สาวน้อยนั่งฟุบตัวอยู่บนโต๊ะในคาเฟ่ร้านโปรดที่เธอชอบแวะมาฝากท้อง ตั้งแต่เริ่มชีวิตการเป็นนักศึกษา เจ้าของร้านที่ไม่แน่ใจว่าควรจะสงสารหรือหัวเราะดี รีบยื่นยาดมให้พร้อมกับน้ำหวานเย็นเฉียบ แต่ก็ช่วยอะไรคนเมาค้างไม่ได้มากนัก
“แกอย่าบอกนะว่าโทร. ตามอาหมออีก” คนที่เอรินทร์กำลังพูดถึงชะงักฝีเท้า อยากจะรู้เหลือเกินทำไมว่ายัยตัวแสบถึงไม่อยากให้ตามตัวเขามาดูแล
หรือว่าเธอแอบมีใครอื่น…
“ทำอย่างกับฉันมีทางเลือกนะ ถ้าไม่ตามอาหมอแล้วจะให้ฉันตามพ่อของแกหรือไง หรือว่าจะให้ตามพี่ชนาธิปสุดหล่อ”
“ไม่ต้องตามใครทั้งนั้นแหละ ฉันแค่เมาค้าง ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” คนที่บอกว่าไม่เป็นไรจิบน้ำช้า ๆ ก่อนจะกลับไปดมยา ดูแล้วคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้อีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอะไรดลใจให้แกดื่มไปเยอะขนาดนั้น” มัจฉาบ่นอุบ พอเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้เธอก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ธุระปะปังที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จในวันนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน
“อาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าน้องรินทร์ทำแบบนั้นทำไม”
“อาหมอ!” คู่หมั้นของกองทัพดีดตัวนั่งหลังตรง แต่ทำแบบนั้นได้แค่ครู่เดียวเธอก็รีบใช้มือเล็กปิดปาก ทำท่าคล้ายจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง
“กุญแจอยู่ที่ไหน อาจะขับรถกลับบ้านให้”
“ขอบคุณอาหมอมากนะคะที่มารับรินทร์” สาวน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังรับผลกรรมเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อวาน
“แต่ฟังจากเมื่อกี้ ดูเหมือนรินทร์อยากจะให้คนอื่นมารับมากกว่านะ… ยังไงอาขอบใจน้องลูกปลามากนะคะที่ส่งข่าว เพราะถ้าปล่อยให้กลับบ้านในสภาพนี้ คุณพ่อของน้องรินทร์คงจะตกใจแย่”
เขาหันไปขอบคุณมัจฉา ก่อนจะรับกุญแจจากเอรินทร์ พยายามข่มความไม่พอใจ ที่เธอไม่ได้แก้ไขเรื่องที่เขาพูดออกไปว่าอยากจะให้คนอื่นมารับมากกว่า
กองทัพมองสาวน้อยขี้เมาเดินลากขาไปยังรถที่จอดอยู่ เธอโบกมือลาเพื่อนอย่างขอไปที ก่อนจะยัดตัวเองลงนั่งในฝั่งของผู้โดยสารและหลับตาลงทันทีที่เขาปิดประตู
เอรินทร์อาการหนักมากจริง ๆ
เขาอยากจะปลุกเจ้าตัวมาถามว่าชนาธิปคือใคร แล้วทำไมมัจฉาต้องพูดเหมือนกับว่าคนคนนั้นคือหนึ่งในตัวเลือกของเอรินทร์ด้วย ทว่าพอขับรถต่อไปได้อีกสักพักใหญ่ ๆ กองทัพก็เริ่มสงบสติอารมณ์ได้ พร้อมกับย้ำซ้ำ ๆ ในสมองว่าสาวน้อยของเขา หมดสิทธิ์ที่จะคิดถึงคนอื่นตั้งแต่คืนวันนั้นแล้ว
“ทำไมอาหมอไม่พารินทร์กลับบ้าน!”
เอรินทร์ถามเสียงแข็งทันทีที่รถจอด หลังจากงีบได้พักใหญ่ เธอก็เริ่มมีกำลังมากพอที่จะแผลงฤทธิ์อาละวาดอีกครั้ง
“พูดจาไม่มีหางเสียงอีกแล้วนะรินทร์”
กองทัพทำงานหนักตลอดบ่ายจนเกือบเย็น ยังไม่ทันจะได้กลับบ้านก็มีสายสำคัญติดต่อเข้ามาแจ้งว่าคู่หมั้นวัยยี่สิบสองปี เมาค้างจนไม่น่าจะขับรถกลับบ้านไหว เขาจำต้องทิ้งรถไว้ที่โรงพยาบาลและนั่งแท็กซี่ไปรับเธอทั้ง ๆ ที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว
เขาพยายามไม่ใส่ใจเรื่องที่ได้ยิน ทว่าสุดท้ายก็อารมณ์เสียหนักเพราะคำพูดห้วน ๆ ของเอรินทร์จนได้
“ก็รินทร์ไม่อยากมาที่บ้านของหมอนี่คะ”
“งั้นก็เลือกเอาว่าจะนอนที่นี่กับอาหรือกลับไปให้คุณพ่อเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักเมาค้างหนักจนแทบจะยืนไม่ไหว”
“อาหมอ…” เธอก้มหน้าทุกครั้งที่ถูกดุ แต่เขาจะไม่สงสาร เพราะคนทำผิดก็สมควรได้รับบทลงโทษ
“ตอบมาสิรินทร์ว่าจะเอายังไง อาไม่ใช่คนขับรถนะ แล้วก็ไม่ได้มีเวลาตามดูแลเธอทุกครั้งที่ก่อปัญหาด้วย… แล้วนี่ทำไมไม่พูดสักทีล่ะว่าอยากจะกลับบ้านหรืออยู่ที่นี่!”
“รินทร์อยู่ที่นี่ก็ได้ค่ะ…”
“งั้นก็ลงจากรถได้แล้ว!” กองทัพกลับเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะตามเข้ามาได้ เขารู้ว่าจะต้องจัดการกับเธอยังไง จึงไม่เสียเวลาให้ความสำคัญกันจนเกินความจำเป็น
กุมารแพทย์หนุ่มไม่ชอบอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้นัก ปกติเขาใจเย็นเสมอ เด็ก ๆ ที่เข้ารับการรักษารวมถึงผู้ปกครองยืนยันเรื่องนั้นได้ แต่พอเห็นหน้าสวย ๆ ของสาวน้อยเอรินทร์อีกครั้ง ร่างกายของเขากลับเกิดปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรง อยากจะเอาชนะ ต้องการกักขังเธอไว้บนเตียง สานต่อเรื่องราวเมื่อสามปีก่อนให้สมบูรณ์
แค่ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของเอรินทร์ เขาก็อยากกอดเธอจนแทบคลั่ง แต่ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา อาหมอใจดีอย่างเขาก็ต้องหาทางเบี่ยงเบนความต้องการของตัวเองไปก่อน
เขาเสียงดังใส่เธอเพื่อข่มความปรารถนา ก่อนจะหนีกลับเข้าบ้านและอาบน้ำเย็นจัดเนิ่นนาน จนบังคับทุกอย่างให้สงบลงได้ในที่สุด
ก๊อก ก๊อก
“อาหมอคะ น้องรินทร์… รินทร์ไม่มีชุดนอนค่ะ” สาวน้อยยืนอยู่หน้าห้องนอนของเขา เธอยังไม่ยอมสบตา คงอายที่เห็นว่าอาหมอสวมกางเกงขายาวแค่ตัวเดียว
“หยิบเสื้อผ้าในตู้ตามสบาย แล้วไอ้ที่สวมอยู่นั่นก็ถอดใส่ตะกร้าไว้หน่อยแล้วกัน อาจะได้เอาไปซักให้ วันพรุ่งนี้จะได้มีใส่กลับบ้าน” เอรินทร์สวมชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีครีม เดาว่าคงเปลี่ยนก่อนที่พนักงานจะมาขนของกลับบ้านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
“รินทร์ซักเองก็ได้ค่ะ รินทร์ไม่อยากรบกวนคุณอา”
“แค่โยนเสื้อผ้าลงถังน่ะไม่เป็นไรหรอกนะ แต่เรื่องที่ทำให้อาต้องนั่งแท็กซี่ไปรับเรากลับ แถมยังพูดไม่เพราะใส่กัน อาว่ารินทร์น่าจะเก็บไปคิดหน่อยนะว่าทำถูกหรือเปล่า”
“รินทร์ขอโทษค่ะ”
“อย่าขอโทษแต่ปาก ไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด รินทร์รีบเข้าไปอาบน้ำเถอะนะ อาจะได้พักจริง ๆ สักที” กองทัพขอตัวไปเตรียมอะไรง่าย ๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหิว ส่วนเขานั้นดื่มนมอุ่น ๆ บวกกับขนมปังอีกชิ้นก็พอแล้ว
หลังจากหุงข้าวเรียบร้อย กองทัพก็ค้นของในตู้เย็นอยู่พักใหญ่ สรุปว่าคงทำอะไรไม่ได้มากเพราะในบ้านมีแค่ข้าวที่กำลังจะสุกกับไข่ไก่อีกสองฟองเท่านั้น
ข้าวต้มคือทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ เพราะเอรินทร์ยังไม่ควรจะกินอะไรหนัก ๆ เขาต้มน้ำจนเดือด ปรุงรสชาติตามมีตามเกิดด้วยของที่อยู่ในครัว พอนึกได้ว่าต้องโยนเสื้อผ้าของเอรินทร์เข้าเครื่อง เขาก็รีบปิดเตาและกลับขึ้นไปบนห้องทันที
แต่แค่เสี้ยววินาทีแรกที่เข้าไปในห้องนอนของตัวเอง กองทัพก็ถึงกับต้องกลั้นหายใจ ยัยตัวแสบของเขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมยาวสลวยเปียกชุ่มจนน้ำหยดเป็นทาง ดวงหน้าสวยเก๋ของเธอดูสดชื่นต่างจากเมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมามาก ราวกับว่าไม่ใช่คนเดียวกัน
หากเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงโกรธที่เธอทำพื้นเปียก ทว่าตอนนี้เอรินทร์นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนโต มองดูแล้วคงกำลังหาเสื้อผ้าสำหรับใส่นอน ไม่ได้รู้เลยว่ามีคนกำลังยืนมองอยู่ข้างหลัง
เธอโน้มตัวลงต่ำเพื่อหาของที่ต้องการ ทำให้มองเห็นต้นขาน่าสัมผัสสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้คนที่กำลังจะสติแตกต้องรีบส่งเสียงร้องเตือนก่อนที่จะได้เห็นอะไรดี ๆ
“รินทร์ แต่งตัวเสร็จก็ลงไปกินข้าวต้มซะนะ” เขาพูดราวกับไม่ได้มีเรื่องผิดแปลกอะไรเกิดขึ้น พาสองขาตรงไปหยิบตะกร้าเสื้อผ้าที่เธอถอดทุกอย่างไว้ตามสั่ง… รวมถึงชุดชั้นในครบเซตด้วย
ยัยตัวแสบตั้งใจยั่วกันหรือเปล่านะ…