ปลายฟ้าน้ำตาเอ่อคลอตลอดเวลาที่ทายาให้สิงหราช เขาไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยวอะไรที่ถูกทำร้ายร่างกาย ตรงกันข้ามสิงหราชกลับนิ่งลึกจนเธอเดาอารมณ์เขาไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
บางครั้งความเงียบนี่แหละที่น่ากลัวที่สุด
ธีระเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่มักใส่ใจคนรอบข้างเสมอ แต่วันนี้เขาให้เห็นแล้วว่าการไม่พูด การใช้ความเงียบกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง มันไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลาที่รอวันปลดดีๆ นี่เอง
“ถ้ามันเจ็บจะร้องไห้ก็ได้นะคะ ไม่ต้องคีพคูลตลอดเวลาก็ได้” ปลายฟ้าพูดขณะที่เก็บยาใส่กล่องปฐมพยาบาลตามเดิม
“บางทีความเจ็บปวดของแต่ละคนก็ไม่ได้ระบายออกมาเป็นน้ำตาหรอกนะปลายฟ้า” สิงหราชเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าดูเหมือนคนอมทุกข์เอาไว้ แต่ไม่อยากระบายมันออกมา
“เฮีย..”
คนตัวเล็กเงยหน้าเศร้ามองสิงหราช ก่อนจะถือวิสาสะสอดมือเข้าที่แก้มเขาแล้วลูบไล้ไปมาอย่างเบามือ
ใบหน้าเรียบเนียบอิงแอบแนบซบที่อกอุ่นของสิงหราช ยกเรียวแขนขึ้นกอดเกี่ยวเอวเขาเอาไว้
“แล้วเจ็บมากมั้ย”
“ฉันไม่เจ็บหรอก”
อีกฝ่ายไม่มีทีท่าปฏิเสธการกระทำของปลายฟ้า เพราะตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในห้องของเธอที่ไร้สายตาคนในครอบครัวราพณามาจับจ้องมอง รวมถึงคนใจแข็งที่เผลอใจอ่อนให้เธออยู่บ่อยครั้งจนไม่ยอมผละออกจากเธอ
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บไม่ได้เหรอ”
ปลายฟ้าพูดถูก บางครั้งสิงหราชก็พูดในสิ่งที่รู้สึกไม่ได้ แม้กระทั่งตอนเจ็บเจียนตายก็ต้องแสร้งว่าสบายดี
“เหนื่อยก็แค่พักสักหน่อย.. ไม่ต้องฝืนทำอะไรที่ไม่อยากทำ หนูแค่อยากให้เฮียมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างเท่านั้นเอง”
สิงหราชนั่งเป็นผู้ฟังที่ดี แต่ในขณะเดียวกันในหัวเขาก็มีเรื่องให้คิดมากมายจนมันตีกันพัลวันไปหมด
เขารู้จากท่านเกษมเรื่องอาการป่วย หัวหน้าครอบครัวต้องการพักผ่อนและขอให้เขาขึ้นดูแลงานต่อเป็นการชั่วคราว โดยบาดแผลบนใบหน้าเป็นหลักฐานชี้ชัดให้ผู้เป็นประมุขได้เห็นว่าธีระไม่พอใจกับการตัดสินใจของพ่อตนเองในครั้งนี้
แต่สุดท้ายคำสั่งของท่านเกษมก็ถือเป็นจุดสูงสุด สิงหราชไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้าน้อมรับความกรุณานี้เอาไว้ ต่อให้รู้ว่าต้องผิดใจกับธีระก็ตาม
เอาไว้สักวันอีกคนก็คงจะเข้าใจ ว่าการถูกตีกรอบให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้มันเป็นยังไง
“โตแล้ว..”
