ผลไม้ที่หั่นออกเป็นชิ้นๆ หลากหลายชนิดถูกนำมารวมกันเอาไว้ในชามแก้วขนาดใหญ่ ภัสสรายิ้มให้คนที่นั่งทำงานและกำลังหันมามองก่อนจะกลับไปสนใจกับงานที่ทำค้างเอาไว้ ภัสสราผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลและพริกขี้หนูเล็กน้อยชิมให้ได้รสชาติเปรี้ยวเค็มหวานก่อนจะนำไปเทลงในผลไม้ที่หันเตรียมเอาไว้และกำลังคลุกเคล้าให้เข้ากัน
“สาระแนสักหน่อย” ภัสสราหัวเราะเล็กๆ
“สะระแหน่ไหม” เสียงเข้มๆ ที่ได้ยินทำให้ภัสสราอมยิ้ม เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ทำผิดและถูกผู้ใหญ่ช่วยเตือน
“ป้านี่ก็ท่าทางขี้บ่นเอาเรื่องนะ” ภัสสราพูดขึ้น
“ถ้าไม่มีใครมาให้ต้องบ่น ก็ไม่บ่น ฉันอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นต้องบ่น”
“จะบอกว่า เพราะหนูว่างั้น” ภัสสราพูดต่อปากต่อคำขณะถือจานยำผลไม้มาวางที่โต๊ะกลาง ซึ่งถูกเตรียมเอาไว้เป็นโต๊ะประชุมงาน เตรียมงานและรับประทานอาหารไปในตัวด้วย อิงครัตน์ลุกขึ้นมานั่งอยู่ด้านข้างภัสสราและดึงจานยำผลไม้ซึ่งวางอยู่อีกฝั่งมาวางเอาไว้ตรงหน้า
“แล้วใช่ไหมล่ะ พูดให้มันถูกก็ไม่ต้องดุกัน” อิงครัตน์ใช้ส้อมจิ้มชิ้นแอปเปิ้ลเข้าปาก
“อึ้งไปเลย อร่อยล่ะสิ” ภัสสรายิ้มหันมาจ้องมองดูคนที่เริ่มจิ้มผลไม้ต่างๆ เข้าปากทีละชิ้น
“อร่อยดี เก่งนะ เราน่ะ”
“ได้รับคำชมด้วยวุ๊ย ชื่นใจ” ภัสสราหัวเราะคิกคักและหันไปจัดการยำผลไม้ในจานของตัวเอง ซึ่งอิงครัตน์แอบมาจิ้มสัปปะรดชิ้นหนึ่งไปและนำเข้าปากทันที
“เอ๊าป้า แบ่งให้เท่ากันเลยนะ ทำไมเป็นคนแบบนี้ล่ะ แย่งของเด็ก”
“ฉันเป็นคนซื้อจะจิ้มจากจานเธออีกกี่ชิ้นก็ได้ มีปัญหาปะ” อิงครัตน์เอื้อมไปจิ้มชมพู่จากจานของภัสสราอีกครั้งและยังยักคิ้วหลิ่วตา
ล้ออีก
“ก็ได้ อย่าไปกินอะไรที่บ้านเขาบ้างก็แล้วกัน”
“ใครจะไป ไม่มีทางหรอก” อิงครัตน์พูดยิ้มๆ เดินไปเทน้ำใส่แก้วนำ มาวางให้ภัสสราแก้วหนึ่งและของตัวเองแก้วหนึ่ง
“นั่นสิห้องยังกับรังหนู เล็กกว่าครัวป้าอีก มาทำให้กินที่นี่ดีแล้ว”
“ใหญ่เล็กไม่ได้สำคัญอะไร ที่ไหนอยู่แล้วสบายใจที่นั่นก็ทำให้คนเรามีความสุขได้ บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรนักหนา” อิงครัตน์
ยิ้มๆ มองดูจานว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะหันไปมองดูคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“สำคัญที่ใจ แล้วอยู่คนเดียวทำไมต้องซื้อบ้านหลังใหญ่ด้วยล่ะ”
“ตอนซื้อคิดว่าจะมีคนมาอยู่ด้วยไงล่ะจ๊ะ” รอยยิ้มของอิงครัตน์จางลงเล็กน้อย ขณะลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหยิบไอศกรีมบรรจุถ้วยซึ่งขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนักพอทานสำหรับหนึ่งคน
