บทที่5
เมื่อจ้าวลู่เจินมาถึงโรงพยาบาลเหรินซินที่ถูกปลุกจากยาสลบก่อนออกจากห้องผ่าตัดก็หลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดที่หมอสั่งฉีดให้ ดังนั้นภาพที่จ้าวลู่เฉินกลับมาพบจึงเป็นร่างที่บอบบางหลับสนิทอยู่บนเตียงคนป่วยกับสายระบายเลือดออกจากปอดและขาที่ถูกผ่าตัดและใส่เฝือกเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
"เป็นยังไงบ้าง"
ชายหนุ่มสอบถามเอากับกงเหยียนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนป่วย หลังจากที่หญิงสาวหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ของยาระงับปวด
"คุณเหรินซินรู้สึกตัวดีครับตอนออกจากห้องผ่าตัดตอนที่ย้ายมาลงเตียง แต่เพราะคุณหมอเพิ่งสั่งยาแก้ปวดให้เธอจึงหลับไปเพราะเหมือนเธอจะปวดแผลมากจนเพ้อเลยครับ"
กงเหยียนลุกขึ้นรายงานผู้เป็นนายด้วยท่าทางจริงจังเช่นเดิม ฟังอาการจากปากของเลขาคนสนิทแล้วจ้าวลู่เฉินก็ยิ่งเจ็บปวดที่ตนเองปล่อยให้อีกฝ่ายต้องมาพบเจอกับเรื่องร้ายแรงถึงขนาดนี้ ยิ่งเขามองดูร่างบอบบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็ยิ่งปวดใจ เพราะเธอก็ตัวเล็กเท่านี้แต่ต้องต่อสู่กับบาดแผลสาหัสมันเกินไปจริงๆ
"นายกลับไปพักเถอะ แล้วอย่าลืมเร่งคนของเราจับตัวป๋อจิ้งมาให้ฉันเร็วที่สุดด้วยนะฉันอยากจะกระทืบมันให้เร็วที่สุด!"
"ครับคุณชายรอง"
กงเหยียนจากไปแล้วจ้าวลู่เฉินจึงหันไปดูทางคนป่วย มือแกร่งเอื้อมไปลูบศีรษะของหญิงสาวด้วยความเอ็นดูผสานห่วงใย เหรินซินในยามนี้น่าสงสารจับใจ หญิงสาวอายุเพียง21ปี ตัวคนเดียวไม่สมควรต้องมาพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หากเขาเอง3ปีที่ผ่านก็มีหน้าที่สำคัญซึ่งยังยากจะปลีกตัวไปดูแลเธอได้ แต่เขาก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าอีกไม่เกิน3เดือนจะไปรับเธอมาอยู่หนานจิ้งด้วยกันแต่วันนี้กลับเกิดเหตุร้ายขึ้นมาเสียก่อน
"อืม...ฟาโรห์..."
