ตอนที่ 5

2793 Words
อิงครัตน์หยิบนิยายเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าพร้อมด้วยสมุดเล่มหนาซึ่งขนาดพอกับหนังสือที่นำมาวางเอาไว้คู่กัน วันว่างส่วนใหญ่นอกจากออกมาซื้อของเข้าบ้านแล้ว ก็จะนั่งเอ้อระเหยลอยชายตามร้านกาแฟซึ่งในวันธรรมดามีคนไม่มากเท่าไรนัก แต่เมื่อเริ่มมีคนเพิ่มขึ้น อิงครัตน์ก็จะรีบลุกออกไปทันที เพื่อจะได้มีที่นั่งสำหรับลูกค้าใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามา หนังสือนิยายฉบับภาษาอังกฤษถูกเปิดไปจนเกือบกลางเล่ม หลัง จากอ่านและเทียบดูกับสมุดที่เปิดเอาไว้ทำให้อิงครัตน์เริ่มตวัดลายมือลงบนกระดาษ การแปลหนังสือเป็นอีกหนึ่งงานที่อิงครัตน์ทำ เพราะนอกจากได้อ่านหนังสือโดยไม่ต้องซื้อแล้วยังได้ทบทวนภาษาไปในตัวอีกด้วย “กราบสวัสดีค่ะ ป้าแจ๊บๆ” เสียงทักทายที่ได้ยินทำให้อิงครัตน์ยิ้มๆ “ไอ้เด็กพวกนี้ ทักทายฉันเป็นเพื่อนเล่นกันได้ตลอดสิน่า” “รักหรอกจึงหยอกเล่นค่ะ ป้าแจ๊บ” หญิงสาวที่ลงนั่งฝั่งตรงข้ามพนมมือไหว้แล้วยิ้มๆ ก่อนมองดูไปที่แก้วกาแฟซึ่งเหลืออยู่แค่ก้นแก้ว จึงอาสาไปซื้อมาเพิ่มให้ “เด็กสมัยนี้รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดกันเสียจริง” “หน้าแบบนี้ มองแบบนี้ บ่นหนูอยู่ล่ะสิ” หญิงสาวต่างวัยเดินกลับ มาพร้อมด้วยรอยยิ้มและกาแฟกลิ่นหอม “แค่คิด” อิงครัตน์หัวเราะ “แปลเรื่องอะไรคะ ป้าแจ๊บ” พอใจ คือ ชื่อของหญิงสาวที่พูดคุยอยู่กับอิงครัตน์ซึ่งท่าทางค่อนข้างคุ้นเคยกันดี “ชื่อไทยจะให้ทางสำนักพิมพ์เขาคิดเอง ป้ามีหน้าที่แปล” “ถ้าภาษาอังกฤษได้สักครึ่งของป้าก็คงจะดี” พอใจพูดขึ้น “ของมันฝึกกันได้ ป้าอยู่เมืองนอกเมืองนานานจนชินกับภาษาของเขามากกว่า” อิงครัตน์บอก “หาสามีฝรั่งก็ได้สิคะ รับรองภาษาคล่องปรือ” พอใจหัวเราะ “ชีวิตคิดแต่จะหาสามีกันสินะ” อิงครัตน์ส่ายหน้า แต่พอใจหัวเราะ “ป้าแจ๊บสบายดีนะคะ ไอ้โต๊ดเพื่อนใจเป็นอย่างไรบ้างคะ” พอใจแทนตัวเองว่า ใจ ซึ่งเป็นชื่อเล่น แต่คนส่วนใหญ่เรียกชื่อเต็มบอกว่าน่ารักดี “ป้าสบายดี พอใจล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” อิงครัตน์ถามกลับ “สบายดีค่ะ กวนๆ เหมือนที่ป้าเห็นนี่แหละ ตกลงไอ้โต๊ดทำงานให้เป็นอย่างไรบ้างคะ” พอใจถาม เพราะอิงครัตน์ไม่ได้เอ่ยถึงเลยทั้งๆ ที่ถามไปก่อนหน้าแล้ว “ก็ใช้ได้นะ แต่ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้เจอเลย” อิงครัตน์ยิ้มน้อยๆ ให้พอใจที่ขมวดคิ้วทำท่าคิด “นั่นสิ มันหายเงียบไปเลย