“ขอบคุณค่ะ” ภัสสราไม่ได้ถามต่อ เพราะเห็นว่ารอยยิ้มสวยๆ นั้นจางหายไป ถึงจะไม่มากแต่เชื่อว่า คงมีเรื่องอะไรที่เจ้าบ้านไม่อยากนึกถึงหรือเอ่ยถึงอีก
“เรารู้จักกันมากพอที่ฉันจะถามเรื่องส่วนตัวได้บ้างหรือยัง”
“เรื่องอะไรล่ะคะ ป้าล่ะคิดว่าไง” ภัสสราถามกลับ
“เธอน่ารักดี ดูไม่มีพิษมีภัย”
“ต้องดีใจไหม วันนี้ชมสองรอบแล้วนะเนี่ย แปลกๆ” ภัสสราหัวเราะ
“อยู่กรุงเทพฯ คนเดียวหรือ” อิงครัตน์ถาม โดยทำเหมือนเป็นการพูดคุยกันปกติ ซึ่งยังคงให้ความสนใจอยู่กับไอศกรีมที่รับประทาน
อยู่
“น้องสาวอีกคนค่ะ แต่อยู่หอพักมหาวิทยาลัย แม่อยู่ต่างจังหวัด”
“ปัญหาเรื่องเงินมาจากไหนกัน อายุขนาดนี้น่าจะมีเงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นแล้วนะ” อิงครัตน์หันไปมองสบตากับภัสสราที่ยิ้มจางๆ
ให้
“ให้ครอบครัว” ภัสสราบอก
“แล้วคิดว่าปัญหาจะเกิดขึ้นอีกไหม ถ้าเธอยังไม่ได้งานทำ”
“หนูพยายามใช้อย่างประหยัด ส่วนเรื่องเงินที่ต้องให้ครอบครัวยังพอมีให้อีกสองเดือน”
“ทำอะไรเพื่อครอบครัว ก็อย่าลืมเผื่อตัวเองด้วย จัดสรรเงินให้ดีจะได้ไม่เกิดปัญหาอีก เธอต้องจัดสรรเงินส่วนของตัวเองไว้ด้วย” อิงครัตน์พูดส่วนภัสสราตั้งใจฟังและคิดตาม
“ตั้งใจว่าน้องสาวเรียนจบทำงาน ก็จะเริ่มเก็บเงินของตัวเอง”
“ได้ยินมาว่าเก่งภาษาอังกฤษ เอาไอ้เล่มบนโต๊ะไปแปลให้หน่อยสิ ฉันจะแบ่งค่าแปลให้ครึ่งหนึ่ง” อิงครัตน์บอก ภัสสราหันไปมองหนังสือที่วางอยู่ที่โต๊ะทำงานเล็กๆ มุมห้อง
“ทำให้ฟรีก็ได้” ภัสสราพูดขึ้น
“ไว้เหลือกินเหลือใช้ค่อยมาช่วย ตกลงจะทำไหม ถ้าทำก็ไปเขียนต่อเลย อย่าขี้โม้ขี้เกียจฟัง ของานเร็วเข้าว่า” อิงครัตน์อมยิ้ม เมื่อชำเลืองมองเห็นภัสสรานั่งหน้ายุ่งอยู่
“รู้ว่ารวย หยิ่งเนอะ เด็กมีน้ำใจให้ก็ไม่รับ งั้นจ่ายล่วงหน้ามาเลยยิ่งร้อนเงินอยู่” ภัสสรายื่นมือไปตรงหน้า เมื่ออิงครัตน์หันมามองยังทำเป็นยักคิ้วหลิ่วตาให้อีก
“หน้าเงินเสียจริงเลย เดินไปหยิบเอาที่ลิ้นชักโต๊ะ”
“แหมล้อเล่นนิดเดียวเอง งานเสร็จค่อยรับเงินก็ได้ค่ะ ท่านผู้ใจดี”
“เอาไปครึ่งหนึ่งก่อนก็ได้ เผื่อจำเป็นต้องใช้ ฉันเชื่อใจเธอไปหยิบเอาอยู่ในลิ้นชักนั่นแหละ ฉันจะเอาถ้วยชามไปล้างก่อน ถ้าเธอพร้อมก็เริ่มงานได้เลย ตกลงตามนี้” อิงครัตน์หยิบจานและแก้วน้ำเดินออกไปทางด้านห้องครัว ภัสสรามองตามและหันมามองที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีลิ้นชักอยู่ทางขวามือ ในเมื่อได้รับอนุญาตจึงเดินไปเปิดดูเห็นว่ามีซองจดหมายเก่าๆ ที่เปิดอยู่จนเห็นว่ามีธนบัตรใบละพัน ห้าร้อยและหนึ่งร้อยบาท