คนป่วยพึมพำบางอย่างจ้าวลู่เฉินจึงขยับกายก้มลงไปฟังว่าหญิงสาวกล่าวว่าอะไร พอได้ฟังจนแน่ใจก็ถอนหายใจ รู้สึกผิดขึ้นมาอีกหลายขุมเมื่อเข้าใจกระจ่างว่าบัดนี้สำหรับหญิงสาวเธอเหลือแค่แมวส้มเป็นครอบครัวเท่านั้น
"ไม่ต้องห่วงมันหรอก พี่สัญญาจะดูแลมันให้ดี เธอเองก็ต้องรีบหายไวไวนะเหรินซิน"
"อือ"
ญาติข้างเตียงต่างมองมายังเตียงคนป่วยที่มาใหม่แล้วก็อมยิ้มกับภาพหนุ่มสาวที่ฝ่ายชายดูจะเป็นห่วงเป็นใยฝ่ายหญิงมากจริงๆ ตลอดคืนนั้นเหรินซินหลับๆ ตื่นๆ เพราะฤทธิ์ของอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงหักภายในไหนจะยังเป็นขาที่หักกระดูกทิ่มเนื้อทะลุออกมาอีก ดังนั้นพยาบาลจึงวิ่งเข้าวิ่งออกฉีดยาระงับปวดให้แกเธอแทบจะทุก2ชั่วโมง
จ้าวลู่เฉินจึงไม่ได้นอนทั้งคืน พอถึงช่วงเช้า ชายหนุ่มก็ช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้กับเธออย่างไม่เคยทำให้ใครมาก่อน ความรักระหว่างชายหญิงนั้นยังไม่ได้บังเกิด หากแต่ความผูกพันที่อีกฝ่ายเป็นน้องสาวของเหรินเซียวนั้นเหนียวแน่นมากเหลือเกิน จนช่วงสายรอจนหมอมาตรวจอาการของหญิงสาวอีกครั้งพร้อมกับเพิ่มขนาดยาระงับปวดให้กับเหรินซินเรียบร้อยแล้วจ้าวลู่เฉินจึงกลับบ้านสกุลจ้าวโดยก่อนหน้านั้นเขาได้โทรศัพท์ให้จางจงรับเอาหลิวมี่ติดรถมาด้วย เพื่อจะได้อยู่ดูแลเหรินซินแทนเขาในช่วงที่ตนเองหลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับแวะไปดูงานที่หงส์เพลิงกรุปในฐานะนายใหญ่อีกด้วย ส่วนเหรินซินตอนนี้อาการยังไม่เหมาะที่จะย้ายไปพักในห้องพิเศษคงต้องอยู่อาการในห้องรวมต่อไปอย่างน้อยก็คงอีกราว3วัน
"หากระหว่างที่ฉันไม่อยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นเธอต้องรีบติดต่อไปหาฉันหรือไม่ก็กงเหยียนทันทีนะหลิวมี่"
ถึงจะกำชับสาวใช้เป็นอย่างดีแล้วสุดท้ายจ้าวลู่เฉินนั้นก็ยังคงทิ้งเฉียงเว่ยเอาไว้ที่โรงพยาบาลเพื่อคุ้มกันเหรินซินอยู่ดี เพราะบนเส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นศัตรูมามากยิ่งกว่าเม็ดทรายแล้วกระมังตลอด3ปีมานี้ ไม่ว่าจะงานสีเท่า สีขาว หรือดำ ตลอด3ปีมานี้เขาจับผ่านมือมาแล้วทั้งหมด
"กลับมาได้แล้วหรือไอ้ลูกทรพี!"
แต่ที่จ้าวลู่เฉินคาดไม่ถึงก็คือบิดาของตนเองจะยังรอคอยการกลับมาของเขาอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มจำได้ว่าครั้งแรกที่ท่านนายพลจ้าวมานั่งเฝ้ารอเขาเช่นนี้คงเป็นครั้งที่ตนเองตัดสินใจลาออกจากราชการทหารเมื่อ3ปีก่อน ครั้งนี้คาดว่าบิดาของตนเองนั้นอย่างไรก็คงไม่เปิดใจยอมรับเหรินซินอย่างแน่นอน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวเท้ามั่นคงเดินผ่านหน้าของบิดาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
"หยุดนะไอ้ลู่เฉิน!"