“คะ”
“โตแล้วก็ใช่ว่าจะทำทุกอย่างได้ตามใจ ไม่ใช่ทุกอย่าง..” และไม่ใช่กับคนอย่างเขาด้วย
ปลายฟ้าเงยหน้าแล้วทำเสียงกระเง้ากระงอดในลำคอ เพราะสีหน้าเคร่งขรึมของสิงหราชที่ดูเหมือนว่าเขาจะทำตามสิ่งที่เธอพูดไม่ได้
“โตแค่ไหนก็ร้องไห้ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเราโตแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องการอ้อมกอดอุ่นๆ จากใครสักคนอยู่ดี”
“.....”
“โตแล้วต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวแบบเฮียเหรอคะ”
รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนมุมปาก นัยน์ตาคู่คมฉายภาพสะท้อนของปลายฟ้าในแววตา เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนตัวเล็กในอ้อมแขนหัวใจเต้นแรง เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าแดงฉาน
“ฉันไม่เคยโดดเดี่ยว” สิงหราชพูดขึ้นหลังสบตาเธอครู่หนึ่ง “ตั้งแต่มีเธอ..”
ดวงตาคู่สวยสบประสานกับสายตาของสิงหราช พลันเวลาของปลายฟ้าก็ราวกับหยุดเดิน หัวใจเธอเต้นล่ำไม่เป็นส่ำยามจ้องมองเรียวปากหนาหยุ่นแล้วนึกถึงภาพของเขาที่จุมพิตเธอ
ถ้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไป ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า
คนที่พูดจะสมหวังหรือสุดท้ายเราสองคนจะมองหน้ากันไม่ติดกันแน่
“ขอโทษนะคะเฮียสิงห์” ปลายฟ้ากล่าวขอโทษด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษฉันเรื่องอะไร” สิงหราชขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะจับไหล่เล็กให้ผละออก
“ขอโทษที่ปกป้องอะไรเฮียไม่ได้เลย”
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อยปลายฟ้า”
“เป็นสิ มันเป็นความผิดของหนูเอง”
คนที่รู้สึกผิดเอาแต่โทษตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างสุดความสามารถ เพื่อแสดงให้อีกคนได้เห็นว่าเธอจะเข้มแข็งไปพร้อมกับเขา
ไม่เหลือเวลาให้อ่อนแอแล้ว
“เฮียจะโกรธหนูมั้ย ถ้าหนูบอกให้เฮียระวังเขาเอาไว้” ปลายฟ้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใคร”
“เฮียธีร์”
สิงหราชที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับเลยทำให้ปลายฟ้าถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาเข้าใจในความวิตกกังวลของเธอดี เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ต่างอะไรจากไฟลามทุ่ง นอกจากจะควบคุมได้ยากแล้วยังบานปลายไปกันใหญ่อีกต่างหาก
“สัญญากับหนูได้มั้ยคะว่าเฮียจะดูแลตัวเองอย่างดี จะไม่ยอมให้ใครมาลอบทำร้ายเด็ดขาด”
“พี่ธีร์ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เธอไม่ต้องกังวล”
“ไหนว่ากระดาษมันคมไง”
ปกติสิงหราชคงจะตอบกลับเธอว่ายอกย้อนคำพูดเขาไปแล้ว แต่พอถูกตอกหน้าด้วยประโยคที่เขาเคยพูด มันเลยทำให้สิงหราชคิดตาม แล้วก็แอบหวั่นใจไม่น้อยว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“หนูแค่อยากมั่นใจว่าเฮียจะปลอดภัย แล้วก็ดูแลตัวเองอย่างดี” ปลายฟ้ากุมมือหนาไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง
“เข้าใจแล้ว” สิงหราชรับคำ ก่อนหลุบตามองมือเธอแล้วขยับสายตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“สัญญาใจมาสิคะ”
“ฉันสัญญา”
“สัญญาใจ..”
พูดจบปลายฟ้าก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าสิงหราช ซึ่งเขาก็เกี่ยวก้อยเธอเหมือนทุกครั้งที่สัญญากันโดยไม่ปฏิเสธอะไร
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เข้มแข็งไว้นะคะเฮียสิงห์.. หนูก็จะเข้มแข็งเหมือนกัน” ปลายฟ้าให้คำมั่นในน้ำเสียงเจือรอยสะอื้น ดวงตาเว้าวอนขออย่าให้เรื่องร้ายย่างกรายเข้ามาอีกเลย
สิงหราชระบายยิ้มบางเบา ราวกับเขาเป็นภาพในความฝันของเธอ จนปลายฟ้าที่อยากจะร้องไห้เต็มทีรีบโผเข้าไปกอดคนตรงหน้าไม่ยอมปล่อย
“ปลายฟ้า”
“ดุเลยค่ะ ดุไปหนูก็ไม่ปล่อยเฮียหรอก”
คนที่รู้ทันว่าจะถูกดุกระชับอ้อมกอดแน่น ก่อนจะขยับกายเข้าประชิดสิงหราชจนชายหนุ่มนั่งตัวเกร็ง
“เธอเองก็เหมือนกัน อย่าให้ผู้ชายกอดตามใจแบบนั้นอีก เข้าใจมั้ย” สิงหราชกำชับเสียงแข็ง สายตาหลุกหลิกคล้ายว่าปกปิดความรู้สึกบางอย่าง
“พี่เธียรน่ะเหรอคะ” ปลายฟ้าเงยหน้าเอาคางวางไว้บนแผ่นอก ก่อนจะระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าอีกคนเบือนหน้าไม่ยอมสบตาด้วย
“ผู้ชายทุกคน”
“แล้วเฮีย.. รวมเฮียด้วยหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากคนปากแข็ง แต่ปิดสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด เรียวคิ้วเข้มเผลอขมวดเข้าหากัน ลมหายใจร้อนผ่าวผ่อนปรนออกมาเฮือกใหญ่
“พจนานุกรมของผู้ชายอย่างสิงหราชไม่มีคำว่าหึงเหรอคะ”
“ปลายฟ้า”
“เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปนี้ไม่ให้ใครกอดนอกจากเฮีย แล้วเฮียก็ห้ามให้ใครกอดนอกจากหนูนะ”
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนตัวเล็กที่กำลังออดอ้อนเขา ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนจะหลุดยิ้มเล็กๆ บนมุมปากสวย แล้วก็เลือนหายไปตอนที่ปลายฟ้าจับผิดเขา
“ยัยเด็กแก่แดด” สิงหราชพูดพลางใช้มือดันใบหน้าเธอออก
ทั้งสองคนนั่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงบ แต่ทว่าหัวใจของปลายฟ้ากลับเต้นแรงจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน
“ช่วงบ่ายฉันมีประชุมด่วน น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”
“หนูขอไปด้วยได้มั้ย”
“ไม่ได้”
คำปฏิเสธจากชายหนุ่มทำหญิงสาวหน้าหงอ แต่ก็ถูกง้อในแบบฉบับคนหน้ามึนด้วยการบีบปลายจมูกเธอให้เลิกทำหน้ายู่ใส่ได้แล้ว
“ส่วนพรุ่งนี้.. อยากเป่าเค้กมั้ย”
“.....”