ภัสสรายิ้มนึกขอบคุณในความไว้วางใจที่อิงครัตน์มีให้ ลิ้นชักถูกปิดลงหลังจากมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ซึ่งคนเขียนนำไปเสียบเอาไว้ในซองก่อนจะนั่งลงและเริ่มทำงาน บางทีความไว้เนื้อเชื่อใจก็มีค่ามากกว่าเงินทองมากมายที่อยู่ตรงหน้า ภัสสรายิ้มและตั้งใจว่าจะทำงานให้ออกมาดีและเสร็จตามกำหนดเวลาที่อิงครัตน์วางแผนเอาไว้
ภัสสรามองดูโทรศัพท์ที่ปรากฏชื่อของคนที่โทรเข้ามา ซึ่งก็คือ เมฆา โดยเจ้าของโทรศัพท์เพียงแค่มองแล้วปล่อยให้หน้าจอโทรศัพท์ดับไป ซึ่งเป็นอย่างนั้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง รอยยิ้มจางๆ กับอาการถอนใจไม่ได้หลุดรอดสายตาเจ้าของบ้านที่เอนนอนมองดูอยู่ โดยภัสสราคิดว่าอิงครัตน์คงงีบหลับไป ความมืดมิดด้านนอกไม่ได้บดบังความสวยงามของสวนสีเขียว ซึ่งเริ่มมีแสงไฟปรากฏให้เห็นทำให้ได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความสวยงามในตอนกลางวันและกลางคืน
“ไม่เหนื่อยหรือ นั่งทำงานมาเกือบสามชั่วโมงจนมืดค่ำแล้ว” ภัสสรายิ้มๆ เพราะไม่ทันสังเกตว่าอิงครัตน์ลุกมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่ตอนไหน แต่มารู้สึกได้ก็ตอนที่มีมือทาบทับลงที่ไหล่และเริ่มนวดเบาๆ ทำให้รู้สึกสบายตัว จึงยืดแขนเหยียดไปด้านข้าง ความเพลิดเพลินกับการอ่านนิยายและแปลไปด้วยทำให้ลืมเวลาไปเลย
“หายเลยพอมีคนนวดให้” ภัสสรายิ้มและหันมายิ้มสวยๆ ให้คนที่ยืนยิ้มอยู่ทางด้านหลัง
“มีความอดทนและความตั้งใจสูงเหมือนกันนะ เรา”
“นิยายสนุกดีนะคะ แปลเสร็จแล้วขายดีแน่นอน” ภัสสราพูดขึ้นขณะเอนตัวไปพิงที่ตัวของอิงครัตน์อย่างลืมตัว เพราะความสบายที่ได้รับการนวดที่ไหล่ทำให้อยากพักสายตาจึงหลับตาลง ความรู้สึกสงบเข้ามาอยู่ในความ รู้สึกได้อย่างน่าประหลาด
“ไม่ได้รีบขนาดนั้น ค่อยๆ ทำก็ได้”
“เสร็จเร็วก็ได้เงินเร็ว ป้าลองอ่านดูก่อนก็ได้นะ ถ้าไม่มั่นใจในการแปลของหนู” ภัสสราพูดขึ้น
“กลับบ้านไปนอนได้แล้วจ้ะ” อิงครัตน์บอกแล้วเอามือยีที่ศีรษะของภัสสราเบาๆ
“ขี้เกียจขับรถจัง” ภัสสราพูดเสียงอ่อยๆ
“นอนที่เก้าอี้นอนนั่นก็ได้ กางออกเป็นเตียงนอนสบาย” อิงครัตน์พูด ภัสสราหันมายิ้มแป้นทันที เพราะที่บ่นไปเป็นเรื่องจริงที่ขี้เกียจขับรถอีกทั้งพอร่างกายรู้สึกสบายตัวทำให้อาการง่วงนอนเกิดขึ้นทันที
“จริงนะ ป้า” ภัสสราถาม
“ล้อเล่นมั้ง” อิงครัตน์หัวเราะเดินเข้าไปในห้องกลับออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัว กางเกงขาก๊วยและเสื้อยืด
“พอใจบอกว่าป้าใจดี เพิ่งเชื่อนี่แหละ” ภัสสราหัวเราะ เมื่ออิงครัตน์เขวี้ยงผ้าเช็ดตัวใส่ ดีที่คว้าเอาไว้ทัน
“ก่อนหน้าคิดว่าใจร้ายและปากหมาว่างั้น” อิงครัตน์หัวเราะ
“ประมาณนั้นเลย”
“มันน่าเขกกบาลนักนะ ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ถ้ากลัวเปิดไฟนอนได้ ถ้าไม่กลัวก็ปิด ฉันไปนอนล่ะ” อิงครัตน์พูดจบก็เดินกลับเข้า
ห้องนอนไป ภัสสรามองตามยิ้มๆ กับความเป็นกันเองที่ได้รับ หากเป็นผู้ใหญ่คนอื่นคงโดนไล่กลับไปตั้งแต่ท้องฟ้าเริ่มมืด
“ถ้ามีผู้ใหญ่อย่างป้าเยอะๆ โลกนี้คงมีความสุขมากขึ้น” ภัสสรายิ้มขณะได้กลิ่นหอมสะอาดจากชุดและผ้าเช็ดตัวที่อิงครัตน์นำมาให้
เมฆาหัวเสียที่โทรศัพท์ไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ภัสสราไม่ยอมรับ สายและยังไม่กลับมาที่ห้องพักด้วย เพราะสอบถามจากเจ้าหน้าที่ๆ ดูแลแจ้งว่ายังไม่เห็นกลับเข้ามาและที่จอดรถประจำก็ไม่มีรถยนต์ของภัสสราจอดอยู่ทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่กลับเข้ามา จึงรีบโทรศัพท์หาพอใจ
“มีอะไรสกาย” พอใจถามหลังจากพูดทักทายกันแล้ว
“โต๊ดอยู่กับพอใจหรือเปล่า”
“เปล่า ดึกแล้ว เรากำลังจะเข้านอน” พอใจบอก
“เรามารออยู่ที่อพาร์ทเม้นท์หลายชั่วโมงแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วยังไม่กลับเข้ามาเลย” น้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายเป็นห่วงทำให้พอใจแปลกใจ
“โทรฯ ไปหรือยัง”
“โทรฯ ไปเป็นร้อยสายแล้วมั้ง แต่ไม่รับ” เมฆาพูดด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ฟังดูเหมือนโต๊ดมันไม่อยากคุยด้วย”
“ทำไม โต๊ดเล่าอะไรให้ฟัง” เมฆาถามกลับ
“เรื่องไม่ดีคิดหรือว่า คนอย่างโต๊ดมันจะเล่าให้ใครฟัง” พอใจพูดขึ้น
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดี เรากับโต๊ดอาจจะแค่ระหองระแหงกันเท่านั้น” เมฆาบอก
“มันตกงาน มันอยากได้กำลังใจ นายหายไปไหนมาสกาย”
“นี่ไงก็มาแล้วๆ เจ้าตัวไปไหน” พอใจถอนใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เมฆาพูด
“คนที่ไม่เคยรู้จัก ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ไอ้คนที่ควรอยู่เคียงข้างเพิ่งจะโผล่มา เราว่าก็สมควรแล้วปะที่ไอ้โต๊ดมันไม่รับโทรศัพท์
เราว่าสกายกลับบ้านนอนเถอะ อยากคุยเมื่อไรมันก็คงโทรฯ ไปหาเองแหละ” พอใจพูดคล้ายต่อว่า แต่นึกเป็นห่วงขึ้นมาเหมือนกัน เพราะ
ไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปไหนดึกดื่นแล้วทำไมยังไม่กลับ
“คนเราก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวบ้างปะว๊ะ” เมฆาพูดขึ้น
“แล้วจะโทรฯ มาหาทำไมว๊ะ แค่นี้นะจะนอนแล้ว อย่าทำนิสัยแบบนี้กับคนอื่นเราไม่ชอบ” พอใจพูดต่อว่า
“ขอโทษ เราเป็นห่วงโต๊ดน่ะ” เมฆาเริ่มเสียงอ่อน
