บทที่ 11

1527 Words
ที่จริงเขาแกล้งเธอเท่านั้นแหละ เพราะที่นี่ลมก็เย็นดี บรรยากาศก็ไม่จอแจ วุ่นวาย จะให้เขานั่งทั้งวันก็ไม่มีปัญหา แล้วอีกอย่างพอเห็นอีกคนบิดไปบิดมาอยู่ตรงหน้า จะให้เขาปล่อยโอกาสงามๆ แบบนี้ไปได้ยังไงกัน “อูย... จะรีบอะไรกันนักหนาคุณ ไหนบอกว่าวันนี้ไม่มีธุระที่อื่นไง ตอนแรกฉันบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ว่าให้ไปรอที่บ้าน ก็คุณเองนั่นแหละ ที่เซ้าซี้อยากจะมา แล้วตอนนี้จะมาทำเรื่องมาก” เขาเห็นคณานางค์บ่นไปตลอดทาง แต่เจ้าตัวคงรีบมากถึงไม่บ่นให้เขาฟังให้จบซะก่อนถึงไป ‘เวลาที่ยายคุณหนูทำตัวเฟอะฟะไม่ห่วงสวย หน้าตาไม่ต้องแต่งเป็นงิ้ว ผมเผ้ารุงรังอย่างวันนี้ ก็ดูแปลกตาไปจากเดิมเยอะอยู่เหมือนกันนี่’ “อ้าวคุณ ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” จันทิมาที่เดินออกมาเจอชายหนุ่มที่น่าจะรู้จักกับคณานางค์ทักทายและถามไถ่ “กำลังจะกลับแล้วครับ แต่คะน้าเขาขอไปเข้าห้องน้ำก่อน” “อย่างนี้นี่เอง จันก็นึกว่าน้องคะน้าพาคุณมาทิ้งอีกคนซะแล้ว” จันทิมาหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมสุดแสบของรุ่นน้อง ที่ชอบหลอกให้ผู้ชายมารอแล้วก็หนีไป ด้วยเหตุผลที่ว่า... รำคาญพวกชอบตามตื๊อ ชายหนุ่มติดใจกับคำว่า ‘หลอกมาทิ้ง’ และท่าทางของผู้หญิงที่คณานางค์เรียกว่าพี่จัน “หลอกใครมาทิ้งเหรอครับ” “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่าใส่ใจเลย จันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย” ปริญญ์จำต้องเก็บความสงสัยบางเรื่องเอาไว้ก่อน แล้วถามอีกเรื่องของคณานางค์กับผู้หญิงคนนี้ “คะน้าเขามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ ท่าทางคงจะมาบ่อย ผมเห็นเขาสนิทสนมกับพี่มากกว่าเพื่อนนางแบบด้วยกันเสียอีก” ปริญญ์นึกย้อนไปถึงนางแบบตัวเลือกอีกคนของทีเคซีนีเพล็กซ์ “มาเกือบทุกเดือนแหละค่ะ น้องคะน้าเขาช่วยเอาเงินมาบริจาคให้มูลนิธิประจำ ที่นี่อยู่ในเขตปริมณฑลแล้วก็ไม่ค่อยมีใครจะรู้จัก หรือเข้ามาช่วยเหลือมากนัก เผอิญพี่รู้จักกับคะน้าเขาเป็นการส่วนตัวเพราะเคยอยู่ชมรมอาสาด้วยกันตั้งแต่ที่เรียนมหาวิทยาลัย ก็เลยช่วยๆ กันมาจนถึงวันนี้น่ะค่ะ” “อย่างคะน้านี่ไม่น่าจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้นะครับ” เขาไม่ได้รู้จักอุปนิสัยของหญิงสาวเท่าไรหรอก ส่วนมากก็ได้อ่านจากข่าวทั้งนั้นแหละ “ใช่ค่ะ คุณนี่ท่าจะคบกับคะน้ามานาน” หญิงสาวยิ้มชื่นชม เพราะจะมีผู้ชายสักกี่คนกันที่เคยมานี่นี่ แล้วพูดถึงหญิงสาวรุ่นน้องอย่างตรงไปตรงมา “ที่จริงพี่รู้ว่าเงินทั้งหมดที่คะน้าเอามาบริจาค นั่นก็คือเงินของน้องเขาที่ได้จากการทำงานในวงการบันเทิงนั่นแหละค่ะ ถึงทุกครั้งที่มาคะน้าจะเอาเงินมาช่วยครั้งละไม่ต่ำกว่าแสน แต่ที่นี่มีเด็กและผู้หญิงอยู่กันเยอะ บางทีก็ไม่พอหรอกค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มฟังเรื่องเล่าจากจันทิมาระหว่างที่รอหญิงสาว เลยรู้ว่าคณานางค์นำเงินที่ทำงานมาลงกับที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ใจบุญอะไรนักหนา แต่พอได้ฟังถึงความลำบากและความจำเป็นของที่นี่ เขาก็อดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยบ้างไม่ได้... อากาศตอนกลางวันที่สุดแสนจะร้อนจนแสบผิว ด้วยอุณหภูมิที่สูงเป็นธรรมชาติของกรุงเทพฯ ทำให้หญิงสาวที่นั่งเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว โบกมือไหวๆ ไปมาเพื่อคลายร้อน พร้อมกับคำผรุสวาทที่ถูกพ่นออกมาจากปากสีชมพูระเรื่อ “คุณนี่คิดจะแกล้งฉันไปถึงไหนกันนะ คุณตัวโต” ร้านรวงแถวๆ นี้ ก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ หรือถ้าไม่อยากเรื่องมากก็น่าจะพาเธอไปหาอะไรกินในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ นี้ก็ยังดี แต่ดู... ดูเขาทำเถอะ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือข้างทางเนี่ยนะ ! “คิดมากไปได้น่า ที่ผมพาคุณมาที่นี่เพราะก๋วยเตี๋ยวเขาอร่อยมากต่างหาก ไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้งอย่างที่คุณใส่ร้ายกันสักนิด” แต่มันคือผลพลอยได้ต่างหาก “เชอะ ! คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ” เธอว่าเสียงสะบัด ปริญญ์ยกมือขึ้นเรียกเด็กเสิร์ฟ “น้องครับ พี่ขอเล็กหมูน้ำตกอีกชาม กากหมูเจียวน้ำมันสอง เกี๊ยวทอดอีกหนึ่ง” สั่งเสร็จเขาก็หันมามองก๋วยเตี๋ยวในชามตนที่เพิ่งจะหมดลง ด้วยฝีมือของคนที่นั่งตรงข้ามกัน “นี่ขนาดไม่เชื่อ ยังฟาดซะเรียบเลยนะคุณหนู” คณานางค์เบ้ปาก ไม่อยากจะเถียงหรอกว่าอาหารของที่นี่อร่อยจริง และต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้คนที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวได้อร่อยอย่างปริญญ์ด้วย แต่ถ้าบอกไป เขาก็จะได้ใจน่ะสิ “ปรุงอีกสิ” เธอสั่งเขา เมื่อเห็นสิ่งที่ชายหนุ่มสั่งไปเมื่อครู่ ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าทั้งหมด ระหว่างที่นั่งมองชายหนุ่มค่อยๆ บรรจงหยิบนั่นใส่นิด หยิบโน่นใส่หน่อย แล้วก็ปรุงรส หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด อย่างชำนิชำนาญ เธอก็อดที่จะรอลุ้นไม่ได้ว่าชามนี้จะอร่อยเหมือนสามชามที่แล้วหรือเปล่า “ใจเย็นสิคุณ ผมก็กำลังปรุงอยู่นี่ไง” ปริญญ์ไม่อยากจะพูดว่า กินกันคนละชามซะก็หมดเรื่อง ไม่ใช่มานั่งแย่งกันอยู่อย่างนี้ แต่ก็รู้ว่าหญิงสาวนิสัยไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ จริงๆ หลังจากที่ต้องกินข้าวกับเธอมาหลายมื้อ คณานางค์เห็นเหงื่อเม็ดเป้งหลายๆ เม็ดไหลมารวมกันอยู่บนหน้าของเขา