ตอนที่3(จบตอน)

2017 Words
จ้าวลู่เฉินก็คิดว่าตนเองก็ไม่นับว่าหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่หรือธรรมดาเกินไปจนทำให้คนที่เคยพบเห็นนั้นจดจำไม่ได้โดยเฉพาะคนที่เป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของตนเองจะจดจำเขาไม่ได้?! "เอ่อ..." ถึงจะพอมีความทรงจำสีจางเกี่ยวกับรูปร่างและหน้าตาของสามีตีทะเบียนอยู่บ้างแต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ชวนให้เธอจดจำเขาได้จริงๆ "ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันอาจจะไม่ใช่สามีที่ดีมาให้เธอเห็นหน้าบ่อยๆ แต่อย่างไรฉันก็คือสามีเธอแน่นอน ไม่ทำร้ายแต่ฉันมาช่วยเธอจริงๆ" จ้าวลู่เฉินรีบตัดบทเพราะไม่ใช่เวลาที่จะมามัวสืบประหวัติหรือทบทวนความหลัง เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว "เอ่อ ค่ะพี่ลู่เฉิน" เหรินซินเองก็ไม่มีแรงมากพอที่จะมาท้าวความหลังอะไรเหมือนกัน "เธอบาดเจ็บตรงไหนอีกนอกจากหัวแตก" จ้าวลู่เฉินตัดทุกอารมณ์หงุดหงิดออกไปที่ภรรยาจดจำตนเองไม่ได้ออกไป แล้วสอบถามถึงอาการบาดเจ็บของหญิงสาวแทน เพราะชายหนุ่มสังเกตได้ว่าเหรินซินนั้นไม่ขยับส่วนใดของร่างกายนอกจากปากและดวงตาเท่านั้น ทั้งที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้ครู่หนึ่งแล้วแท้ๆ จากสายตาเธอนั้นไม่ไว้ใจเขาแน่นอนหากแต่กลับนอนนิ่งไม่ไหวติงไม่ลุกขึ้นวิ่งหนีก็ออกจะแปลกอยู่มากจริงๆ “ขาของฉันค่ะ ขาข้างขวาน่าจะหักค่ะ ส่วนอื่นยังไม่แน่ใจ ฉันรู้สึกปวดร้าวและมึนศีรษะกับหายใจไม่สะดวกไม่แน่ใจว่าซี่โครงจะหักด้วยไหมฉันเลยไม่กล้าขยับค่ะ” จ้าวลู่เฉินเร่งรุดลงไปตรวจดูที่ขาทั้งสองข้างของเหรินซินทันทีเพราะเขานั้นพอจะมีความรู้ด้านการแพทย์เบื้องต้นอยู่บ้างเนื่องจากสมัยยังรับราชการทหารนั้นต้องเรียนรู้เอาไว้ ชายหนุ่มไม่ต้องตรวจเช็กอะไรมากนักเนื่องจากขาข้างขวาหักผิดรูปไม่พอกระดูกยังแทงทะลุเนื้อออกมาอีกด้วยทำเอาชายหนุ่มต้องเหลือบสายตาขึ้นไปมองหน้าของหญิงสาวเสียมิได้ แต่พอเห็นว่าเธอยังคงนิ่งอยู่จึงเดาเอาว่าเธอยังมีอาการชาหนึบอยู่มากเลยยังไม่ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้มากเท่าที่ควรจึงคาดว่าอีกฝ่ายย่อมนึกไม่ถึงเป็นแน่ว่าตนเองบาดเจ็บอาการหนักเพียงใด "คุณชายรองครับ รถพร้อมแล้วครับ" เสียงจางจงดังอยู่ด้านบน จ้าวลู่เฉินจึงตัดสินใจจะอุ้มร่างคนบาดเจ็บขึ้นไปด้านบนก่อน เพราะขณะนี้เลือดของหญิงสาวออกมามากแล้ว มากจนน้ำผสมโคลนเริ่มเปลี่ยนสี "เจ็บหน่อยนะฉันต้องอุ้มเธอขึ้นไปบนถนนก่อนถึงจะเห็นว่าบาดเจ็บหนักแค่ไหน ไม่ต้องกลัวนะ ฉันพอมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง เคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบเธอได้" แน่นอนว่าประโยคแรกๆ เขาโกหกเธอ ไม่อยากให้หญิงสาวตกใจกับสภาพของตนเอง แต่ประโยคหลังเขาพูดความจริงเพราะเขาเป็นทหารอยู่หลายปีผ่านภาพบาดเจ็บมาไม่น้อย ใครจะคิดว่านั้นตนเองต้องมาพบกับภาพของน้องสาวผู้มีพระคุณเลือดท่วมกายไม่พอกระดูกยังแทงออกมานอกเนื้อจากฝีมือของน้องชายตนเองทำให้ชายหนุ่มโมโหคิดภาพหักกระดูกของจ้าวป๋อจิ้งออย่างไรให้มันเจ็บปวดมากกว่าที่เหรินซินได้รับออกมาเป็นสิบวิธี! "เอาน้ำมาจางจง แกด้วยไปช่วยกันเอาน้ำสะอาดมาล้างตัวอาซ้อก่อน" พอจ้าวลู่เฉินก้าวขาขึ้นมาบนถนนได้ก็รีบร้องสั่ง จางจงกับลูกน้องอีกหลายคนให้นำน้ำสะอาดมาล้างขี้โคลนออกจากร่างกายของเหรินซินป้องกันการติดเชื้อเอาไว้ก่อน ยิ่งมีแผลเปิดชายหนุ่มยิ่งกังวล "พี่ลู่เฉินค่ะ" ขณะที่จ้าวลู่เฉินและคนของเขากำลังร้อนใจเป็นห่วงเป็นใยคนบาดเจ็บที่พอขึ้นมายืนอยู่บนถนนเช่นนี้สภาพของเหรินซินนั้นบาดเจ็บเรียกว่าสาหัสอยู่นั้นคนบาดเจ็บก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบาหวิว "หือ?" จ้าวลู่เฉินขานรับในลำคอเสียงอ่อนโยนโดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งยองๆ ในอ้อมแขนนั้นยังคงอุ้มร่างน้อยของหญิงสาวผู้บาดเจ็บเอาไว้ด้วยท่าทางทะนุถนอมอย่างยิ่ง "แมวค่ะ พี่ลู่เฉินช่วยเอาแมวสีส้มตัวนั้นไปด้วยนะ...คะ" ทุกคนกำลังเป็นห่วงและตกใจกับอาการบาดเจ็บของเธอแต่เหรินซินที่สติกำลังจะขาดหายไปนั้นกลับห่วงใยเจ้าฟาโรห์เพราะสำหรับเธอนั้นยังมีใครอีกหลายคนแต่กับแมวเช่นฟาโรห์นั้นนับจากวันที่เธอเก็บมันมาจากข้างถังขยะในวันนั้นเมื่อ6เดือนก่อนเจ้าแมวสีส้มตัวนั้นมันก็ไม่มีใครอีกแล้ว ซึ่งพอบอกจุดประสงค์ของตนเองเสร็จหญิงสาวก็หมดสติไปเลยทันทีทำเอาจ้าวลู่เฉินยิ่งแตกตื่น "เหรินซิน! เหรินซิน เอาน้ำมาเร็วเข้า" จ้าวลู่เฉินทั้งตกใจที่หญิงสาวหมดสติแต่อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึกก็คือแปลกใจว่าเหตุใดตัวเองกำลังจะหมดสติแทนที่จะห่วงตนเองแต่หญิงสาวดันไปห่วงแมวอ้วนสีส้มที่ตั้งแต่ในท้องทุ่งนามันก็ติดตามไม่ห่างแต่ก็เป็นแค่ชั่วขณะเดียวที่เขารู้สึกแปลกใจเพราะความกังวลว่าเหรินซินจะเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงรีบให้คนของตนเอาน้ำสะอาดมาเทราดไปตามร่างกายของหญิงสาว