“แค่นี้แหละ” พอใจวางสายจากเมฆาและรีบโทรศัพท์หาภัสสราทันที แต่เจ้าของเครื่องหลับไปแล้ว อิงครัตน์ออกมาหยิบน้ำดื่มจึง
เห็นชื่อของคนที่โทรศัพท์เข้ามาเลยรีบกลับเข้าไปในห้องและโทรศัพท์ไปหาพอใจทันที
“สวัสดีค่ะ ป้าแจ๊บ” พอใจพูดทักทายขึ้นก่อน
“สวัสดีจ้ะ โต๊ดหลับอยู่ที่บ้านป้าไม่ต้องห่วง”
“อ้าว มิน่าถึงไม่รับโทรศัพท์ที่แท้ก็ไปสิงสถิตอยู่บ้านป้าแจ๊บนี่เอง”
“หลับง่ายหลับดาย หลับไม่รู้เรื่องเลย โทรศัพท์แสงไฟวาบๆ ยังไม่รู้ ป้าเลยรีบมาโทรฯ บอก พอใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“กราบขอบพระคุณค่ะ ถ้าอยู่กับป้าแจ๊บค่อยโล่งใจหน่อย”
“มีอะไรกันหรือเปล่า” อิงครัตน์ถาม
“พอดีมีคนตามหามันน่ะค่ะ แล้วเจ้าตัวไม่รับสายเลยเป็นห่วงโทรฯมาหาใจ แต่ตอนนี้สบายใจแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ ป้าแจ๊บ”
“ไม่เป็นไร ถ้ายังไงพรุ่งนี้ตื่นเห็นพอใจโทรฯ เข้าคงโทรฯ กลับไป”
“ฝากโต๊ดด้วยนะคะ ป้าแจ๊บ เหมือนมันเคว้งๆ และไม่ค่อยมีใครให้ปรึกษาด้วย นอกจากเพื่อนไม่กี่คน” พอใจยิ้มและรู้สึกดีที่ได้รู้ว่า
ภัสสราอยู่กับอิงครัตน์
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ปากดีเหมือนเดิม อ้อป้าจ้างให้แปลหนังสือจะได้มีเงินพอใจจ่ายส่วนตัว” อิงครัตน์บอกกับพอใจ
“กราบค่ะ ป้าแจ๊บน่ารักที่สุด” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้อิงครัตน์ยิ้ม
“ดูก็เป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง ชีวิตน่าจะสุขสบายกว่านี้นะ”
“รักครอบครัวมากกว่าตัวเอง ถึงจะเป็นเรื่องดีก็เถ๊อะ แต่ดูเหมือนจะลืมความสุขของตัวเองไป นานไปจะแย่เอา” พอใจพูดคล้ายบ่น
“พอๆ ป้าจะไปนอนแล้ว ขี้เกียจฟังเรานินทาเพื่อน” อิงครัตน์ยิ้ม
“ฝากเอ็นดูเพื่อนใจด้วยนะคะ ป้าแจ๊บ” พอใจบอก
“จ้ะ แม่พอใจ ป้าง่วงแล้ว”
“ฝันดีค่ะ”
“ฝันดีจ้ะ” อิงครัตน์แง้มประตูห้องมองดูภัสสราที่ยังคงหลับสนิทอยู่
“กินง่าย นอนง่าย ไม่น่ามีปัญหาเยอะนักมั้ง” อิงครัตน์คิด
ผ้าห่มพับวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ รวมถึงชุดนอนด้วยเช่นกันเจ้าของบ้านตื่นเช้าเหมือนปกติ แต่แขกที่มานอนอยู่เมื่อคืนที่ผ่านมาตื่นเช้ากว่ามาก เพราะฟ้ายังไม่สางเลย กระดาษแผ่นเล็กๆ ทำให้อิงครัตน์ยิ้ม
“ทำโจ๊กไว้ให้จ้า ขอบคุณสำหรับน้ำใจและที่พักอาศัย โต๊ดเอง”
“เด็กบ้าเอ๊ย ตื่นมาทำโจ๊กตอนไหน” อิงครัตน์บ่นพึมพำมองดูไปที่ผนังซึ่งมีนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบหกโมงเช้า จึงเดินไปดูชามที่มี
โจ๊กอยู่เกือบเต็มชามรวมถึงกาแฟที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้พร้อมดื่ม
