“อือฮึ เห็นตั้งนานแล้วค่ะ” คณานางค์ยังคงเคี้ยวสิ่งที่ชายหนุ่มเพียรยัดใส่ปากเธอตุ้ยๆ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าตนเองจะตกเป็นเป้าสายตาอยู่หรือเปล่า
“ไม่อายหรือไง” เขาถามเรียบๆ แต่ก็ยังเลือกผักป้อนให้หญิงสาวไปด้วย
“ไม่หรอกค่ะ ชินแล้ว” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ชายหนุ่มหัวเราะหึกับคำตอบของเธอ เป็นยายคุณหนูจอมเอาแต่ใจก็ดีไปอย่าง ไม่กลัวใคร ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เธอสามารถทำตัวสบายๆ แต่ก็รักษามาดความเชิด ความเลิศเอาไว้ได้อย่างน่ามอง
หลังจากที่ราดหน้าหมดจาน เขาก็ก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือ แต่ถึงไม่ได้ดูก็พอจะรู้ว่าตอนนี้น่าจะเลยเวลาพักมาหลายสิบนาทีแล้ว เขาแอบถอนหายใจน้อยๆ กับสิ่งใหม่ที่เริ่มเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของตนเอง
“คุณ เดี๋ยวกลับกันเลยนะ ผมต้องรีบไปทำงาน”
“อือ คุณไปเถอะ แยกกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันกลับเองได้”
“ได้ยังไง เดี๋ยวพ่อผมรู้ว่าปล่อยคุณกลับบ้านเองไม่ไปส่งให้ถึงที่ ผมได้โดนเทศนายาวไปสามวัน”
“แบบที่คุณเทศน์ฉันน่ะเหรอคะ” เธอยิ้มขำ
“เอาน่า ฉันไม่บอกหรอกว่าเราแยกกันตรงนี้ ถ้าคุณพ่อหรือคุณลุงถาม ฉันจะบอกว่าคุณมาส่งที่หน้าบ้าน แล้วรีบกลับไปทำงานเลย ดีหรือเปล่า ?”
“โกหกบ่อยละสิท่า” เขาเผลอมองรอยยิ้มสดใสของยายคุณหนู เวลาที่เจ้าหล่อนเผลอทำหน้าเจ้าเล่ห์อย่างเมื่อครู่
“นี่ฉันอุตส่าห์หาทางออกที่ดีให้คุณนะคะ รู้อยู่หรอกว่าคุณก็ไม่ได้พิศวาสอยากจะอยู่ใกล้ฉันสักเท่าไร อยากจะให้ฉันไปไกลๆ เต็มทนแล้วสิ” เธอพูดเหมือนเป็นเรื่องตลกขำขันธรรมดา แต่เอาจริงๆ มันก็น่าเศร้าไม่น้อย
คนภายนอกอาจมองว่าเธอขี้เหวี่ยง ขี้วีน จนไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ถึงอยู่แบบนี้จะเหงาไปบ้างเพราะมีคนสนิทนับคนได้ แต่ก็สบายใจดี ไม่ต้องเจ็บปวดจากการถูกหักหลัง หรือคนที่เข้ามาในชีวิตเธอเพื่อหวังผลประโยชน์ไร้ความจริงใจ
“ผมพูดสักคำหรือยัง”
“เอ หรือคุณตัวโตอยากอยู่ใกล้คนสวยอย่างฉันคะ หลงเสน่ห์ฉันแล้วสิท่า” เธอแหย่ปริญญ์ก็เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดก่อนหน้า เพราะไม่อยากจะอ่อนแอให้ใครเห็น
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นก็คือนายตัวโตแยกเขี้ยวใส่เธอและทำหน้าแปลกๆ อันที่จริงปริญญ์คงตั้งใจจะยิ้มแต่ว่าเธอมองให้มันเป็นรอยยิ้มได้ยากจริงๆ แถมใบหูของเขายังแดงแปร๊ดอย่างเห็นได้ชัด กับท่าทีกระสับกระส่ายบิดไปบิดมานี่ด้วย