โดยที่เขาใช้มือลูบไล้ล้างคราบขี้โคลนออกจากร่างกายของคนหมดสติถึงไม่หมดแต่อย่างน้อยก็ให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ก็ยังดี "เอาละ ไปโรงพยาบาลกันเถอะ" หลังจากล้างจนเห็นผิวเนื้อแท้ของหญิงสาวแล้วว่ามีบาดแผลกี่แห่งจ้าวลู่เฉินจึงออกคำสั่งให้จางจงไปประจำที่คนขับโดยมีลูกน้องอีกคนไปเปิดประตูรถตอนหลังให้กับเขา พอเขาเข้าไปนั่งพร้อมกับมีร่างหมดสติของเหรินซินอยู่ในอ้อมแขน ใครจะคาดคิดเข้าแมวอ้วนสีส้มที่แทบมองไม่เห็นสีจริงของมันแล้วเนื่องจากมันเองก็เปื้อนขี้โคลนเช่นกันจะวิ่งปรู๊ดตามขึ้นมาด้วย "มันคือแมวที่อาซ้อรองเก็บมาเลี้ยงเมื่อ6เดือนก่อนครับคุณชายรอง" จางจงบอกมาจากตำแหน่งที่นั่งคนขับ จ้าวลู่เฉินจึงพยักหน้าให้คนสนิทปิดประตูรถแล้วให้จางจงรีบออกรถโดยเร็ว ในใจของชายหนุ่มร้อนรนจนยากจะอธิบายรู้สึกผิดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วจริงๆ เพราะก่อนที่เหรินเซียวจะจากไปเขารับปากอีกฝ่ายเสียดิบดีว่าจะดูแลปกป้องเหรินซินให้ดีไปตลอดชีวิต แต่นี่ผ่านมาเพียง3ปีเขาก็ปล่อยให้เธอต้องมาเจอกับเหตุการณ์ร้ายเช่นนี้ "พี่เหรินเซียวผมขอโทษ" ชายหนุ่มพึมพำออกมาอย่างคนที่มีอารมณ์กดดันเต็มที่ เหลียวมองบาดแผลที่กระดูกโผล่ออกมาซึ่งกำลังมีเลือดไหลออกมากมายจนผิวขาวๆ ของเหรินซินซีดเซียวลงเรื่อยๆ หัวใจของชายหนุ่มก็ยิ่งเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าที่ตนเองบาดเจ็บเสียเองตอนนี้ชายหนุ่มหวาดกลัวเหลือเกิน หวาดกลัวว่าเธอจะไม่อยู่ให้เขาได้ดูแลอีกแล้ว "เร็วอีกจางจง!" เวลากว่า1ชั่วโมงจึงเห็นทางเข้าโรงพยาบาล เลือดบนเบาะรถคันหรูก็มากเสียจนคนเคยเป็นอดีตทหารคนหนึ่งถึงกับหน้าเสียไปหมด พอส่งร่างคนบาดเจ็บเข้าไปอยู่ในมือของหมอและพยาบาลในห้องฉุกเฉินแล้วจ้าวลู่เฉินก็ทรุดลงนั่งลงบนเก้าอี้ม้านั่งสำหรับญาติของคนป่วยอยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน สองมือที่เต็มไปด้วยเลือดและดินโคลนนั้นยกขึ้นกุมศีรษะชายหนุ่มหวาดกลัวเหลือเกินว่าเหรินซินจะทนพิษของบาดแผลไม่ไหวเพราะสภาพบาดเจ็บภายนอกดูหนักหนาขนาดนี้แล้วภายในของหญิงสาวจะหนักเพียงใด "คุณชายรองครับ เอายังไงกับแมวของอาซ้อรองดีครับ" จางจงที่อายุน้อยที่สุดในแก๊งหงส์เพลิงหรือสงห์เพลิงกรุปของจ้าวลู่เฉินจนชายหนุ่มมอบหมายหน้าที่ขับรถให้แทนที่จะไปเสี่ยงตายด้านอื่นอุ้มเจ้าแมวอ้วนมอมแมมเข้ามายืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเก้าอี้ที่คุณชายรองจ้าวนั่งกุมศีรษะอยู่ เสื้อคลุมหลุดลุ่ยไม่เหลือความหล่อเหล่าของคุณชายรองจ้าวที่สาวๆ ครึ่งเมืองหนานจิ้งหมายปองเลยสักนิด "พามันกลับไปที่บ้านส่วนตัวของฉันที่อยู่นอกเมือง อาบน้ำและหาอาหารให้มันกินให้ดี ระหว่างอาซ้อของแกยังป่วยอยู่ก็รับหน้าที่ดูแลมันให้ฉันด้วย" ดูแล้วเจ้าแมวอ้วนตัวนี้มันก็รักเหรินซินมาก ซึ่งตัวเหรินซินเองก็คงผูกพันกับแมวตัวนี้มากขนาดจะหมดสติเธอยังฝากฝังมันเอาไว้กับเขาดังนั้นขณะที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าของ ของแมวอ้วนนั้นจะปลอดภัยหรือไม่เขาต้องให้คนดูแลมันให้ดี "แล้วคุณชาย..." จางจงเห็นสภาพของจ้าวลู่เฉินที่เขาเคารพรักดังกับพี่ชายแท้ๆ ก็อดจะเป็นห่วงและอยากให้อีกฝ่ายกลับไปอาบน้ำให้สดชื่นก็ยังดีไม่ใช่มานั่งจมปลักอยู่ในสภาพเปื้อนดินเปื้อนโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้ "แกกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่รอฟังอาการของอาซ้อรองของแกอยู่ตรงนี้ อ้อแกช่วยติดต่อกงเหยียนให้มาพบฉันด้วย เผื่อมีเอกสารอะไรสำคัญของอาซ้อรองของแกที่ต้องนำมาให้ทางโรงพยาบาลอีก" "ครับ" "เหมียว" ฟาโรห์ร้องประท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะถูกพาไปไกลจากนางทาสของมัน "ไปกับอาจงก่อน เหรินซินป่วยอยู่ต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่แกเข้าใจไหมเจ้าเหมียวอ้วน" จ้าวลู่เฉินเองไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาพูดคุยเจรจากับสัตว์หน้าขนเช่นนี้แต่พอนึกถึงสายตาห่วงใยของคนในห้องฉุกเฉินชายหนุ่มก็จำยอมต้องเอ่ยปากออกไป "เหมียว!" ฟาโรห์กางกรงเล็บข่วนจางจงแล้วกระโดดลงไปอยู่บนพื้นท่าทางหูตั้งหางฟูดูก็รู้ว่ามันไม่ยอมจากไปจากตรงนี้แน่นอน จางจงเองก็ไม่กล้าที่จะต่อกรกับแมวแปลกหน้าถึงเขาจะชอบพวกสัตว์ขนฟูนุ่มนิ่มทุกชนิดเพียงใดก็ตาม "เอาเถอะ ในเมื่อแกไม่อยากไปก็อยู่กันแบบนี้นี่แหละ แต่หากว่าแม่ของแกปลอดภัยแล้วแกต้องกลับไปอาบน้ำพร้อมกับฉันนะเจ้าก้อนขี้โคลน" "..." จางจงอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีวาสนาได้เห็นคุณชายรองจ้าวที่ตลอด3ปีที่ผ่านมานี้ทุกคนที่รู้จักเขาต่างตั้งสมญานามว่าพญายมแห่งหนานจิ้งนั้นจะก้มลงไปเจรจากับสัตว์สี่เท้าตัวเล็กๆ ขนนุ่มเช่นแมวหนึ่งตัวไม่พอหลังจากพูดคุยจบอีกฝ่ายจะจับเจ้าแมวอ้วนมอมแมมขึ้นมาวางบนตักแล้วนั่งรออย่างสงบเช่นนี้...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD