Chapter 9 ครั้งหนึ่งข้าเคยพิการ
“แต่ว่าข้า...”
“อิงเอ๋อร์ลูกรัก เจ้าอย่าลืมสิว่าพ่อเป็นหนี้ตระกูลโจวมากมาย ต่อให้เราขายทรัพย์สมบัติรวมทั้งโรงเตี๊ยมเก่าๆ แห่งนี้ก็ยังไม่พอใช้หนี้เขาด้วยซ้ำไป ถือเสียว่าทำเพื่อพ่อที่แก่แล้วเถอะนะ วันใดที่พ่อเดินทางไปยังปรโลก พ่อจะได้มีหน้าไปหาปู่ของเจ้าที่ปลุกปั้นก่อสร้างโรงเตี๊ยมสายน้ำแห่งนี้ขึ้นมาด้วยความรัก อย่าให้มันต้องพังเพราะพ่อเลย”
เฉาหยุ่นเล่นบทโศก แสร้งทำเป็นบีบน้ำตาจนบุตรสาวใจอ่อนยวบ นางรีบปราดมากอดเขาเอาไว้ทันที
“เจ้าค่ะ ข้าจะอดทนเพื่อท่านพ่อ เพราะท่านอดทนเพื่อข้ามามากพอแล้ว ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านมีความสุขที่สุด”
หญิงสาวรับปากบิดาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง บิดากรำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อนาง แล้วเหตุใดนางจะอดทนเพื่อท่านไม่ได้
‘ข้าต้องทำได้สิ! ใช่! ข้าต้องทำได้แน่’
ฉานอิงปลุกปลอบตัวเองให้หึกเฮิม แต่...แค่คิดว่าคืนนี้อาจต้องพบเจอกับอะไรก็ทำให้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นลงเสียให้ได้
‘การเป็นสะใภ้ตระกูลโจวไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเป็น ‘ภรรยา’ ของอีตาบ้ากาม ‘โจวจือหยวน’ นี่สิเป็นเรื่องยากเหลือแสน!’
“อิงเอ๋อร์ของพ่อ เจ้าช่างดีกับพ่อเหลือเกิน”
เฉาหยุ่นกอดตอบบุตรสาวเอาไว้แน่น แม้จะบีบน้ำเสียงให้สั่นเครือทว่าใบหน้ากลับยิ้มกว้าง คิดไปไกลว่าจะได้อุ้มหลานชายหญิงซ้ายขวา เด็กตัวเล็กๆ สดใสวิ่งเล่นไปทั่วคงทำให้ไม้ใกล้ฝั่งอย่างเขาชื่นบานราวกับได้น้ำฝนชุ่มฉ่ำ
‘ท่านตาเจ้าขา ท่านตาขอรับ’
แค่คิดหัวใจของคนแก่ก็กระชุ่มกระชวย เดี๋ยวเย็นนี้ต้องดื่มฉลองให้กับหลานในอนาคตเสียหน่อยแล้ว
ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดของสองโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ข้างกันก็คือ ‘ฐานะ’ แตกต่างชนิดที่เรียกได้ว่าผืนฟ้ากับก้นเหวลึกเลยทีเดียว
ในขณะที่โรงเตี๊ยมสายน้ำของตระกูลอู่ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งไม้กระดานทุกแผ่นยังอยู่ครบมาตั้งแต่รุ่นท่านปู่ ทว่าโรงเตี๊ยมผืนฟ้าของตระกูลโจวกลับรื้อปรับปรุงโครงสร้างใหม่จนทันสมัย จากโรงเตี๊ยมที่มีเพียงแค่สองชั้นก็กลับกลายเป็นโรงเตี๊ยมที่มีถึงสี่ชั้น อีกทั้งยังขยายที่ดินออกไปตามริมถนนทอดยาวโอ่อ่ามองเห็นมาแต่ไกล
แรกเริ่มตั้งแต่รุ่นท่านปู่นั้นด้านหลังของโรงเตี๊ยมคือที่ดินผืนกว้างที่ใช้ปลูกบ้านพักอาศัย แน่นอนว่าตระกูลอู่ของนางยังคงอยู่บ้านหลังเดิมที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด ที่เพิ่มเติมคือหลังคาหลายจุดเริ่มรั่วซึม ผนังบ้านเริ่มร้าว ผืนดินใต้ถุนบ้านเริ่มทรุด
และแน่นอนเสียยิ่งกว่าแน่นอนว่าตระกูลโจวรื้อบ้านหลังเล็กทิ้งแล้วปลูกบ้านหลังใหญ่ราวกับจวนนายอำเภอ แวดล้อมไปด้วยบ่าวชายหญิงคอยรับใช้ มีชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต่างจากเหล่าขุนนางในวังเลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าตระกูลโจวเป็นเศรษฐีในอำเภอนี้เลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังติดหนึ่งในยี่สิบอันดับคหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดในแคว้นหู่เฉียงอีกด้วย
แม้จะโกรธเกลียดโจวจือหยวนแต่นางก็ต้องยอมรับในความสามารถของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางเองเสียอีกที่ไม่อาจบริหารกิจการของตระกูลให้รุ่งเรือง มิหนำซ้ำทั้งนางและบิดากลับบริหารจนกิจการรุ่งริ่งร่อแร่แทบไปไม่รอดเช่นนี้
ฉานอิงก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปในถนนส่วนบุคคลข้างโรงเตี๊ยมผืนฟ้า ซึ่งถนนสายนี้ทอดตรงไปยังบ้านโอ่อ่าของตระกูลโจวซึ่งนางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้และต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนานจนตราบผืนแผ่นดินจะกลบหน้า
แปลบ!
หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เซน้อยๆ ราวกับทรงตัวไม่อยู่จนแผ่นหลังพิงกำแพงโรงเตี๊ยมเอาไว้
ปวดอีกแล้ว!
นางปวดบริเวณสะโพกมาถึงแปดปี อาการจะกำเริบถ้าอากาศเริ่มหนาวเย็นจึงต้องคอยใส่เสื้อผ้าหนาๆ และดื่มชาร้อนเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายอยู่เสมอ
ผลมาจากการที่นางเคยประสบอุบัติเหตุผลัดตกจากภูเขาในวัยสิบปีจนทำให้นางไม่สามารถเดินได้กว่าห้าปี!
ห้าปี...ที่ต้องนอนติดเตียงราวกับคนพิการ จะลุกจะเดินไปไหนต้องให้บิดาช่วยแบกหาม ทั้งที่นางเป็นเด็กซุกซนชอบเที่ยวเล่นไปทั่วไม่เคยอยู่เฉย การต้องนอนนิ่งๆ ไม่สามารถไปไหนได้ดั่งใจนั้นมันเจ็บปวดราวกับตกนรกทั้งเป็น
นางนอนร้องไห้เสียใจ จากวันเป็นเดือน ผ่านพ้นไปเป็นปี จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด เรียกได้ว่าเป็นความทุกข์ทรมานที่นางไม่มีวันลืม
ทว่า...สิ่งที่นางลืมเลือนไปจนสิ้นคือสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนั้น ไม่ว่านางจะพยายามคิดให้ตายอย่างไร นางก็คิดไม่ออก
ครั้นเมื่อถามบิดาเขาก็ตอบเพียงว่า นางทั้งดื้อทั้งซนวิ่งไปทั่วราวกับเด็กผู้ชาย เคราะห์ไม่ดีจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ฉานอิงสงสัยมาตลอด เพราะในห้วงแห่งความทรงจำเหมือนมีเงาของใครคนหนึ่งอยู่กับนางในที่เกิดเหตุตลอดเวลา
‘เขาเป็นใครกันนะ’
ใครคนนั้น ‘ช่วยเหลือ’ หรือเป็นคน ‘ผลัก’ นางให้ต้องกลายเป็นหญิงพิการถึงห้าปีกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยจนนางไม่อาจสลัดมันออกไปจากสมองได้เลย
ถึงนางจะโชคร้าย แต่ก็นับว่าสวรรค์ยังเมตตา นั่นเพราะบิดาเสาะแสวงหาหมอเทวดาจากทั่วทุกแคว้นมารักษา จนทำให้นางกลับมาเดินได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
และนี่...ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กิจการโรงเตี๊ยมสายน้ำย่ำแย่ทรุดโทรม เพราะบิดามัวแต่คอยวิ่งวุ่นเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียว จึงไม่มีเวลาดูแลโรงเตี๊ยมจนทำให้เป็นหนี้มหาศาล
หนี้ที่เกิดขึ้นและช่วงเวลาที่สูญเสียไป วัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะเป็นสาวสะพรั่งถูกกลืนหายไปกับการนอนจมอยู่บนเตียงภายในห้องนอนเล็กๆ
“ข้าจะไม่มีทางกลับไปอ่อนแอเช่นนั้นอีกแล้ว”
ฉานอิงกัดฟันกรอดเมื่อคิดถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่นางเพิ่งผ่านพ้น ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นแผ่ว หน้าผากมนชื้นเหงื่อด้วยความปวด ริมฝีปากสีชาดเม้มสนิทกดข่มความเจ็บปวดอย่างสุดแสน