข้าวที่นี่ ทำให้สามารถรวบรวมข่าวสารในบ้านหลังนี้ รวมถึงข่าวสารวงการเจ้าพ่อในเมืองเซี่ยงไฮ้ได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ใช่ข้อมูลลึกเจาะจงแต่ก็ช่วยหลี่ซีเหมยได้มากทีเดียว จึงทำให้เธอยังไม่ได้เคลื่อนไหวสร้างกลุ่มอำนาจขึ้นมาซี้ซั้ว
และอีกข้อดีหนึ่งในการมากินข้าวร่วมกับคนหมู่มาก ทำให้รู้ว่าอีกไม่นานยุคแห่งความวุ่นวายจะผ่านพ้นไป กลุ่มมาเฟียเซี่ยงไฮ้กำลังเตรียมปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ที่มาถึงเนื่องจากเวลานี้มีการผลัดเปลี่ยนผู้นำเรียบร้อยแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ค่อยก่อจลาจล เลือกเก็บตัวเงียบและเฝ้ามองสถานการณ์เท่านั้นในช่วงเวลานี้
“สอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะน้องหลี่” แม่ครัวคนหนึ่งเอ่ยถาม
“สอบผ่านแล้วค่ะ” หลี่ซีเหมยตอบกลับพร้อมก้มหน้าลง ท่าทางเก็บตัวของเธอทำให้คนไม่กล้าพูดด้วยมาก แม้แต่แม่ครัวที่เอ่ยถามก็ยังหันไปพูดกับสหายที่อยู่ข้างกายแทนหลังจากนั้น
“น้องสาวของฉันก็สอบเทียบเหมือนกัน อายุสิบแปดปีแล้วในปีนี้ แต่เพราะบ้านเราต้องส่งพี่ชายเรียนเลยไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย ฉันก็อยากสอบเทียบเหมือนกันนะ แต่งานเยอะเกินไปไม่มีเวลาเลย”
“น้องหลี่โชคดีมีหัวหน้าแม่บ้านหลี่คอยสนับสนุน ถ้าเป็นพวกเราคงหยุดทำงานแล้วไปเรียนไม่ไหวหรอก ไม่มีใครจ่ายเงินค่ากินค่าใช้ให้ แล้วยังต้องส่งเงินให้ที่บ้านทุกเดือนด้วย”
กลุ่มสาวใช้และแม่ครัวเริ่มสนทนากันในเรื่องนี้ พวกลูกน้องที่เป็นชายหนุ่มเองก็ผสมโรงเข้ามาด้วย
“พวกเรากลับได้เรียนโดยไม่เสียเงินนะ นายท่านยอมให้เรียนเท่าที่ไหว แต่ส่วนใหญ่เราก็มีแต่สมองกล้ามทั้งนั้น เรียนจบมัธยมต้นก็ดีมากแล้ว”
“มีสาวใช้ที่เรียนจบมัธยมปลายแล้วได้ย้ายไปทำงานในกิจการของนายท่านด้วยนะ อีกไม่นานเมื่อน้องหลี่เรียนจบมัธยมปลาย พวกเราก็คงไม่ได้เจอหน้าแล้วละมั้ง” แม่ครัวคนเดิมพูดขึ้นด้วยความอิจฉาเพราะไม่รู้ว่าหลี่ซีเหมยสอบเทียบชั้นจบแล้ว
“ลองเก็บเงิน…แล้วขอนายท่านไปเรียนต่อก็ได้นะ” หลี่ซีเหมยเงยหน้าขึ้น ดวงตาจ้องตรงไปที่แม่ครัวคนนั้น สายตาวาวโรจน์ผ่านม่านผมหน้าม้าจ้องตรงมายังตัวแม่ครัวสาวจนอีกฝ่ายรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา
“นั่นสิ ฉันคงต้องเก็บเงินไว้บ้างแล้ว” แม่ครัวที่เริ่มบทสนทนานี้รีบพูดแบบนั้นขึ้นมา ก่อนจะลุกเดินหนีออกจากวงด้วยหวาดกลัวต่อสายตาของหลี่ซีเหมย
ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นอาการเหล่านั้น พวกเขายังคุยกันเรื่องเกี่ยวกับการเรียนต่อมัธยมปลาย ส่วนใหญ่เริ่มมีแผนการอยากหยุดงานไปเรียนต่อ แต่ก็อยากรู้ประสบการณ์ของหลี่ซีเหมยเพื่อจะได้วางแผนว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะจบมัธยมปลาย
หญิงสาวกลับเลือกที่จะเงียบ เมื่อป้าของเธอเดินออกมาจากด้านในบ้านใหญ่ก็เดินเข้าไปขอคุยด้วย ทำให้คนอื่น ๆ ต้องปล่อยหญิงสาวไป
หลี่หงเห็นทุกคนดูสนใจในตัวหลานสาวตัวเองก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะปกติหลานสาวของเธอเป็นเด็กเงียบ ๆ ทำให้ถูกมองเป็นอากาศธาตุไร้ตัวตน เมื่อสงสัยจึงถามขึ้นมา
“อาเหมย มีอะไรกันหรือเปล่า ทุกคนมองหลานแปลก ๆ”
“พวกเขาแค่อยากรู้ว่าฉันใช้เวลาอ่านหนังสือนานแค่ไหน ถึงสอบเทียบมัธยมปลายผ่านมาได้”
“จริงสิ วันนี้หลานไปสอบมานี่นา เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ ถึงป้าจะเชื่อในตัวหลานแต่ก็ไม่ได้กดดัน ค่อย ๆ อ่านหนังสือและค่อย ๆ สอบไปก็ได้ ได้ยินว่าอาเฟินน้องสาวของแม่ครัวหวัง สอบเดือนละวิชากว่าจะเรียนจบก็ใช้เวลาไปเป็นปี”
“อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันสอบผ่านแล้ว” หญิงสาวได้ยินคำพูดของป้าก็อดย่นคิ้วไม่ได้
การสอบผ่านมัธยมปลายโดยใช้เวลาหนึ่งเดือนในการอ่านหนังสือ เธอก็คิดว่าสมองของร่างนี้โง่มากพอแล้ว แต่คนที่สอบได้แค่เดือนละวิชา ต้องมีไอคิวระดับไหนกัน ?
ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผลการวัดไอคิวของร่างหลี่ซีเหมยอยู่ที่ 110 และมีโอกาสที่จะพัฒนารอยหยักในสมองต่อไปได้อีกหากได้รับอาหารที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ และฝึกสมองต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาดขึ้นมาหน่อย
“ป้ารู้ว่าอาเหมยต้องทำได้ เก่งมากจ้ะ รับนี่ไปสิ”
หลี่ซีเหมยก้มลงมองของที่หลี่หงยัดใส่ในมือ มันคือตุ๊กตาตัวน้อย ๆ ถูกทำเป็นพวงกุญแจ มีกลิ่นหอมโชยออกมา คาดว่าเป็นถุงหอมอันเล็ก ๆ ขนาดพกพาสะดวก แล้วยังมีช่องซิปเล็กด้านหน้า เมื่อเปิดดูก็พบว่าด้านในเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนักไม่น้อยทีเดียว
“ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” หลี่ซีเหมยกล่าวอย่างหนักใจ
แม้ตอนนี้ในตู้เซฟของมิติคฤหาสน์มีทองคำแท่งมากมายกองอยู่เป็นภูเขา แต่มันดูไร้ค่าไปเลยเมื่อเทียบกับสร้อยคอที่ผู้เป็นป้าตั้งใจมอบให้
“รับไปเถอะ ถึงตอนนี้จะยังใช้ไม่ได้ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มันจะเป็นทุนให้หลานได้เริ่มต้นชีวิตที่ดี ชีวิตที่ดีกว่าการเป็นเพียงสาวใช้ในคฤหาสน์หลังนี้”
“ขอบคุณนะคะ” หลี่ซีเหมยรีบเก็บสร้อยคอกลับเข้าไปในซิปหน้าท้องของเจ้า…เหมือนจะเป็นเสือ ? แต่ตุ๊กตาถุงหอมนี้ก็ดูสวยมากในสายตาของเธอ
อาจเพราะคนให้ตั้งใจมอบให้ ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ต้องหาซื้อมาได้ด้วยเงินตรา
ลึก ๆ ในใจหญิงสาวยังกลัวที่จะไว้ใจสิ่งที่เรียกว่าคนในครอบครัว แม้ว่าตั้งแต่มาอยู่ในโลกใหม่นี้หลี่หงจะดีกับเธอมาก ด้วยความที่เคยโดนคนที่รักหักหลังหลี่ซีเหมยไม่กล้าไว้ใจคนอื่นอีกเลย
จนกระทั่งในวันนี้เธอก็ได้เข้าใจว่าไม่สามารถนำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองในอดีตมาตัดสินคนที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลี่ซีเหมยรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถคาดหวังความรักจากคนอื่นได้ ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่พร้อมมอบความรักให้เธออยู่เช่นกัน
“ขอบคุณนะคะป้าสำหรับเจ้าเสือน้อย”
“แมวน้อยต่างหาก” ผู้เป็นป้าอย่างหลี่หงบ่นพึมพำ มองแมวน้อยสีเทาในมือหลานสาวอย่างกังวล หรือเป็นเพราะมันหน้าอ้วนเกินไปจึงดูเหมือนแมวมากกว่าเสือ
“เข้ามาก่อนสิคะ” ทั้งคู่เดินมาถึงห้องพักของหลี่ซีเหมยพอดี หญิงสาวจึงเชิญป้าเข้าห้องบ่งบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
หลี่หงเดินเข้ามาในห้องหลานสาวก็ประหลาดใจเมื่อเห็นว่าในห้องไม่ได้มีหนังสือกองอยู่เต็มไปหมดอย่างที่คิด มีเพียงเอกสารไม่กี่ฉบับวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง
“หลานมีเงินไม่พอซื้อหนังสือเรียนหรือจ๊ะ เอาไปเพิ่มสักหน่อยสิ”