ท่านนายพลจ้าวตรงเข้าไปกระชากแขนของบุตรชายคนรองเอาไว้ ครั้งนี้เขาโกรธมากจริงๆ ที่จ้าวลู่เฉินแอบไปแต่งงานโดยไม่บอกกล่าวให้เขารับรู้ไม่พอผู้หญิงคนนั้นยังมีแต่ตัวอีกด้วย ยากจนเป็นคนบ้านนอก สะใภ้สกุลจ้าวทุกคนไม่เคยต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนหลายชั่วอายุ เขายอมไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งช่วงนี้เขากำลังลำบากถูกหม่าเจินจูข่มเหงอย่างหนักทำให้ท่านนายพลจ้าวคิดจะแต่งสะใภ้รองมาส่งเสริมฐานะของเขาอีกคนเพื่อจะได้สู้กลับภรรยาเอกของตนเองได้แต่เจ้าลูกไม่รักดีมันกลับไม่เป็นดังใจของเขาเลยสักอย่าง
"พอเถอะครับท่านนายพล ยังไงผมก็ยังคงคำตอบเดิม คือไม่มีวันแต่งงานกับคุณหนูอะไรคนนั้นผมมีภรรยาแล้ว เหรินซินคือคนที่ผมยกย่องว่าเป็น‘เมีย’แค่คนเดียวเท่านั้น"
"ไอ้ลูกบัดซบ!"
ผลัวะ!
เป็นอีกครั้งที่จ้าวลู่เฉินถูกบิดาตบหน้า แต่เขาชาชินกับมันแล้ว บิดาของเขานั้นเป็นผู้ชายหัวเก่ายึดถือฐานะเป็นหลัก ที่สำคัญก็คือทุกสิ่งของลูกๆ คนเป็นบิดาต้องชี้ทางให้เดินเท่านั้นดังเช่นพี่ใหญ่ จ้าวลู่คังที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณหนูสกุลซูก็เพื่อผลประโยชน์เท่านั้นไม่สนใจสักนิดว่าจ้าวลู่คังจะรู้สึกอย่างไร
"ท่านนายพลจะฆ่าผมให้ตายก็ได้แต่ผมไม่มีวันหย่ากับเหรินซินแน่นอน"
จ้าวลู่เฉินพูดจบก็หันหลังเตรียมจะจากไปเก็บข้าวของเพื่อจะได้ย้ายออกอยู่ข้างนอกเพราะเขาเลือกความปลอดภัยและสบายใจของเหรินซินเป็นที่หนึ่งในเมื่อบิดาของเขาแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้ว่าไม่ยอมรับเธอเขาก็จะไม่พาหญิงสาวเข้ามาให้ลำบากใจ
"หากแกกล้าจะเดินออกจากสกุลจ้าววันนี้ความเป็นพ่อลูกของเราก็ถือว่าขาดกันไอ้ลูกอกตัญญู!"
เท้าแกร่งของจ้าวลู่เฉินหยุดนิ่งลงทันใดเพราะนี่อาจนับเป็นครั้งแรกที่ท่านนายพลจ้าวนั้นเอ่ยตัดสัมพันธ์พ่อลูกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเช่นนี้ชายหนุ่มใจหายอยู่มากแต่ภาพของเหรินเซียวก็ทำให้เขาคิดได้ว่าตัวของเขาถึงบิดาตัดขาดสายสัมพันธ์ก็ยังมีมารดาเลี้ยงกับพี่ชายต่างมารดาที่เอ็นดูไม่เคยทอดทิ้งผิดกับเหรินซินที่ไม่มีใครอีกแล้วหากเขาทอดทิ้งเธอ
"อย่างนั้นก็คงต้องแล้วแต่ท่านนายพลจะตัดสินใจเถอะครับผมอย่างไรก็ได้"
เผียะ!
ฝ่ามือแกร่งของจ้าวป๋อเหวินนั้นฟาดเปรี้ยงบนใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชายคนรองด้วยโทสะเต็มเปี่ยม หากแต่จ้าวลู่เฉินกลับเช็ดเลือดแล้วหัวเราะน้อยๆ เพราะชินชากับนิสัยเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่มา29ปีแล้วนั่นเอง
"จะตีผมให้ตายก็ได้ แต่ผมไม่มีวันทำตามใจของท่านนายพลหรอกนะครับ ปกติผมก็เป็นลูกอกตัญญูมาตลอดชีวิตอยู่แล้วจะเป็นต่อไปก็ไม่น่าจะผิดแปลกอะไร"
"ไอ้!"