‘อย่าบอกเชียวนะว่าเขิน’
บ้านธีรการณ์ เวลา 11 : 00 นาฬิกา
“แต่งตัวจะออกไปไหนเจ้าโต เจ้าตรี วันนี้วันหยุดไม่ใช่รึ”
“ไปรับคณานางค์น่ะครับพ่อ”
“แหม ไอ้ลูกคนนี้นี่มันได้ดั่งใจพ่อจริงๆ” ปริตรมองลูกชายคนโตด้วยความปลาบปลื้มสุดๆ “ดีๆ ทำความคุ้นเคยกันไว้ ตอนน้องแต่งเข้ามาบ้านเราจะได้ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก ทำดีแบบนี้ เดี๋ยวพ่อจะยกหอนัดดาวให้เป็นเรือนหอ”
“ผมก็แค่ทำตามคำสั่งพ่อ”
เขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่ได้ดั่งใจ หรือไม่ได้ดั่งใจตรงไหน เพราะคนพูดสั่งแล้วสั่งอีกให้เขาไปรับหญิงสาวจากงาน หรืออะไรสักอย่างที่ไปทำวันนี้ นอกเหนือจากที่ต้องไปกินมื้อกลางวันด้วยกันทุกวัน ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตรีศูลที่นั่งเล่นอยู่กับเจ้าศรรามสุนัขแสนรักของเขา และกำลังมองพี่ชายคนโตที่เตรียมจะออกจากบ้านพร้อมๆ กับตนสนทนากับบิดาด้วยหัวข้อเกี่ยวกับคนที่กำลังจะเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ของธีรการณ์ด้วยความไม่ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าใด
“นั่นสินะครับ วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่ผมต้องไปทำงาน ส่วนพี่โตไปรับสาว แล้วแถมยังจะได้หอนัดดาวเป็นของขวัญอีก โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับพ่อเอาซะเลยเนอะศรรามลูกพ่อ” ประโยคท้ายๆ ตรีศูลหันไปพูดและลูบหัวลูบพุงลูกชายสี่ขาของตน
“นี่แกกล้าแดกดันพ่อเลยรึเจ้าตรี” ปริตรเดินเข้าไปหาตรีศูลและเจ้าศรราม ก่อนจะทำท่าบีบคอเจ้าตัวอ้วนโยกไปโยกมา “เจ้าศรรามแกต้องรับโทษแทนเจ้านายแก”
“โถ่ พ่ออะ อย่าเขย่าศรรามอย่างนั้นสิครับ เดี๋ยวมันเวียนหัว” ตรีศูลรีบเข้าไปยื้อแย่งเจ้าสี่ขาจากผู้เป็นพ่อ ก่อนจะบ่นเบาๆ ต่อท้ายอีกว่า “ที่จริงหอนั้นเป็นหอของแม่นะครับ ต้องเป็นผมสิที่ได้มัน”
ปริตรเข้าใจว่าทำไมลูกชายคนรองถึงพูดแบบนั้น เพราะภรรยาที่จากไปเมื่อหลายปีก่อนของเขารักและสนิทกับตรีศูลที่สุด และคนที่ยังรับไม่ได้กับการจากไปของคนเป็นแม่ และไม่ยอมรับภรรยาใหม่ของเขาก็ดูจะมีแค่คนเดียว นั่นคือตรีศูล
“นี่แน่ะ ไอ้ลูกขี้อิจฉา”
พ่อเข้ามาเขย่าหัวเขาแทนหัวเจ้าศรราม
“ที่พ่อตัดสินใจยกหอนัดดาวให้เจ้าโตมัน ก็เพราะว่าเป็นสัญญาระหว่างพ่อกับแม่ เมื่อตอนที่แม่พวกแกตั้งท้องเจ้าโตได้ห้าเดือน ฉันกับแม่พวกแกยังขึ้นไปที่นัดดาวกันบ่อยๆ เหมือนตอนที่เรายังเป็นแฟนกัน เรารู้ว่ามีเจ้าโต ก่อนที่จะแต่งงานกันซะอีก พ่อเลยต้องรอให้พี่แกคลอดออกมาก่อนถึงจะจัดงานแต่งของเราสองคนขึ้นมาได้...”
