ปริญญ์ยืนอึ้งไป ไม่รู้ว่ายายคุณหนูนี่จะเล่นละครเก่ง มารยามากจนพนักงานสาวหลายๆ คนจากเคาน์เตอร์ข้างเคียงเริ่มเดินเข้ามาฟังกันหลายคนแล้ว… และที่สำคัญยังส่งสายตาตำหนิมาให้เขาอีก
“พอแล้วคุณ”
เขาสะกิดเธอยิกๆ แน่ละว่าเป็นจุดสนใจในวงล้อมผู้หญิงที่มองเขาเหมือนคนใจร้าย ใจดำ อำมหิตขนาดที่ไม่ยอมซื้อลิปสติกให้แฟนแบบนี้ คุณตัวโตคงไม่ค่อยชินนัก แต่เธอน่ะสนุกมาก
“ดูสิคะน้อง พอเราพูดความจริงเข้าหน่อยก็จะรีบพาเราไปที่อื่นเพื่อตำหนิ”
ถ้าหากสายตาพิฆาตของผู้หญิงเหล่านี้เป็นกระสุนหรือมีดได้ ตัวเขาคงพรุนไปแล้ว
“น้องครับ ที่อยู่ในมือน้องเอามาให้ ‘แฟน’ พี่ยกกล่องนั้นเลยนะครับ” ปริญญ์เน้นคำว่าแฟนแบบกัดฟันพูดทีเดียว ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตโกลแพทตินั่มสีทองอร่ามให้พนักงานไปคิดเงินให้ จะได้ไปจากตรงนี้กันเสียที
คณานางค์ยิ้มสมใจ แถมยังโปรยสายตาหวานเชื่อมไปให้แนวร่วมอีกหลายชีวิตด้วย
ปริญญ์เหลือบมองหญิงสาวข้างกายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วเอาแต่แหวกถุงที่มีตราห้างสรรพสินค้าใบใหญ่เปิดดูจนนับครั้งไม่ถ้วน
“คุณรู้มั้ยว่าพวกเวชสำอางแบบนี้ อายุการใช้งานจะอยู่ได้ถึง สองปีก็จริง แต่ถ้าเราเปิดใช้ปล่อยให้มันโดนแดด โดนลมหรืออากาศแล้ว อายุการใช้งานมันก็จะสั้นลง ยิ่งคุณบอกว่าใช้สลับๆ กัน นั่นก็แปลว่าของประเภทเดียว คุณจะมีถึงสามแบรนด์ให้เลือกใช้เป็นอย่างต่ำ ซึ่งผมว่าคุณต้องมีมากกว่านั้นแน่”
“แล้วยังไงคะ ก็ของพวกนี้ฉันจำเป็นต้องใช้ ฉันเป็นดารา”
“ก็เอาไว้ให้หมดก่อนค่อยซื้อก็ได้ ไม่เห็นจะต้องรีบซื้อไปเก็บไว้ เผลอๆ ยังไม่ได้ใช้อาจจะหมดอายุก่อนก็ได้ แถมอุณหภูมิการเก็บรักษาที่บ้านคุณ อาจจะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำ”
“บ่นเป็นตาแก่เชียว”
“ผมก็แค่พูดเหตุผลให้ฟัง”
“ก็แล้วถ้าของเก่ามันหมดขึ้นมา ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ลดแล้ว ฉันไม่ต้องซื้อในราคาที่แพงขึ้นไปอีกหรือไง คอยดูเถอะฉันจะให้คุณเป็นคนออกส่วนต่างทั้งหมด”
“เอาอย่างนี้ ต่อไปถ้าไอ้ที่คุณใช้มันหมดขึ้นมาจริงๆ ก็ให้มาบอก เดี๋ยวจะพาไปซื้อที่ห้างของผม”
“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอคะ” หญิงสาวเริ่มให้ความสนใจ ไอ้คำว่าได้... ที่จริงคือ ฟรีด้วยใช่หรือเปล่า ?
“ทำไมจะไม่ได้ ที่นั่นมีเคาน์เตอร์เครื่องสำอางแบรนด์ดังเยอะกว่าที่นี่อีก ถ้าซื้อในนามผม หรือคนอื่นๆ ในครอบครัว ลดถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำ” พอพูดจบเขาเห็นอีกคนทำตาวาวร้อง ‘อู้หู’
“อย่างอื่นก็ลดใช่ป่ะคะ พวกเสื้อผ้า น้ำหอม รองเท้า อะไรพวกเนี้ยะ”
“ก็ลดหมดนั่นแหละ รู้อย่างนี้แล้วจะไปกินข้าวกันได้หรือยัง ผมหิวจนไส้กิ่วหมดแล้วนะครับคุณหนู”
“ดีจัง”
“ใช่ คุณน่ะโชคดีมากที่มีแฟนอย่างผม”
เธอชะงัก รู้สึกแปลกๆ แบบอธิบายไม่ถูก
“อย่ามามั่วนะคะ ใครที่ไหนเป็นแฟนคุณ”
“ก็คนที่ประกาศปาวๆ ว่าผมใจร้ายบ้างละ ใจดำบ้างละ ไม่สนใจแฟนสาวบ้างละ เพียงเพราะอยากได้เครื่องสำอางใหม่”
คราวนี้คณานางค์เถียงไม่ออกเลยได้แต่เม้มปากแน่น หมองูตายเพราะงูจนได้ !
“เลือกร้านสิ”
“คุณเลือกสิ ฉันไม่รู้จะกินอะไร”
“ตกลงให้ผมเลือกนะ” เขาเห็นหญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก “งั้นกินอะไรง่ายๆ แล้วกัน ไม่อยากรอนาน”
เธอเพิ่งจะรู้ว่าอะไรง่ายๆ ของเขามันคือร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้ายอดคะน้า อะไรสักอย่างนี่แหละ
“รับอะไรดีครับ” พนักงานของร้านรีบเข้ามารับออเดอร์ทันทีที่เธอและเขานั่งลง
“ผมเอาราดหน้าเส้นใหญ่ทะเลกับน้ำเก็กฮวย” พอเขาสั่งของตัวเองเสร็จจึงหันมาถามหญิงสาวที่มาด้วย “กินอะไรดีคุณ ผัดซีอิ๊ว หรือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่มั้ย”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ น้ำมันเยอะ”
“หรือเอาเป็นราดหน้าเหมือนผม”
“ฉันไม่กินเส้นใหญ่เพราะมันมีแต่แป้งเดี๋ยวอ้วน พวกของทะเลฉันก็ไม่กิน ฉันแพ้ แล้วผักที่ใส่นี่เป็นคะน้าใช่หรือเปล่า ฉันไม่เอานะ ฉันไม่ชอบกินผักใบเขียว”
“เรื่องมาก ! ”
“เอ๊ะ คุณนี่”
“งั้นน้อง ของคุณผู้หญิงเอาราดหน้าเส้นหมี่หมู”
“น้ำอะไรดีครับ”
“เอาเหมือนของพี่ก็ได้” เขาไม่เห็นคณานางค์สั่ง เลยสั่งแทนให้หมดเรื่องหมดราวกันไป
“ไม่เอานะ น้ำที่คุณกินมีแต่น้ำตาลทั้งนั้น เดี๋ยวฉันก็อ้วนตายกันพอดี”
“โอเค งั้นเอาน้ำเปล่านะน้อง” พอสั่งอาหารเสร็จเขาแทบจะถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดอะไรกับหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกัน “จำไว้อย่างนะคุณหนู ความอ้วนเพียงเล็กน้อยจากการกินน้ำหวาน ไม่สามารถทำให้ใครตายได้อย่างเฉียบพลันหรอก”
“ทำไมจะตายไม่ได้ ถ้าฉันเกิดเป็นโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าคนปกติ หรือแม้แต่เส้นเลือดอุดตันขึ้นมา มันก็เหมือนกับคุณตั้งใจจะฆาตกรรมฉันทางอ้อม”
“เวอร์ไปละ...”
พอราดหน้าสองจานมาเสิร์ฟก็เห็นจะมีเขาแค่คนเดียวที่สนใจอาหาร ส่วนอีกคนได้แต่เขี่ยไปเขี่ยมาอยู่เป็นนานสองนาน
“กินๆ เข้าไปสิคุณ”
“ฉันบอกแล้วนะ ว่าฉันไม่กินผักใบเขียว คุณก็ยังไม่ยอมบอกเขาว่าไม่ต้องใส่คะน้ามา เห็นแล้วกินไม่ลง”
“ทำไม กินตัวเองไม่ลงหรือไง” เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะ
คณานางค์ถลึงตาใส่ ซึ่งตนเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้ว
“เอาน่า กินเข้าไปเถอะ ราดหน้าไม่ใส่คะน้าจะเป็นราดหน้าได้ยังไง”
“ไม่เอา ฉันไม่กิน”
“ผมบอกให้กินเข้าไป อย่าเรื่องมาก”
“เผด็จการที่สุด” หญิงสาวรู้สึกว่าทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของเขาดูจริงจังขึ้นมาก “มะ...”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ปฏิเสธ เขาก็จัดการยัดราดหน้าในช้อนเขาเข้าปากเธอไปซะก่อน
“ห้ามคาย เคี้ยวแล้วกลืนเข้าไป ไม่อย่างนั้นผมจับกรอกจริงๆ ด้วย”
เธอต้องจำใจเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากตามคำสั่งของคนเผด็จการ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวท่าทีของเขาด้วย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ‘มันก็อร่อยดีเหมือนกันนี่’
“กินได้ใช่มั้ยล่ะ เห็นมั้ยผมบอกแล้วก็ไม่เชื่อ พวกที่ไม่ยอมกินผักนี่ผมว่าเกิดมาพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตเลยนะ มันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้อาหารจานหนึ่งครบรสชาติ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก พ่อแม่ที่ตามใจลูกตั้งแต่เด็ก แบบว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่สอนให้กิน ไม่บังคับให้ลอง นี่ไม่ใช่รักลูกหรอกนะ แต่ผมว่าเขาไม่รักลูกมากกว่า”
“เลิกเทศน์ได้หรือยังคะ ฉันก็กินแล้วนี่ไง” เธอไม่อยากจะบอกเลยว่าอยากกินราดหน้าในจานเขามากกว่า
“มัวแต่มองอะไรล่ะคุณ กินๆ เข้าไปสิ ผมไม่มีเวลามานั่งรอคุณลำเรียงอาหารเข้ากระเพาะทั้งวันหรอกรู้มั้ย”
“คือ... คือฉันอยากกินของคุณค่ะ มันอร่อยกว่าของฉันตั้งเยอะ”
“อ่อ” นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เด็กไม่รู้จักโต ที่ต้องแย่งของกินคนอื่นถึงจะอร่อยและทำให้เจริญอาหาร
สุดท้ายปริญญ์เลยยอมเลื่อนจานราดหน้าของตนให้มาอยู่ตรงกลาง แบ่งกันกินกับเธอ ไม่ได้รู้สึกรำคาญ หรือเหนื่อยหน่ายใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับทำให้เขานึกถึงน้องๆ ตัวแสบทั้งสาม ที่มักจะมาแย่งข้าวเขาเมื่อตอนสมัยเด็กๆ
“ผักน่ะกินเข้าไปด้วย แครอต ข้าวโพดอ่อน กินได้ทั้งนั้นแหละ”
“ก็ถ้าจะยัดมันใส่ช้อนฉันขนาดนี้ ไม่ป้อนไปเลยล่ะคะคุณตัวโต”
ปริญญ์สนองความต้องการนั้นทันที ด้วยการตักผักต่างๆ รวมทั้งเส้นราดหน้าป้อนเข้าปากเธออีกครั้ง นึกชอบใจจนต้องลอบยิ้มน้อยๆ ที่หญิงสาวเรียกเขาว่า ‘คุณตัวโต’
“ตะเอง ป้อนเค้าแบบนั้นบ้างจิ”
“แม่ๆ ดูพี่สองคนนั้นสิ น่ารักจังเลยนะคะ”
เป็นชายหนุ่มเองที่เริ่มรู้สึกได้ก่อนว่ามีคนจ้องมองมา
“นี่คุณหนู มีคนมองเรา”