“อีกหน่อยฉันคงเป็นคนขี้เกียจสินะ เจ้าเด็กแสบ” กาแฟทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น อิงครัตน์เดินมานั่งที่โต๊ะซึ่งมีชามโจ๊กวางอยู่ก่อนจะ
ค่อยๆ ตักเข้าปากรับประทานอย่างช้าๆ เพราะปกติเป็นคนที่ใครๆ บอกเอาไว้ว่าเป็นคนที่มีชีวิตอย่างช้าๆ หรือสโลว์ไลฟ์ที่คนชอบพูดกัน ความไม่เร่งรีบหรือรีบร้อนทำให้มีเวลาซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน อิงครัตน์ยิ้ม เมื่อนึกถึงคนที่ตั้งใจทำโจ๊กเอาไว้ให้
ภาพที่ปรากฏในอินสตาแกรมของอิงครัตน์ทำให้คนที่กำลังเปิดหนังสือที่หยิบมาเพื่อทำงานต่อยิ้มกว้างมากขึ้น โจ๊กเกลี้ยงชามพร้อมด้วยข้อความประกอบรูปเขียนเอาไว้ว่า
“ลาภปากแต่เช้าจากสาวจอมแสบ” ภัสสรายิ้มจางลงทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรศัพท์เข้ามา
“รับได้เสียที” เสียงของเมฆาท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก
“มีอะไร” ภัสสราถาม
“หายไปไหนมา”
“ทำงาน”
“งานอะไร ดึกดื่นไม่กลับห้อง” เมฆาถามเสียงเข้ม
“แปลหนังสือให้ป้าแจ๊บ คุยกันเรื่อยเปื่อยจนดึก ป้าแจ๊บเลยให้นอนที่บ้าน โต๊ดเพิ่งกลับมานี่แหละ” เมื่อได้ยินเรื่องของอิงครัตน์เลยทำให้เมฆาเงียบไป
“คุยอะไรกัน ป้าแจ๊บถามถึงเราหรือเปล่า” เมฆาถาม
“เปล่านี่ ว่าแต่สกายมีอะไร”
“อยากคุยด้วย อยากพาไปนั่งรถเล่นหาข้าวกินกัน” เมฆาบอก
“เมื่อไหร่” ภัสสราถาม
“ตอนนี้ เราอยู่ข้างล่างลงมาเลย” เมฆาทำเสียงเข้ม
“ทำไมไม่บอกก่อน”
“บอกก่อนก็บ่ายเบี่ยง”
“ก็ได้” ภัสสราพูดเสียงอ่อยๆ ตั้งใจว่าจะออกไปรับประทานอาหารกับเมฆาและจะรีบกลับมาทำงานต่อ
ภัสสรามองดูนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั่งรถยนต์มากับเมฆาพักใหญ่และกำลังเข้าเขตชานเมือง
“เราจะไปไหนกัน” ภัสสราถามเสียงเรียบ
“ขับรถเล่นและหาร้านอาหารริมน้ำนั่งชิลด์ๆ กินข้าวกัน แต่ถ้าโต๊ดอยากไปไหนต่อก็บอก” เมฆาหันมายิ้มสวยๆ ให้
“โต๊ดมีงาน รีบด้วย แค่กินข้าวแล้วกลับไปส่งโต๊ดได้ไหม”
“ตกงานอยู่ไม่ใช่หรือ” เมฆาถาม
“ไม่ต้องมาย้ำ ถึงไม่มีงานประจำ โต๊ดก็ต้องหางานพิเศษทำไม่อย่าง นั้นจะเอาเงินที่ไหนใช้” ภัสสราบอก
“ส่งเงินให้แม่น้อยลง โต๊ดก็จะมีกินมีใช้ เชื่อเรา”
“พูดอย่างนี้ได้ไง” ภัสสราพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“เราไม่ได้บอกว่า ไม่ให้เงินแม่นะ เราแค่อยากให้โต๊ดรู้จักแบ่งเงินไว้สำหรับตัวเอง แล้วเป็นไงสุดท้ายก็เดือดร้อนเรื่องเงิน” เมฆา
บอกภัสสรามาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งบางเรื่องไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรเลย แต่เมื่อมารดาเอ่ยปากภัสสราก็รีบจัดการให้ทันที
“แต่โต๊ดก็ไม่เคยยุ่งเรื่องเงินทองของสกาย”
“ถ้าเดือดร้อน เราช่วยได้” เมฆาบอก
“อย่าลำบากเลย เพราะเราผ่านช่วงนั้นมาแล้วล่ะ ไม่ต้องมีสกายโต๊ดก็อยู่ของโต๊ดได้”
“หมายความว่าไง ป้าแจ๊บบอกอะไรมาหรือเปล่า” เมฆาถาม
“ไม่เห็นต้องบอกอะไร การกระทำที่ได้เห็นมันก็ชัดอยู่แล้ว”
“โต๊ดมีคนอื่น หรือ” เมฆาถาม
“โต๊ดควรเป็นคนถามหรือเปล่า สกาย” ภัสสราแอบถอนใจ
“ก็อยากคุยด้วยอยู่นี่ไง ถึงได้พามาไกลขนาดนี้”
“คุยที่ไหนก็ได้ ถ้าสกายจะบอกว่า สกายมีคนอื่น”
“แล้วไง ไม่ได้จริงจังอะไรสักหน่อย” เมฆายักไหล่
“เคยจริงจังกับใครบ้าง ถามจริง” ภัสสรารู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก เพราะเมฆาพูดคล้ายดูถูกผู้หญิงและเจ้าตัวยังทำนิ่งเฉย
เหมือนทุกครั้งที่มีปัญหาซึ่งจะปล่อยผ่านไปด้วยการทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย
ร้านอาหารริมน้ำมีลมพัดเบาๆ เย็นสบาย ผู้คนมีไม่มากนักเพราะไม่ใช่วันหยุด เมฆาดูแลเอาใจใส่ภัสสราเป็นอย่างดีไม่พูดคุยชวนทะเลาะกันเหมือนก่อนหน้า เพราะรู้สึกว่า ภัสสราดูเปลี่ยนไปปกติจะเป็นคนอะไรก็ได้กับตัวเขา แต่ครั้งนี้พูดอ้างเรื่องงานเหมือนไม่ยากจะพบเจอกันสักเท่าไรนักทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่ว่าเอ่ยปากเรื่องอะไรภัสสรามักคล้อยตามเสมอ
“ของชอบของโต๊ดทั้งนั้นเลยนะ” เมฆาพูดขึ้น แต่เมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับถอนใจ
“ป้าแจ๊บ” เมฆารำพึงออกมาเบาๆ ภัสสรายิ้มจางๆ เมื่ออิงครัตน์เห็นและกำลังเดินตรงเข้ามาทักทาย สองหนุ่มสาวพนมมือไหว้ทันที
“นั่งด้วยกันไหมครับ” เมฆาถาม
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจเป็นก้างขวางคอ” คำพูดของอิงครัตน์ทำเอาทั้งสองหนุ่มสาวรู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบแบบสุภาพ
“ไม่หรอกครับ เราแค่มาทานข้าวกัน” เมฆารีบอธิบาย
“ป้าแค่มาทานข้าวเหมือนกัน แต่เราสองคนมาทานข้าวกันเสียไกลเลยนะ กลัวใครจะเห็นเข้าหรือไง” อิงครัตน์ถามเมฆา โดยไม่ได้สนใจภัสสราที่จ้องมองอยู่
“พอดีมีเรื่องต้องคุยกันเลยขับรถมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่นี่ครับ”
“ตามสบายนะ ป้าหิวแล้ว ขอไปหาที่นั่งสั่งอะไรทานก่อน ต้องรีบกลับบ้านไปทำงานต่ออีก” อิงครัตน์ปลายต่อมองภัสสราเล็กน้อย
“ครับผม” สองหนุ่มสาวพนมมือไหว้อีกครั้ง
“โต๊ดขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ภัสสราบอกเมฆาที่พยักหน้าให้ เมื่อเห็นเดินไปไกลแล้ว จึงรีบโทรศัพท์หาจารวีหรือจูนทันที