"หยุดนะ!"
เสียงหวานแต่ก็ทรงอำนาจอยู่ในทีดังขึ้นก่อนที่ร่างบอบบางของหม่าเจินจูหรือคุณนายใหญ่ของท่านนายพลจ้าวปรากฏมาพร้อมกับบุตรชายคนโตที่พุ่งตัวเอาร่างมาบังกำปั้นของบิดาที่มุ่งเป้าหมายมายังน้องชายคนรองได้ทันท่วงที
"กับทหารใต้บังคับบัญชาท่านนายพลจะตบตีหรือลงโทษยังไงฉันไม่ยุ่งนะคะ แต่ที่บ้านกับลูกๆ ฉันเคยขอไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าลงไม้ลงมือ"
สตรีสาวใหญ่ผู้มีใบหน้างดงามลืมวัยหากไม่รู้อายุจริงคงคิดว่าเธอเพิ่งจะ30ตอนปลายเท่านั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเอาเรือนร่างอรชรของตนเองนั้นก้าวมาบดบังเรือนกายสูงใหญ่ของบุตรชายทั้งสองเอาไว้ไม่สนใจว่าตนเองตัวเล็กตัวน้อยเพียงใด
"เธออย่ามายุ่งดีกว่าเจินจู" จ้าวป๋อเหวินกล่าว
"ฉันไม่ยุ่งไม่ได้หรอกค่ะ ที่นี่สกุลจ้าวไม่ใช่กองทัพหรือค่ายทหารของท่านนายพล"
"เธอ!"
"พอเถอะค่ะ! อาคังพาอาเฉินไปทำแผลเถอะ"
หม่าเจินจูจัดการออกหน้าเช่นนี้ท่านนายพลที่ช่วงหลังมานี้ต้องพึ่งพาอาศัยเงินทองและทรัพย์สินของสกุลหม่าก็จำใจต้องปิดปากเมินหน้าหนีภรรยาคนแรกของตนเองและสุดท้ายจึงสะบัดมือเดินหนีไปหาภรรยาคนที่สามแทนเพราะรู้ดีว่าบัดนี้ตนเองทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
"จงจำเอาไว้นะลู่เฉินหากแกกล้าจะย้ายออกไปอยู่กับนังผู้หญิงคนนั้นระหว่างเราพ่อลูกก็ขาดกัน!"
แต่ก่อนจะก้าวขาจากไปจ้าวป๋อเหวินก็ยังหันไปกล่าววาจาข่มขู่บุตรชายคนรองเอาไว้อีกคำรบหนึ่งแต่จ้าวลู่เฉินก็ยังคงนิ่งเฉย
"ไปทำแผลก่อนเถอะอาเฉิน อย่าไปสนใจเขาเลย"
"ไม่เป็นไรครับแม่ใหญ่ผมขอไปเก็บของก่อนดีกว่าประเดี๋ยวจะต้องรีบไปดูเหรินซินที่โรงพยาบาลอีกครับ"
"แต่แผล..."
"ไม่เป็นอะไรครับแม่ใหญ่ผมรีบ"
"นายจะไปจากบ้านสกุลจ้าวจริงหรือ" จ้าวลู่คังชายหนุ่มวัย31ปีเอ่ยถามน้องชายด้วยสีหน้าห่วงใยจากใจจริง
"ครับพี่ใหญ่"
"อย่าไปเลยนะอาเฉิน แม่ใหญ่จะช่วยพูดกับท่านนายพลให้เอง"
"นั่นสิ ฉันจะช่วยด้วยอีกแรง"
"อย่าเลยครับ พี่ใหญ่ แม่ใหญ่ ผมไปนะดีที่สุดแล้ว อย่าให้เป็นเพราะผมที่ต้องทำให้แม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ต้องลำบากใจเลยคนแบบท่านนายพลจ้าวหากเขาไม่ยอมรับก็คือไม่ยอมรับแต่จะให้ผมทอดทิ้งเหรินซินผมก็ทำไม่ได้ดังนั้นผมออกไปคือทางออกครับ"
"อาเฉิน...เอาเถอะ แม่ใหญ่เคารพการตัดสินใจของอาเฉิน" หม่าเจินจูไม่อยากบีบบังคับใจบุตรชายคนรองเพราะอย่างไรเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่อายุตั้ง29ปีเต็มแล้วนางไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายกับเขาเกินไป
เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งมาโดยตลอดพอมีโอกาสขณะที่จ้าวลู่เฉินเข้าไปเก็บของบางอย่างในห้องทำงานหญิงสาวคนดังกล่าวจึงแทรกกายแอบตามติดเข้าไปทันที
"ออกไป!"
พอชายหนุ่มได้ยินเสียงกดล็อกดังมาจากประตูของเขาชายหนุ่มจึงหันขวับกลับไปยังต้นเสียงเมื่อเห็นว่าเป็นใครใบหน้าของเขาก็แสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนพร้อมกับเอ่ยวาจาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายทันที
"พี่คิดดีแล้วหรือ"
"ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอออกไป!"
จ้าวลู่เฉินไม่ได้ไล่เพียงคำพูดแต่ทว่าเขาเดินทางไปที่ประตูพร้อมกับปลดกลอนและกระชากมันออก ก่อนจะใช้สายตาเย็นชามองกดดันให้หญิงสาวผู้มีฐานะเป็นพี่สะใภ้ของตนเองออกไปจากห้องทำงานที่กำลังจะกลายเป็นอดีตของตนเองนิ่ง
"แต่ฉันหวังดีกับพี่นะคะ"
"ไม่จำเป็น!"
พอดีกับที่ลุงเหอขึ้นมาช่วยคุณชายรองของตนเองขนเอกสารที่สำคัญพอดี‘ซูเมิ่งจี’ผู้เป็นสะใภ้คนโตของท่านนายพลจ้าวจึงจำใจต้องก้าวจากไป ชายหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะพลางถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะไม่พูดอะไรกับใครอีก เขาเร่งมือเก็บของเพราะอยากรีบกลับไปดูแลเหรินซินให้เต็มที่
"หากมีอะไรก็โทรหรือให้คนของนายมาแจ้งกับฉันได้ตลอดนะลู่เฉิน เรายังเป็นครอบครัวเป็นพี่น้องกันเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน"
"ใช่มีอะไรก็จำไว้ว่ายังมีแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่นะอาเฉิน"
จ้าวลู่คังและหม่าเจินจูออกมาส่งจ้าวลู่เฉินพร้อมกำชับอีกฝ่ายหนักแน่นเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีกว่าท่านนายพลผู้เป็นบิดานั่นเอง จ้าวลู่เฉินรับปากก่อนจะก้าวขึ้นรถจากมา แต่พอพ้นออกมาจากประตูใหญ่กลับพบเข้ากับรถของซูเมิ่งจีจอดรออยู่
"คุณชาย..."
จางจงหันมาคล้ายจะถาม
"ไปต้องจอดฉันรีบ"
จางจงแอบพ่นลมหายใจออกทางปาก ส่วนจ้าวลู่เฉินนั้นไม่ได้เหลือบสายตาไปมองหน้างดงามของคนเป็นพี่สะใภ้คนโตแม้แต่น้อย เขาสนใจเพียงเกาคางให้กับเจ้าเหมียวสีส้มตัวอ้วนที่กำลังคลอเคลียอยู่บนตักของเขาเท่านั้น ทำให้ซูเมิ่งจีโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่จ้าวลู่เฉินเมินเฉยกับตนเองราวกับเธอเป็นอากาศอันว่างเปล่าเท่านั้น...