และมันก็ทำท่าจะกลิ้งลงมาเข้าตาเขาอยู่รอมร่อ เธอร้องห้ามเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะเอาหลังมือตนเองขึ้นไปถูบริเวณคิ้วเข้มใกล้ๆ กับดวงตา “หยุดเลยค่ะ อย่าเอามือไปเช็ดแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็แสบหรอก มานี่ เดี๋ยวฉันเช็ดให้” ปริญญ์มองหญิงสาวกระวีกระวาดหยิบทิชชูขึ้นมาซับน้ำบนใบหน้าเขาให้ เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเขากับคณานางค์ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันขนาดนี้ “ขอบคุณครับ” พออิ่มเขาก็ทนต่อเสียงรบเร้าของหญิงสาวที่อยากจะกินไอศกรีมดับร้อนไม่ไหว จึงต้องพาเธอเข้าในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ จนได้ ระหว่างที่รอไอศกรีมอยู่ๆ คณานางค์ก็ชวนเขาคุย “นี่คุณตัวโต คุณมีแฟนหรือยังคะ ?” ชายหนุ่มแทบพ่นน้ำในแก้วที่กำลังยกขึ้นจิบ “ไม่มี ถามทำไม” “หยุดมองแบบนั้นเลย ที่ถามไม่ได้เพราะพิศวาสอะไรคุณนักหรอกค่ะ แค่กำลังจะบอกว่าฉันคุยกับพ่อเรื่องล้มเลิกงานแต่งของเรา แล้ว แต่พ่อไม่ยอมท่าเดียวเลย ท่าทางคุณจะเป็นลูกเขยในอุดมคติของพ่อฉันสุดๆ” “แล้วยังไงครับ” “แล้วฉันก็ไม่มีปัญญาพอจะหนีออกจากบ้านเพื่อประท้วงเรื่องนี้กับพ่อ ถ้าทำอย่างนั้นมีหวังได้อดตายกันพอดี” เธอหมายรวมถึงเด็กๆ ในมูลนิธินั่นด้วย ถ้าที่นั่นขาดเงินบริจาคจากเธอไปแม้แต่เดือนเดียว คงได้แย่กันไปหมด “แล้วยังไงต่อครับ” แล้ว... แล้ว... แล้วอยู่ได้ อีตาบ้า “ฉันก็เลยมีข้อเสนอน่ะค่ะ” เธอสูดลมหายใจเรียกความกล้า ที่เอาเรื่องนี้มาพูดในร้านขนมก็เพราะเธออยากให้เขาคิดซะว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษ “ว่ามาเลย ผมฟังอยู่” เดิมทีเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานแบบถูกบังคับนี้นัก แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังรู้สึกแบบนั้น... ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไม ณ เวลานี้เขาถึงกลัวสิ่งที่ยายคุณหนูกำลังรวบรวมกำลังใจจะพูด กลัวว่าเธอจะหาทางออกที่ดีได้ แบบที่เราไม่ต้องแต่งงานกัน “ในเมื่อคุณยังไม่มีแฟน ฉันเองก็ยังไม่มีใคร เรื่องมันก็ง่าย แค่เราแกล้งๆ ตามใจพวกผู้ใหญ่ไปก่อน แต่งแบบหลอกๆ สักเดือนสองเดือน หรือสามเดือนก็ได้ แล้วพอถึงตอนนั้นเราก็บอกพวกท่านว่าพวกเราไปกันไม่รอด” “โล่งอกไปที...” “ฮะ ? คุณว่าอะไรนะคะ ฉันได้ยินไม่ถนัด” “เปล่าๆ ผมแค่จะถามว่าพอครบสามเดือนแล้วคุณอยากหย่าใช่หรือเปล่า” เกือบไปแล้วมั้ยล่ะไอ้โต ! “หรือคุณไม่อยากหย่าล่ะคะ” “ผมไม่ชอบเล่นอะไรเป็นเด็กๆ” คณานางค์คงเข้าใจว่าที่เขาพูดหมายความว่า ถึงเขาไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานแต่เมื่อแต่งแล้วเขาจะไม่หย่าเด็ดขาด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD