บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงใสๆ ของเบญจาที่คอยถามไถ่ความเป็นไปของณริสาตั้งแต่แยกกัน จนมาเจอกันอีกครั้งตอนนี้ไม่ขาดปาก โดยมีผู้ร่วมฟังที่ดีคอยปรับสีหน้าใคร่รู้ตาม แม้อาหารจะมีอยู่เต็มปาก หากแต่เป็นภาพที่มองดูเป็นธรรมชาติไม่ไว้ตัวเหมือนผู้หญิงบางคนที่ชอบทำตัวเหนียม ชี้นิ้วกรีดกราย ยามอยู่ต่อหน้าหนุ่มหล่อ
“แล้วนี่พี่ธิปจะให้พี่สาทำงานในส่วนไหนของบริษัท” เมื่อหมดคำถามจากเพื่อนสาวที่แก่กว่าหนึ่งปี ก็หันมาถามชายหนุ่มที่เธอตกลงใจจะจับให้อยู่หมัด แม้ว่าเคยตกลงกันไว้ ว่า ระยะที่คบกัน ไม่มีการผูกมัดใดๆ ทั้งทางร่างกายและความรู้สึก เพราะที่คบกันก็ด้วยความต้องการ ความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายและข้อตกลงทั้งหมดนั้นเธอเป็นคนตั้งขึ้นมา โดยฝ่ายชายก็ไม่ขัดข้อง
“...” อณาธิปอึ้งไปนิด หากแต่เบญจายิ้มหน้าระรื่นรอฟัง แม้รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรถาม แต่สิทธิ์ของความคุ้นเคยและได้ใกล้ชิดมากกว่าสาวคนไหนๆ เธอจึงมั่นใจว่าคำนี้ ไม่เป็นที่น่าเกลียดหากเธอจะถาม
“อืม คงทำงานร่วมกันแบบใกล้ชิด หุ้นส่วนกันนี่” เขาตอบน้ำเสียงจริงจัง และนั่นทำเอาเบญจาตาเบิกกว้าง
ส่วนณริสานั่งทำสีหน้าไม่ทุกข์ รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจงใจบอกเป็นนัยๆ แต่สำหรับเธอ ทุกอย่างที่ทำไปอาจดูเหมือนง่ายที่ยอมเซ็น แต่ใช่ว่าต่อไปเธอจะยอมทำตามคำเรียกร้องเขาหมดทุกอย่าง
เมื่ออาหารบนโต๊ะพร่องไปเกือบหมด อณาธิปจึงเรียกบริกรมาเช็คบิล ระหว่างนั้นมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่งตัวดีเข้ามาทักทายเบญจา โดยที่อณาธิปรู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออก และเมื่อเบญจาต้องขอตัวไปกับชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ อณาธิปจึงรู้สึกโล่งขึ้น
“เบญขอตัวก่อนนะคะพี่ธิป คุณสา” คนขอตัวทำหน้าเมื่อย โดยไม่คิดแนะนำชายหนุ่มหน้าตาดีให้รู้จักแม้แต่น้อย อีกทั้งสาวสวยอย่างเบญจามีท่าทางลุกลี้ลุกลนจนน่าแปลกใจ โดยวงแขนหนาโอบเอวบาง เหมือนต้องการประกาศตัวตนถึงความสัมพันธ์ของเขาและเธอให้คนร่วมโต๊ะได้รับรู้ แต่อณาธิปไม่ได้สนใจ ยังคงส่งยิ้มให้ด้วยไมตรีที่ดีต่อกัน ส่วนณริสาส่งยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ รับทราบ
“ตามสบายครับ” เมื่อกล่าวลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวก็เดินออกไป โดยณริสาเองก็เตรียมตัวกลับเช่นกัน
“งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยดีกว่านะคะ”
“อ้าว อย่าเพิ่งรีบสิครับ”
“ต้องรีบค่ะ เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เธอย้อนเขา อณาธิปหน้าม้าน
“ยังไงต้องขอตัวจริงๆ แล้วล่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีบุคคลอื่นแล้ว ณริสาไม่รอช้ารีบเอ่ยขอตัว แม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อไว้
ไม่ว่าเหตุผลใดตอนนี้เธอไม่ไว้วางใจเขา แค่นึกเรื่องที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ เธอก็รู้สึกเหมือนว่าความร้อนในกายยังเกาะกลุ่มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ความรู้สึกนี้เขาจะเป็นเช่นเดียวกับเธอหรือเปล่านะ
“ผมไปส่ง”
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ดีกว่า”
“อย่าดื้อสิ อย่าลืมว่าเรามีสัญญาอะไรกันไว้” คำพูดนั้นทำให้ณริสาเงียบ แต่ไม่วายส่งสายตาตำหนิให้คนขี้ตื๊อ