สงสัยจะยุ่งเรื่องหางานใหม่อยู่” “ตกลงมันยังไงเรื่องงานการน่ะ” อิงครัตน์ถาม “บริษัทที่ทำงานปิดตัวค่ะ เห็นว่าได้เงินมาก้อนหนึ่ง แต่คงให้แม่ให้น้องหมด โต๊ดส่งน้องเรียนจะจบมหาวิทยาลัยเทอมนี้แล้วล่ะคะ คงได้หายใจหายคอบ้างไม่อย่างนั้นมีเท่าไรส่งที่บ้านหมด” พอใจยิ้มๆ ที่กล้าบอก เพราะเห็นว่าอิงครัตน์เป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคารพนับถือ และเชื่อว่าหลังจากที่ภัสสราได้รู้จักคงรู้สึกไม่ต่างจากที่ตัวเองรู้สึกนัก “อายุอานามก็ไม่น้อย เงินเดือนก็ไม่น่าจะน้อยแล้วสิ” “เห็นซื้อรถกระบะใหม่ให้แม่ค่ะ เวลาไม่มีก็ไม่ยอมบอกแม่ไปตรงๆ” พอใจยิ้มจางๆ ให้อิงครัตน์ “บริหารจัดการชีวิตตัวเองไม่เป็น แต่มันก็เรื่องของเขาเนอะ” “ใช่ค่ะ พวกเพื่อนเลยไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ตอนเราไม่มีเราก็ต้องบอกไปตามตรง แล้วดูต้องมาวิ่งหางานพิเศษทำเพราะต้องจ่ายค่าเรียนของน้องเทอมสุดท้าย” พอใจพูดคล้ายบ่นเพื่อน “ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นนั่นแหละ” อิงครัตน์คิดว่าไม่ได้รู้จักมักคุ้นและรู้เรื่องของคนที่กำลังพูดถึงนักเลยคิดว่า ไม่ควรออก ความคิดเห็นอะไรมากนัก จึงพูดไปตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากพอใจ “ตายยากพูดปุ๊บก็โทรฯ มาเลย” พอใจยิ้มๆ มองดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองและพนมมือไหว้ทำท่าขออนุญาตอิงครัตน์ เพื่อพูดคุยกับภัสสรา อิงครัตน์จึงกลับมาสนใจงานที่ค้างอยู่ โดยเริ่มขีดเขียนลงบนสมุดสลับกับการอ่านหนังสือ พอใจพูดคุยกับเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าของอิงครัตน์ที่ขมวดคิ้วให้อยู่ “ไม่ล่ะ” อิงครัตน์พูดเพียงแค่นั้น เสียงได้ยินแว่วๆ ทำให้รอยยิ้มของภัสสราจางลง “ป้าเร่งงานอยู่แก เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” พอใจเอามือป้องปากบอกกับปลายสาย “เออ ฉันโทรฯ มาส่งข่าวเรื่องไปสอบสัมภาษณ์ที่กระทรวงการต่าง ประเทศตามที่แกแนะนำ แต่จะเรียกคุยอีกรอบถึงจะรู้ผล” ภัสสราบอก “ทำไมเสียงอ่อยขนาดนั้นว๊ะ เมื่อกี้ยังดี๊ด๊าอยู่เลย มั่นใจหน่อยเรื่องงานน่ะ ภาษาอังกฤษแกเก่งสุดในรุ่นแล้ว” พอใจพูดให้กำลังใจ “แค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวป้าดุเอาเสียมารยาท” “กลัวป้าแจ๊บล่ะสิ แก” “มีอะไรต้องกลัว งานเรียบร้อย รับเงินแล้ว ก็ไม่มีอะไรต่อกัน” “บุญคุณจ้ะ รู้จักไหม” พอใจพูดคล้ายดุเพื่อน “เออรู้แล้ว แค่นี้แหละ” พูดจบภัสสราก็วางสายไปทันที “บ้าปะว๊ะ อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาซะงั้น แปลก” พอใจพูดบ่น พอใจบอกเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับภัสสรา โดยลืมคิดไปเลยว่า อิงครัตน์เป็นอดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งลาออกมาได้ไม่นานเท่าไรนัก “ภาษาอังกฤษดีขนาดไหน” อิงครัตน์ถาม “ดีที่สุดในรุ่นนั่นแหละค่ะ แต่โต๊ดมันชอบคิดว่า ไม่ค่อยดี” “จดชื่อกับนามสกุลมา เดี๋ยวป้าลองโทรฯ ไปคุยดู ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะอย่างไรเสียก็ต้องทำตามระเบียบและขั้นตอน ของกระทรวง” อิงครัตน์ยิ้มน้อยๆ ให้พอใจที่ออกอาการดีใจแทนเพื่อน “ขอบคุณแทนโต๊ดด้วยนะคะ ป้าแจ๊บ” “ไม่ต้องไปบอกเขานะ ขี้เกียจเดี๋ยวเกิดได้งานขึ้นมาจะมาคิดว่าเป็นบุญคุณหรือคิดว่าป้าเป็นคนฝากเข้าไป” อิงครัตน์พูดกำชับ “หรือมันน้อยใจที่ป้าแจ๊บไม่อยากคุยด้วย งอนเลย” พอใจลองคิดทบทวนดู เพราะก่อนหน้ายังพูดจาเฮฮา แต่พอรู้ว่าอิงครัตน์ไม่คุย ด้วยเท่านั้นน้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที “จะมาน้อยใจอะไรกัน ไม่ได้รักกันขนาดนั้นไหม กวนจะตายไป” “จริงดิป้าแจ๊บ ปกติไม่เห็นจะเคยกวนใครเลยนะคะ นอกจากเพื่อนสนิทหรือคนที่คุ้นเคยด้วย ถ้ากวนใส่ป้าแจ๊บล่ะก็ เชื่อเถอะว่าสนิท และมันน่ะรักและไว้ใจป้าแจ๊บแล้วล่ะ เพราะไอ้โต๊ดถ้าไม่เอาใครล่ะก็กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงเลยล่ะค่ะ” พอ ใจหัวเราะเล็กๆ “พูดมากจะตายไป แม่คนนั้นน่ะ” “นั่นล่ะ เขาเรียกให้ความสนิทสนมไปมากแล้วล่ะค่ะ เจอกันแค่ครั้งสองครั้งสนิทกันเร็วดีดีแท้” พอใจยิ้มๆ อิงครัตน์ยิ้ม เมื่อนึกถึงยามได้อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะเส้นผมหอมๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ซึ่งยามได้นึกถึงยังสร้างรอยยิ้มให้ได้เสมอ “เลยกวนใส่ ถ้าสนิทกันว่างั้น” อิงครัตน์ถามยิ้มๆ “ถูกต้องค่ะ ป้าแจ๊บ อ้อเกือบลืมบอก มันฝากบอกว่า คิดถึงนะคะ” พอใจยิ้มๆ ก่อนจะขอตัวกลับ อิงครัตน์ถอนใจเบาๆ มองตามพอใจที่เดินอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังหันกลับมามองอีกเลย “เด็กสมัยนี้ นึกจะมาก็มา บทจะไปก็ไปเร็วเสียเหลือเกิน ฉันคงแก่มากแล้วสินะ ถึงได้คิดว่าชีวิตพวกเธอช่างปรู๊ดปร๊าดจนน่าเวียนหัว” อิงครัตน์ส่ายหน้า แต่เมื่อกลับมานึกถึงคำว่าคิดถึงที่มีคนฝากบอกมากับพอใจเลยหยิบโทรศัพท์ที่มีรูปที่แอบถ่ายไว้ออกมาดู “เชื่อได้ไหมล่ะ เด็กสมัยนี้บอกว่าคิดถึง โทรศัพท์สักกริ๊งไม่คิดจะโทรฯ หายเงียบไปราวกับไม่เคยรู้จักกันอย่างนั้น” อิงครัตน์คิดและนำโทรศัพท์ใส่กลับไปในกระเป๋าเหมือนเดิม ภัสสรามองดูถุงขนมที่วางอยู่ที่นั่งด้านข้างคนขับ ขณะนั่งอยู่พักใหญ่ทั้งๆ ที่ขับรถมาจอดอยู่เยื้องๆ กับบ้านของอิงครัตน์ แต่กลับลังเลว่าควรเข้าไปดีหรือไม่ เพราะมองเห็นรถยนต์จอดอยู่ภายในเชื่อว่า เจ้าของคงอยู่ในบ้าน “เอาว๊ะ ไหนๆ ก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว มานั่งมองถุงขนมอยู่ทำไมล่ะ ไอ้โต๊ดเอ๊ย” ภัสสราคว้าถุงขนมและรีบลงจากรถยนต์ทันที แต่เมื่อ มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า ซึ่งมีประตูรั้วแต่สามารถมองเห็นเข้าไปภายในได้อย่างสบาย เพราะประตูรั้วต่ำกว่าสายตาคล้ายบ้านสมัยก่อน ซึ่งรั้วสูงประมาณหน้าอกเท่านั้น อิงครัตน์ยืนหันหลัง โดยมีหญิงสาวหน้าตาดียืนยิ้มตาหยีให้อยู่ทั้งสองคนไม่ได้สนใจหรือมองมาทางด้านหน้าบ้านเอาเสียเลย เจ้าบ้านหยอกล้อด้วยการจับจมูกโด่งๆ แล้วบิดไปมา ภัสสรายิ้มจางๆ ยืนมองดูอยู่ตรงที่เดิมเหมือนร่างกายไม่ยอมขยับเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ใจอยากจะถอยห่างออกมา แต่กลับยืนนิ่งมองดูความน่ารักของสองสาวต่างวัยซึ่งกำลังหยอกล้อกันและกันอย่างน่าเอ็นดู “ป้าเขาก็น่ารักกับเด็กทุกคนไง แกจะคิดอะไรนักหนาล่ะ” ภัสสรายิ้มจางๆ หลังพูดกับตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังเตือนหรือปลอบตัวเองกันแน่ จุมพิตเล็กๆ ที่กำลังทาบทับไปที่หน้าผากของหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสดใสทำให้ภัสสราเริ่มขยับถอยห่างออกมา แต่เมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นและสองสาวที่อยู่ภายในบ้านหันมามอง ภัสสราจึงรีบเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเองทันที เพราะไม่อยากให้คนในบ้านเห็น “มีอะไร สกาย” ภัสสราถามเสียงเรียบ “เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเสียงสั่นๆ” เมฆาถาม “เปล่าพอดีรีบเดินมาขึ้นรถน่ะ” “โต๊ดอยู่ไหน ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน” เมฆาเอ่ยชวน “เดี๋ยวนะ แป๊บนึง” ภัสสรามองตามรถยนต์หรูที่เพิ่งขับผ่านไป ซึ่งมองเห็นคนขับได้อย่างเด่นชัด แต่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนมายืนอยู่ที่ประตูด้านข้างที่ตัวเองนั่งอยู่ จนกระทั่งประตูรถยนต์ถูกเปิดออก “ลงมา” อิงครัตน์พูด โดยไม่ได้ออกเสียง เพราะเห็นภัสสราจ้องมอง อยู่และมีโทรศัพท์แนบอยู่ที่หู จึงเลือกที่จะพูดโดยไม่ออกเสียง ภัสสราส่ายหน้าและพยายามดึงประตูเพื่อปิด แต่สู้แรงของคนที่ยืนอยู่ไม่ไหว “วันนี้ไม่สะดวก โต๊ดมีธุระ” ภัสสราพูดโดยไม่ได้มองดูคนที่ยังคงยืนเอาตัวขวางประตูรถยนต์เอาไว้ “งั้นเดี๋ยวค่ำๆ เราโทรฯ หานะ จะได้นัดกันเอาตอนที่โต๊ดว่าง” “แค่นี้ก่อนนะ สกาย” ภัสสรานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งหันรีหันขวางไม่กล้ามองดูคนที่ยังคงยืนจ้องมองอยู่ที่เดิม โดยไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ความเงียบทำให้หัวใจรู้สึกเย็นเฉียบอย่างไรชอบกล “โต๊ดเอาขนมมาให้ แต่เห็นมีแขกเลยไม่ได้เข้าไปค่ะ” ภัสสรายื่นถุงขนมให้โดยไม่ยอมมองหน้าอิงครัตน์ “เอาของมาฝากผู้ใหญ่ ก็กรุณาช่วยหิ้วเข้าไปส่งที่บ้าน ไม่ใช่มายื่นให้แบบนี้ ฉันไม่ใช่ขอทานหน้าตาก็ไม่อยากจะมอง แล้วจะมาหา กันทำไม” อิงครัตน์พูดต่อว่า ซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งๆ ที่ก่อนหน้าแค่อยากแกล้งและชวนเข้าบ้านเท่านั้น ไม่ได้อยากพูดจากวนๆ เลย แม้แต่น้อย “ก็ไม่อยากเข้า” น้ำเสียงที่ได้ยินทำให้อิงครัตน์เดินกลับเข้าบ้านไปและไม่ได้หันมามองภัสสราอีกเลย “เป็นอะไรของแก ไอ้โต๊ด” ภัสสราตบปากตัวเองและมองตามเจ้า ของบ้านที่เปิดประตูค้างเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ย่องตามเข้าไปภายใน อิงครัตน์เดินมาหยุดยืนกอดอกอยู่หน้าบ้านบริเวณเดียวกับที่ยืนอยู่กับสาวที่เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ ภัสสราเดินตามเข้ามาพร้อมด้วยถุงขนมและหยุดยืนอยู่ข้างๆ อิงครัตน์ “ถ้าสงสัยอะไร ก็ควรถาม” อิงครัตน์เอ่ยขึ้นก่อน “หนูไม่ได้สงสัยอะไร” “พูดปดก็ไม่ใช่เรื่องดี วางถุงขนมลงแล้วเดินมายืนคุยกันให้เห็นหน้าเห็นตา” น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังถูกดุทำให้ภัสสราหน้างอเล็กน้อย แต่ทำตามอย่างที่อิงครัตน์บอกทุกประการ “เงยหน้าขึ้น” อิงครัตน์จ้องมองไม่วางตา แต่ภัสสรายังคงก้มหน้าอยู่ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่อิงครัตน์พูด “เงยหน้าขึ้น ต้องกล้ามองสบตาสิ ถ้าไม่ได้พูดปด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แค่เอาขนมมาให้ ไม่ได้อยากเจอ ไม่ได้คิดถึง อย่างนั้นหรือเปล่า” อิงครัตน์ถาม แต่ภัสสรายังคงยืนเงียบ “ไม่พูดขอให้เป็นใบ้ไปจริงๆ เถ๊อะ” อิงครัตน์ยิ้มก่อนจะเอามือลูบไล้ไปที่เส้นผมที่ดูยุ่งเหยิงอยู่พอสมควร ซึ่งคงเกิดจากลมพัดเมื่อสักครู่ คนที่ยืนอยู่ยังคงยืนนิ่งไม่ได้ขยับถอยหนี อิงครัตน์จึงขยับเข้าใกล้และยิ้มน้อยๆ ให้คนที่ยังคงยืนก้มหน้าเล็กน้อยและทำหน้างออยู่ แม้จมูกจะถูกบิดไปมาเป็นการหยอกเอินแต่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ให้เห็น จนกระทั่งจุมพิตที่ทาบทับอย่างแผ่วเบาไปที่หน้าผากได้ทำให้ ภัสสราขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย “เก่งนักก็อย่าหนีสิ ครบหรือยังที่มาแอบดูอยู่น่ะ แล้วงอนทำท่าจะหนีกลับ ถามจริงไม่อยากเจอฉันแล้วเธอจะมาทำไมกัน” อิงครัตน์ถาม “ไม่รู้” คำตอบสั้นๆ ทำให้อิงครัตน์ยิ้มและยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้า “ดีกันได้แล้ว นะ” “ไม่” “เด็กอะไรจะขี้งอนขนาดนี้นะ ไม่เกี่ยวก้อยก็ได้ เงยหน้าให้ดูดวงตาที่แสนสวยหน่อยสิ นะ” น้ำเสียงอ้อนๆ ทำให้ภัสสราแอบยิ้ม “จะสวยสู้” ภัสสราพูดเพียงแค่นั้น อิงครัตน์ยิ้มและค่อยๆ เชยคางของภัสสราให้เงยหน้าขึ้นมามองสบตาด้วย “ไม่เห็นต้องไปสู้กับใครเลย เธอเป็นเธอก็น่ารักดีอยู่แล้ว” “ไม่ต้องมาชมเลย ป้า” ภัสสราบ่นพึมพำ “ถ้าขอโทษจะยิ้มสวยๆ ให้ดูไหม” อิงครัตน์ยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ “ทำไมต้องยิ้ม” ภัสสราพูดขึ้น “ถ้ายิ้มสวยๆ จะให้หอมแก้มทีหนึ่ง เอาปะล่ะ” อิงครัตน์หัวเราะเล็กๆ แล้วหันแก้มให้แถมยังขยับเข้าใกล้มากกว่าเดิม เมื่อยิ่งเข้าใกล้ทำให้ภัสสรารู้ตัวเลยว่า ตัวเองคิดถึงผู้หญิงขี้แกล้งช่างแหย่คนนี้มากขนาดไหน จึงขยับใบหน้าเข้าหาแก้มอันเปล่งปลั่ง ไม่ใช่เพียงแค่ปลายจมูกที่กระทบ แต่เป็นจุมพิตเล็กๆ ที่ภัสสราไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าจูบแก้มของอิงครัตน์ ซึ่งไม่ได้แสดงท่าทางตกใจอะไรเลยด้วย “แม่คนที่ทำให้เธองอนฉันน่ะ หลานสาวฉันเอง ฉันหอมแก้มกอดรัดฟัดเหวี่ยงมาตั้งแต่แบเบ๊าะ แต่พอโตเป็นสาวนานๆ ได้เจอกันที ก็ตามที่เธอเห็นนั่นแหละ” อิงครัตน์ยิ้มสวยๆ ให้ภัสสราที่ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มให้เห็น “แล้วไง หนูไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” “แต่ฉันอยากบอก ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด ไปเถอะ กินขนมกันดีกว่า เจ้าเด็กขี้งอน” อิงครัตน์หัวเราะคิกคักก่อนจะเดินหนีเข้าบ้านไป “คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก ตัวเองล่ะที่ยื่นหน้ายื่นตามาน่ะ โตนักหรือไงชอบแกล้งอยู่เรื่อย ไอ้ที่ไม่กล้าเงยหน้า เพราะกลัวว่าจะรู้ไงล่ะว่า คิดถึง” ภัสสราบ่นพึมพำขณะเดินไปหยิบถุงขนมและเดินตามเข้าไปในบ้าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD