“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
ถึงจะพูดเสียงอ่อนลง แต่หางเสียงก็ยังฟังหงุดหงิด
“รับปากเขาแล้วก็ต้องไป คุณพ่อคุณคุณแม่ก็อนุญาตแล้วด้วย จู่ๆเปลี่ยนใจคงไม่เหมาะ แต่เราขอได้ไหม...ขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายเถอะนะ ที่ตัวจะไปเที่ยวตะลอนๆ ตามลำพังกับเขาทั้งวันแบบเมื่อวาน วันนี้อีก เราเชื่อว่ากว่าจะกลับมากันก็คงค่ำนั่นแหละ... อีกสองวันพวกเราก็จะกลับกันแล้ว ถ้าเขาอยากพบตัว หรืออยากพาไปเที่ยว ก็เอาแค่ใกล้ๆ แถวชายหาดนี้ก็ได้ ไปไกลหูไกลตาอย่างนั้นเราเป็นห่วง พ่อกับแม่เองก็ไม่สบายใจนักหรอก ถึงจะไว้ใจคุณดรัณภพ เพราะเขาก็ตรงไปตรงมา อุตส่าห์เข้าหาผู้ใหญ่ ไม่ใช่ลักลอบคบหา หรือแอบพาตัวไปไหนต่อไหนโดยไม่ขออนุญาตผู้ใหญ่เสียก่อน แต่ก็อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ อย่างอุบัติเหตุเป็นต้น ตัวลองนึกดูสิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัว พ่อแม่เราจะบอกคุณพ่อของตัวว่ายังไง”
“เราเข้าใจ สัญญา พรุ่งนี้เป็นต้นไปจนถึงวันกลับ เราจะไม่ไปเที่ยวไกลๆ ตามลำพังกับคุณดรัณภพอีก”
การทำให้คำมั่นของขีโรชา ไม่ได้ทำให้วรานิชรู้สึกสบายใจขึ้น
ขีโรชาก็ใช่จะไม่คิด จากที่ปกติก็ไม่ใช่คนช่างคุยอยู่แล้ว เลยเงียบขรึมลงไปอีก จนดรัณภพอดที่จะถามขึ้นไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่า เพื่อนพูดอะไรให้ไม่สบายใจงั้นหรือ”
“นิดหน่อยค่ะ”
“คงไม่แค่นิดหน่อยมั้ง ท่าทางขิมดูไม่สบายใจเอามากๆ พอจะบอกได้ไหม วรานิชว่าอะไร”
ขีโรชาบอกเขาตามตรง
ดรัณภพหัวเราะ เมื่อฟังจบ แต่สีหน้าเขาไม่บอกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ขันสักนิด ดูเหมือนนัยน์ตาคมจะเปล่งประกายกล้าขึ้นแวบหนึ่งอย่างโกรธๆ
“แปลว่าพรุ่งนี้ขิมจะไม่ออกมาเที่ยวกับผมอีกแล้วสินะ”
“ขิมไม่อยากให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจค่ะ”
“กลัวว่าเรื่องมีผู้ชายมาพัวพันจะถึงหูคุณพ่อที่เคารพยิ่งใช่ไหม”
“ยอมรับค่ะ เพราะคุณพ่อพูดเสมอ อยากให้ขิมเรียนสูงๆเท่าที่จะเรียนได้ ท่านไม่เคยเห็นด้วยกับการให้ลูกหลานแต่งงานหรือมีครอบครัวแต่อายุยังน้อย ท่านเห็นว่าผู้หญิงสมัยนี้ควรมีวิชาความรู้ติดตัวมากหน่อย จะได้พูดคุยกับสามีรู้เรื่อง ถึงว่าไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวอีกแรงอย่างผู้หญิงส่วนใหญ่สมัยนี้ แต่การมีวิชาความรู้ไม่ให้ด้อยกว่าสามีจนเกินไป ก็ถือเป็นการส่งเสริมตัวเราให้มีคุณค่าอีกทางหนึ่ง”
“ก็ดูจะสอนลูกสาวดีนะ พ่อบุญธรรมที่เคารพของขิม”
ขีโรชาขมวดคิ้วกับน้ำเสียงเยาะแกมหยัน แต่ก็ติดใจไม่นาน เมื่อเสียงมีกังวานเปลี่ยนเป็นล้อเลียน
“ตามความคิดส่วนตัวของขิมเองล่ะ เห็นด้วยหรือว่าถ้าบังเอิญมีสามีจบดอกเตอร์ ขิมก็ต้องทำปริญญาโทให้ได้เป็นอย่างน้อย”
“ไม่ทันคิดเลยค่ะ”
“แปลว่าอะไรไม่ทันคิด”
“ก็...ขิมยังไม่รู้ คือยังไม่ได้คิดไกลถึงเรื่อง...การมีคู่ครองน่ะสิคะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะเริ่มคิด”
เขาหันมามองยิ้มๆ
“ไม่...ยังไม่รู้เลยค่ะ เรื่องแบบนี้ ขิมเห็นว่าพอถึงเวลาก็จะรู้เอง”
“ไม่ช่างฝันเลยนะ” เขาทำเสียงเย้า “ผมชักอยากรู้แล้วสิ ขิมเคยมีเทพบุตรในฝันอย่างสาวๆรุ่นราวคราวเดียวกันหรือเปล่า หรือมัวแต่เกรงใจ กลัวคุณพ่อจะไม่พอใจ ถ้ารู้ว่าลูกสาวเผลอคิดอะไรที่พวกผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เลยพยายามไม่คิด ไม่กล้าจะแม้แต่จะใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นปกติธรรมดาทั่วไป”
ขีโรชาไม่ตอบ แต่ย้อนถามกลับไปเสียงราบเรียบ
“คุณเห็นว่าขิมผิดประหลาดจากคนวัยเดียวกันมากหรือคะ”
เขาหันมามอง อึดใจใหญ่ทีเดียวถึงได้กลับไปมองถนนตามเดิม ตอบคำถามของเธอด้วยเสียงปกติ
“ผมเห็นจะยังฟันธงไม่ได้ว่ามากหรือน้อย เพราะเพิ่งรู้จักขิมได้ไม่นาน แต่จากการสังเกตกิริยาท่าทีการแสดงออกที่ดูจะไม่ค่อยมั่นใจของขิม รวมถึงการที่พ่อแม่เพื่อนรวมไปถึงตัวเพื่อนของขิม คอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งที่ขิมก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกไม่ถึงสองปีก็จะบรรลุนิภาวะ เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทำให้ผมคิดว่าขิมคงถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ต้องเดินในกรอบที่ผู้ปกครองตีวงล้อม ออกนอกเส้นทางไม่ได้อย่าว่าแต่จะได้ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วๆไปเลย ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า”
ขีโรชาไม่ตอบในทันที แต่เมื่อพูดขึ้นก็ดูจะไม่ตรงกับที่เขาถาม
“ไม่เคยเดือดร้อนเลยล่ะค่ะที่ชีวิตวนๆ เวียนๆ อยู่แค่โรงเรียนกับบ้าน เวลาไปไหนมาไหนก็มีผู้ใหญ่ไปเป็นเพื่อน รู้สึกดีเสียอีกว่าเราจะได้รับความปลอดภัยระดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะรู้สึกยังไง แต่สำหรับขิม เห็นว่าวัยรุ่นที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลยเกินไปมักจะเสียคนได้ง่ายกว่าคนที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองคอยดูแลเข้มงวด”
“แต่อะไรที่ตึงเกินไปก็ไม่ดี เวลาเกิดอะไรขึ้น ผลสะท้อนมักจะรุนแรง”
“หย่อนเกินไปก็ใช่ว่าจะดี ยังไงไม่รู้สิคะ แต่ขิมคิดว่าถ้าตัวเองมีลูกสาว คงเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าลูกชายแน่ๆ”
“แล้วเมื่อไหร่จะมี”
“ถามอะไรก็ไม่รู้” พูดอุบอิบ
เขาหันมามองยิ้มๆ แววตาคมดูอ่อนเชื่อมของชายหนุ่ม ทำเอาขีโรชาเกิดอาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า
ดรัณภพพาไปเที่ยวชายทะเลที่ห่างออกไปที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีคนมาเที่ยวไม่มากเท่าชายหาดแถวที่พัก มีร้านขายของที่ระลึก ปลูกเป็นเพิงง่ายๆ เรียงกันอยู่สามร้าน มีร้านขายอาหารอยู่ร้านเดียว รถเข็นขายอาหารประเภทส้มตำ ลาบ น้ำตก ซุบหน่อไม้ หนึ่งคัน ขายปลาหมึกสดย่างกับพวกลูกชิ้นอีกหนึ่งคัน
เธอชวนเขาแวะร้านขายของที่ระลึก ได้โปสการ์ดรูปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในจังหวัดมาสามใบ หมวกสานปีกกว้างปักขนนกสวยถูกใจอีกใบหนึ่ง จากนั้นก็แทบไม่อยากซื้ออะไร เพราะเขาแย่งออกให้หมด
พวกเครื่องประดับสำหรับใส่เล่น มีมาก เธอติดใจสร้อยเงินเส้นเล็กๆ ห้อยหินสีม่วงรูปหยดน้ำค้าง สวยแปลกดี
“ชอบหรือ” เขาถาม
คงเห็นเธอยืนมองอยู่นาน
“แปลกดี นานๆ ทีจะได้เห็นหินสีม่วง”
“ขอดูหน่อย” เขาพยักหน้ากับคนขาย
“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะ”
เธอรีบบอก แต่คนขายไม่ฟัง เมื่อเห็นโอกาสจะได้ขายของ
เขารับมาจากคนขาย วางทาบกับปลายแขนเธอ
“สวยนะ”
“ค่ะ สวย”
“งั้นใส่เลย ผมซื้อให้”
“คะ?”
“เท่าไหร่ครับ” ดรัณภพถามคนขาย
“ไม่ค่ะ” ขีโรชารีบค้าน
คนขายไม่ฟังเธอตามเคย รีบบอกราคา
ดรัณภพจ่ายเงิน ถึงจะไม่แพงเป็นหมื่น แต่ก็หลักพัน ทำเอาไม่สบายใจ