เขายักไหล่เบ้ปากไม่แคร์ อีกทั้งถือวิสาสะยื่นแขนโอบเอวบาง “เดินไปสิ” เสียงเค้นออกจากลำคอ ก้มกระซิบริมหูขาวสะอาด เธออยากสะบัดกายหนีแต่เหมือนเขาจะอ่านใจเธอออกจึงเพิ่มแรงกดไว้
หากใครที่เห็น คงคิดว่าเป็นคู่รักที่กำลังสวีทหวานกันจนน่าอิจฉา
ณ มุมหนึ่งหน้าลานจอดรถ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างดี ถูกดึงรั้งอย่างไม่เต็มใจ สีหน้าบูดบึ้งไม่เก็บความรู้สึก และเมื่อถึงที่หมายด้านข้างรถสปอร์ตคันหรูที่เบญจาคุ้นเคยดี เธอก็ต่อว่าอีกฝ่ายทันที
“วัชทำบ้าอะไรคะ”
“พูดไม่เพราะ” คนโดนต่อว่าชักสีหน้า แล้วตำหนิกลับอย่างไม่จริงจังนัก พร้อมกระชับวงแขนแน่นขึ้น หากแต่ร่างบางดิ้นขัดขืนไม่เล่นด้วย
“ปล่อยค่ะ เบญอึดอัด” เบญจาสะบัดตัวเพื่อหาอิสระให้กับตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มเย็น แล้วปรับสีหน้าเข้มขึ้น พร้อมคำถาม
“ไปคบกันนายนั่นอีกทำไม”
“พูดผิดแล้ว เบญยังคบกับพี่ธิป และไม่คิดจะหยุดคบด้วย” เธอไม่อนาทรกับคู่ขาที่บังเอิญเกิดความสัมพันธ์ทางร่างกายขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ หากแต่ฝ่ายชายกลับยึดติดความสัมพันธ์ฉาบฉวยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“จะให้ผมแสดงตัวมั้ย”
“แสดงบ้าอะไร” เธอถามสีหน้าตื่น
“ก็แสดงตัวว่า คุณน่ะไม่ได้คบกับเขาแค่คนเดียว”
ริมฝีปากบางยกยิ้ม พร้อมทำเสียงอย่างหยันๆ ในความคิดอีกฝ่าย “หึ... คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้หรือไง ทำซะออกนอกหน้าขนาดนี้”
“รู้งี้แล้วยังเล่นตัวอยู่อีก”
“เบญไม่ได้เล่นตัว แต่เบญเลือกแล้ว”
“เลือกหมอนั่นน่ะเหรอ”
“ใช่!”
“เพราะ”
“เพราะ... คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ระหว่างนักธุรกิจพันล้านกับลูกนักธุรกิจที่ดีแต่...” เบญจาหยุดคำพูดไว้แต่อีกคนก็ต่อกลับด้วยคำพูดที่ฟังจนเจ็บจุก
“ดี... ที่ผมทำให้คุณร้องครวญครางแล้วกันล่ะน่า”
เมื่อคิดว่าไร้ประโยชน์จะพูดพร่ำให้เข้าตัว วัชรพลจึงกดสวิชต์เปิดประตูรถ แล้วดันร่างบางเข้าไปให้นั่งในที่ของเธอเรียบร้อย เบญจาได้แต่ทำเสียงฟิดฟัดขัดใจ อีกหนึ่งนิสัยเอาแต่ใจ พูดขวานผ่าซาก แม้อยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน ทำให้เธอระอาแต่ก็ต้องทนเพื่อเธอจะไม่ต้องขายหน้า
รถคันหรูแล่นด้วยความเร็วคงที่เมื่อเบนเข้าเส้นทางที่ใช้อยู่เป็นประจำ “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านฉันนี่คะ” เสียงหวานเอ่ยท้วง มองซ้ายมองขวาเพ่งสายตามองนอกกระจก อีกฝ่ายยิ้มขำ โดยไม่คิดตอบคำถาม จนเสียงหวานเริ่มเป็นขุ่น
“คุณจะพาฉันไปไหนกันแน่ คุณอณาธิป” แม้จะไม่ชินเส้นทาง แต่เธอพอจะคำนวณจากเวลาขามาและขากลับได้ อีกทั้งเส้นทางไม่มีเค้าว่าจะเป็นทางเดียวกันกับที่ลุงผันใช้ตอนมาส่งเธอ
หรือว่าเส้นทางกลับบ้าน มีหลายเส้นทาง ณริสาพยายามคิดในทางที่ดี แต่แล้ว...
“แล้วผมบอกว่าจะไปส่งบ้านคุณหรอ” คำตอบนั้นทำให้ ณริสาคอแข็งขึ้นทันที
“นี่คุณ คุณหลอกฉันเหรอ” ตากลมโตลุกวาว เสียงขุ่น จ้องหน้าบุรุษตรงหน้าอย่างพร้อมมีเรื่องหากอีกฝ่ายเล่นลูกไม้ แต่ดูเหมือนเขาจะสนุก เมื่อริมฝีปากหนายกสูง
“เปล่า ผมหลอกตรงไหน ผมว่าผมจะไปส่ง นั่นหมายความว่าผมสามารถไปส่งคุณลงตรงไหนก็ได้ จริงมั้ย” เสียงกระเส่าเอ่ยส่งนัยน์ตากรุ้มกริ่ม จนคนที่ถูกหลอกให้ขึ้นรถมาด้วย อยากจิ้มตานั้นให้บอดเสียให้รู้แล้วรู้รอด