ภัสสราหันรีหันขวางเงอะงะอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมองเห็นอิงครัตน์ที่ก้มหน้าก้มตาดูรายการอาหารจนกระทั่งพนักงานจดรายการไป
เรียบร้อย
“หนูขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” ภัสสราพูดมีหางเสียงและคำลงท้ายเพราะแววตาของอิงครัตน์ที่จ้องมองไม่ได้บ่งบอกอะไรเหมือนทุกครั้งที่แสดงความอ่อนโยนให้เห็น
“เชิญจ้ะ” อิงครัตน์พูดเพียงแค่นั้น
“หนูกับสกายเป็นแฟนกัน” อิงครัตน์พยักหน้าแสดงอาการรับรู้
“แล้ว”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ทำไมถึงต้องเดินตามป้ามา” ภัสสราบอกสิ่งที่ตัวเองรู้สึก
“สกายล่ะ เขาคิดว่าเขาเป็นแฟนเธอด้วยหรือเปล่า” อิงครัตน์ถาม
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนู แต่ปัญหาของหนูก็คือ ป้าไม่ยิ้มไม่มองหน้าเหมือนหนูทำอะไรผิด ถ้าคิดว่าหนูผิดที่หนูเป็นแฟน
สกาย ป้าก็เตือนก็บอกหนูก็ได้ว่าหนูควรทำอย่างไร เพราะสกายคงอยากเป็นหลานเขยของป้ามากกว่า” ภัสสราพูดโดยไม่ละสายตาจากแววตาของอิงครัตน์ที่จ้องมองแบบไม่วางตาเช่นกัน
“ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ถ้าสกายจะคบผู้หญิงกี่คนก็เรื่องของเขา”
“แล้วหนูล่ะ ป้าอยากเกี่ยวข้องด้วยไหม หรือหนูก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ป้าสงสารเห็นตกงานเงินไม่มีเลยช่วยเหลือเหมือนคนทั่วไป”
ภัสสราถาม
“ความสำคัญมันอยู่ตรงไหนล่ะ ถ้าฉันคิดอะไร คิดกับเธออย่างไร” อิงครัตน์ถามและเป็นคำถามที่ยากสำหรับคนที่จะต้องตอบ
“นั่นสิ” ภัสสราถอนใจ
“ถ้าที่ผ่านมาทำอะไรที่ทำให้เข้าใจผิดล่ะก็ ลืมมันซะ เอาเป็นว่าฉันขอโทษ ดีแล้วล่ะที่มาบอกว่าเป็นแฟนกับสกาย ฉันจะได้รู้ว่าควรปฏิบัติตัวกับเธออย่างไร” อิงครัตน์ถอนใจเล็กน้อย
“อยากห่างเหินเหมือนที่ทำอยู่”
“ก็คงงั้น” อิงครัตน์พูดขึ้น
“หนูเข้าใจแล้ว ป้าคงน่ารักกับเด็กทุกคนเหมือนที่ทำกับหนู”
“ไปเถอะ เดี๋ยวสกายจะรอ” อิงครัตน์บอก
“ปัญหามันอยู่ตรงไหน ถ้าหนูแก้ไขได้ หนูจะแก้ หนูไม่อยากให้ป้าเย็นชากับหนู ยิ้มสวยๆ กับแววตาอบอุ่นของป้าเหมือนเป็นกำลัง
ใจให้หนูมาตลอดตั้งแต่วันที่เจอกัน หนูต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่ในสายตาป้าอีกครั้ง”
“มันผ่านไปแล้ว งานเสร็จเดี๋ยวเราเจอกันน้อยลง ก็คงลืมๆ กันไปเองแหละ ว่าไหม ไปได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวแฟนจะรอ ฉันจะได้ทานอาหารเสียที”
“ทีหลังอย่าไปทำดีกับใครมากๆ เหมือนที่ทำกับหนูเลยนะ สงสารเขาเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปมากมาย ขอบคุณค่ะ” ภัสสราพนมมือ
ไหว้แล้วลุกเดินออกไป ซึ่งไม่ได้กลับไปที่โต๊ะ แต่เดินออกจากร้านไปทันที