ปริญญ์ไม่ได้ขยับไปไหน เขายังเฝ้ามองพ่อจากตรงนี้เงียบๆ รู้ว่าทุกครั้งที่เล่าถึงเรื่องแม่ พ่อจะปกปิดอาการเศร้าและหวนคำนึงถึงแม่อย่างตอนนี้ไว้ไม่มิด
“เราสองคนคุยกันไว้ ไม่ว่าลูกคนแรกที่เกิดมาจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เราจะยกหอนัดดาวนี้ให้กับเขา”
พ่อหยุดพูดแล้ว แต่ตรีศูลยังรับรู้ได้ถึงกระแสเสียงที่เริ่มสั่นเครือ
“ผมก็ไม่ได้จะคัดค้านนี่ครับ” เขาบอกแก้เก้อ ต่อให้หอนั้นไม่ได้เป็นของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่เขารู้ว่าพ่อยังรักแม่ของเขาไม่มีวันเปลี่ยน เท่านี้ก็พอแล้ว... พอแล้วจริงๆ
ปริญญ์นึกถึง ‘หอนัดดาว’ ที่จริงมันคือบ้านหลังย่อมๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางนัก แต่ก็มีความสูงถึง 5 ชั้น ตกแต่งด้วยกระจกใสเกือบทั้งหลัง ไคลแม็กซ์มันอยู่ที่ชั้นดาดฟ้า ที่คล้ายๆ กับห้องใต้หลังคาแต่จะติดกระจกใสรอบๆ ทั้งหมด ส่วนพื้นห้องจะเป็นห้องเตี้ยๆ มีฟูกขนาดใหญ่ เอาไว้นอนดูดาว บริเวณหลังคายังสามารถเปิดได้ เอาไว้เพื่อรับลม มันจะให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับท้องฟ้า และดวงดาวเข้าไปอีก
“ตั้งแต่แม่เสีย เราก็แทบไม่ได้ขึ้นไป ‘นัดดาว’ กันอีกเลยนะครับพ่อ”
“ถึงเราไม่ค่อยได้ไปกัน แต่พ่อก็ยังเก็บรักษาและดูแลที่นั่นเป็นอย่างดีให้เหมือนเมื่อก่อนตอนที่แม่พวกแกยังอยู่นั่นแหละ จะดีกว่าเดิมหน่อยอีตรงที่ตอนนี้มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่พ่อเตรียมไว้สำหรับแกและหนูคะน้า”
“ทำไมพ่อถึงอยากให้พี่โตไปอยู่ที่นั่นนักล่ะครับ” ตรีศูลเหมือนจะเริ่มรู้ทันความคิดของผู้เป็นพ่อ
ปริตรหัวเราะดังหึๆ
“ก็ที่นั่นมันโรแมนติก พ่อไม่อยากจะคุย ว่าพวกแกทั้งสี่คนก็เกิดกันที่นั่นแหละ”
“เกิดสินะ ไม่ใช่คลอด” ตรีศูลส่ายหน้าไปมาเมื่อนึกถึงเสือที่ไม่เคยซ่อนลายได้มิดอย่างพ่อของพวกเขา
สถานที่ที่คณานางค์บอกให้เขามารอคือในสวนหย่อมเล็กๆ ของมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรีแห่งหนึ่ง ตอนที่คุยโทรศัพท์กันหญิงสาวบอกว่าแวะมาทำธุระที่นี่ตั้งแต่เช้า กำลังจะเสร็จพอดี เพราะมีนัดกับเขาช่วงบ่าย แต่เผอิญเขามาก่อนเวลา ก็เลยอาสามารับเจ้าหล่อนเอง และตอนนี้คณานางค์ก็ทิ้งให้เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ไม่ไกลจากอาคารไม้เก่าๆ ของที่นี่มาสักพักนึงเห็นจะได้
“น้องคะน้ากลับดีๆ นะคะ วันนี้พี่ต้องขอบใจอีกครั้งสำหรับน้ำใจ และความช่วยเหลือ”
“อย่าพูดเหมือนคะน้าเป็นคนอื่นอย่างนั้นสิคะพี่จัน”
ปริญญ์มองสองสาวจับมือพูดจาร่ำลากัน อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า อย่างยายคุณขี้วีนจะมีธุระปะปังอะไรให้ทำในสถานที่นี้
เมื่อบอกลาพี่จันทิมาเสร็จ ทีแรกเธอตั้งใจว่าคงจะกลับเลย แต่ดันมาเกิดอาการปวดท้องหนักกะทันหันซะนี่ เหงื่อตามไรผมเริ่มซึมออกมาเรื่อยๆ ขนทั้งตัวก็ลุกชันอย่างรวดเร็ว
“นี่คุณ รอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ไม่นานหรอก”
“อะไรกันคุณ ให้ผมมารอตั้งนานแล้วนะครับ ไม่เอาหรอก ไปเข้าที่บ้านก็ได้ ผมรีบ”