“ว่าไง อยากทำอะไรในวันเกิด”
เจ้าของดวงตากลมสวยหลุบมองมือตัวเองที่จิกหน้าตัก ก่อนเงยหน้าแล้วโปรยยิ้มหวานให้คนตรงหน้าคลายกังวลใจ
“อยากอยู่กับเฮียค่ะ” ปลายฟ้าตอบกลับด้วยสีหน้าทะเล้น
“นี่” สิงหราชยกมือเตรียมมะเหงกอีกฝ่าย แต่ก็ถูกลูกอ้อนของเธอเข้าสู้เสียก่อน
“หนูพูดจริงนะคะ ถ้าได้เป่าเค้กด้วยกันก็คงจะดี ถึงเฮียจะไม่ชอบงานวันเกิด แต่ขอให้ปีนี้เฮียอยู่กับหนูนะ..” น้ำเสียงหวานลิ้มปานน้ำผึ้งอ้อนเขาด้วยการยื่นหน้ามาใกล้ ใช้สายตาอ้อนวอนจนอีกคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ขอดูตารางงานก่อน”
“เฮียว่างเหอะ ว่างตั้งแต่เย็นเลยด้วย”
“เธอรู้ได้ยังไง”
รู้สิ เธอรู้ดีกว่าใครเลยล่ะ
ในวันนั้นหลังเลิกเรียนทั้งคู่ไปซื้อเค้กด้วยกัน ก่อนความตายจะพรากผู้ชายที่เธอรักจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา
“ถ้างั้น.. วันศุกร์อยู่กับหนูนะคะ สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีของเฮียแค่คนเดียวเลย”
สิ้นประโยคนั้นชายหนุ่มอกสามศอกก็ถึงกับชักสีหน้าตึงปิดบังความเห่อร้อนบนใบหน้า ภายใต้สายตาเรียบเฉยที่สบมองคนตัวเล็กแล้วกระตุกยิ้มมุมปากใส่
“เป็นเด็กดีแน่นะ”
“แน่ค่ะ”
“เด็กดีของใคร”
“ของเฮียสิงห์ค่ะ”
รอยยิ้มของปลายฟ้ากลายเป็นเหมือนยารักษาที่ทำให้สิงหราชหายเหนื่อยในวันที่อะไรก็ตามไม่เป็นใจ ความสดใสของเธอที่ปรากฏในวันนี้เขาจะพยายามรักษามันเอาไว้
เพราะเมื่อเธอโตขึ้นโลกใบนี้จะโบยตีเธอด้วยความผิดหวังและความเสียใจ แต่เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาทำร้ายเธอได้อย่างแน่นอนถ้าเขายังอยู่ตรงนี้
ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่หรือจากไปก็ตาม..
หลังสิงหราชต้องออกไปทำงาน ปลายฟ้าก็ยุ่งวุ่นเกี่ยวกับการตามหาที่อยู่ของธีระ เธอไม่กล้าถามคุณหญิงแก้วรุ้ง วันนี้เธอลงมาดื่มแค่น้ำชาแล้วก็ขึ้นห้องไป ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่ที่สามีตนไว้ใจลูกบุญธรรมมากกว่าลูกชายตัวเอง
แต่ความจริงจะมีใครบ้างที่ยอมได้ หากแต่การตัดสินใจของท่านเกษมก็ถือเป็นที่สิ้นสุดอยู่ดี เพราะงั้นตอนนี้ปลายฟ้าจำเป็นต้องคอยจับตาดูธีระเอาไว้
หลังจากทะเลาะกับสิงหราช เขาจะยังไปที่บริษัทหรือตั้งป้อมกับพ่อตัวเองกันแน่
“ฉันฝากกำไลไว้กับแกก่อนนะอิง เอาไว้หลังวันศุกร์นี้.. ฉันจะไปเอา” ปลายฟ้าบอกผ่านปลายสาย ก่อนจะสวมหมวกแก๊ปเตรียมตัวออกไปข้างนอก
( แล้วแกเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ก็ไม่มาเรียน ) น้ำอิงถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมีเสียงของเจ้าขาคอยแทรกเข้ามาเป็นระยะเช่นกัน
“ไม่ค่อยสบายนิดหน่อย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะไปไหวหรือเปล่า”
( ไปโรงพยาบาลมั้ย แกไหวมั้ยเนี่ย )
“ไหว.. ไหวสิ สบายมาก ไม่ต้องเป็นห่วงเพิ่งกินยาเข้าไป นอนอีกสักพักก็คงจะหายดี”
เจ้าตัวโกหกคำโตเพราะไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วง ร่างกายไม่ได้เป็นอะไร แต่จิตใจต่างหากที่กำลังป่วยหนัก
เธอไม่อยากทนแบกรับความรู้สึกพวกนี้อีกแล้ว
( เออ ยังไงก็ไว้เจอกันนะปลาย )
“โอเค ไว้เจอกัน”
พูดจบเธอก็กดวางสายและทันทีที่ปลายฟ้าลงมาข้างล่าง เธอก็เห็นคุณหญิงแก้วรุ้งกำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่พอดี
ปลายฟ้าชะลอฝีเท้าที่รีบร้อนให้ช้าลง ก่อนจะปั้นยิ้มบนใบหน้าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหญิงรุ่นราวคราวแม่อย่างไร้พิรุธ
“คุณป้า” ปลายฟ้ายิ้มกว้าง พลางมองอีกคนใช้กรรไกรตัดกิ่งกุหลาบทิ้ง
“หนูปลายจะไปไหนจ้ะ” น้ำเสียงของคนมีอายุเอ่ยถาม แต่สายตายังวุ่นอยู่กับดอกไม้ของเธอเอง
“อ๋อ พอดีหนูนัดเพื่อนติวหนังสือเอาไว้น่ะค่ะ”
“เพื่อนที่มหา’ลัยน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
สิงหราชสอนเอาไว้ว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ชีวิตจริงของมนุษย์เราก็ไม่มีใครพูดความจริงตลอดเช่นกัน
เธอจำเป็นต้องสร้างเรื่องเพื่อดูอากัปกิริยาของคนในตระกูลราพณา อีกอย่างคนเป็นแม่อย่างคุณหญิงแก้วรุ้งมีหรือจะยอมให้ลูกชายคนโตเสียสิทธิ์การบริหาร คงจะมีการฟาดฟันอารมณ์กับท่านเกษมมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงได้อยู่กันคนละมุมทั้งคู่แบบนี้
“ว่าแต่วันนี้คุณป้าลงมาดูแลดอกไม้เองเลยเหรอคะ” ปลายฟ้าเอียงคอถาม
“ใช่จ้ะ มีเรื่องกวนใจป้าเยอะเลยน่ะ ก็เลยออกมาหาอะไรทำให้ผ่อนคลายสักหน่อย” คุณหญิงแก้วรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงลึกไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองภายในแววตา
“ถ้างั้นหนูไม่กวนคุณป้าแล้วดีกว่าค่ะ”
“แล้วเราไปยังไง นั่งรถไปหรือว่าเพื่อนมารับ”
“เรียกลุงวินมาแล้วค่ะ”
“เอารถที่บ้านไปใช้สิลูก จะได้สะดวกเราด้วย” คู่สนทนาเอ่ยบอกทั้งที่สายตายังคงเชยชมดอกไม้สวยตรงหน้าไม่ละไปไหน
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณป้า ขอบคุณมากๆ นะคะ งั้นหนูขอลาคุณป้าเลยนะคะ” ปลายฟ้าค้อมศีรษะพร้อมคำขอบคุณ ก่อนจะปลีกตัวเองออกมา เตรียมขึ้นรถลุงวินคู่ใจไปที่บริษัทราพณาทันที
ระหว่างทางมาบริษัทปลายฟ้ากระวนกระวายใจตลอดเวลา ทันทีที่รถจอดหน้าตึกสูงตระหง่านดูอลังการสมกับเป็นราพณา เธอก็รีบก้าวขาลงจากรถแล้วควักเงินจ่ายอย่างรีบร้อน ก่อนจะก้าวเท้าตรงไปที่จุดประชาสัมพันธ์
“สวัสดีค่ะ” ปลายฟ้าฉีกยิ้มให้พนักงานสาว พลางส่ายตาไปรอบบริเวณที่มีพนักงานบริษัทเดินเข้าออกกันให้พลุกพล่านไปหมด
“สวัสดีค่ะ ติดต่อสอบถามอะไรคะ” หญิงสาวสอดส่องใบหน้าปลายฟ้าที่มีหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าอยู่
“คุณสิงห์น่ะค่ะ คุณสิงหราชอยู่มั้ยคะ”
“รบกวนแจ้งชื่อด้วยค่ะ”
“ปลาย.. ปลายฟ้าค่ะ”
พูดจบเธอก็รีบถอดหมวกออกเพราะสายตาอีกฝ่ายที่ดูไม่ไว้วางใจ ทันทีที่ใบหน้าของปลายฟ้าเผยชัด พนักงานสาวอีกคนที่ยืนคุยกับแขกเสร็จก็รีบหันมากระซิบบอกว่าคนที่เพื่อนร่วมงานกำลังคุยอยู่เป็นใคร
ดวงตาของเธอเบิกโพลง ก่อนจะรีบค้อมขอโทษขอโพยทันที
“คุณปลายฟ้าเหรอคะ ขอโทษทีค่ะ ดิชั้นเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน” เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน กลัวจะถูกกล่าวโทษจนคุมเสียงไม่อยู่
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” ปลายฟ้ายกมือโบกปฏิเสธด้วยท่าทางเป็นมิตร หวังให้อีกฝ่ายคลายกังวล “ตกลงแล้วเฮียสิงห์ไปไหนเหรอคะ”
“คุณสิงหราชออกไปด้านนอกกับคุณธีระค่ะ”
“นานหรือยังคะ”
ดวงตากลมสวยเบิกโต จนคู่สนทนาพลอยตกใจรีบยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาไปพร้อมกัน
“สัก 30 นาทีได้แล้วนะคะ”
“เอ่อ ถ้างั้นขอบคุณมากค่ะ”
สิ้นประโยคสนทนาปลายฟ้าก็ค้อมศีรษะขอบคุณเธอ ก่อนจะวิ่งออกมาหน้าตึกบริษัทด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกไปหมด
เหตุการณ์ที่ธีระระเบิดอารมณ์จนควบคุมตัวเองไม่ได้ยังเตือนใจให้ปลายฟ้าหวาดกลัว หนำซ้ำคำพูดของอีกฝ่ายยังฉายชัดว่าคิดยังไงกับสิงหราชอีกต่างหาก
การที่ให้สิงหราชอยู่ใกล้กับเขาคงจะไม่ดีแน่
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะเฮีย ทำอะไรของเขา” ปลายฟ้าบ่นอุบ สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล พยายามโทรออกหาสิงหราชหลายสายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับมัน
ข้อความนับสิบข้อความถูกพิมพ์หาสิงหราชด้วยมืออันสั่นเทาของปลายฟ้า เธอพิมพ์ถูกพิมพ์ผิดแล้วก็จัดการส่งไปหาเขา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทรหาธีระ พอนึกได้เธอก็จัดการโทรออกหาพี่ชายคนโตของบ้านทันที
“ทำไมไม่มีใครรับเลยสักคน.. ทำไมไม่รับสาย” ปลายฟ้าเอ่ยเสียงเศร้า น้ำตาเอ่อคลอคาเบ้าใกล้จะไหลออกมาเต็มทน
เธอหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่มีตัวช่วยให้เธอร้องขอ ปลายฟ้าผ่อนปรนลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปนั่งรอสิงหราชที่ล็อบบี้ของบริษัท เพราะเขาจะต้องกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน
ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาเสียก่อนเท่านั้นเอง..
เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ปลายฟ้านั่งรอสิงหราช สายตาคอยชะเง้อมองประตูทางเข้าของบริษัทว่าเมื่อไหร่เขาจะปรากฏตัว
กระทั่งเสียงริงโทนมือถือบนตักดังขึ้น คนที่เหม่อลอยก็ถึงกับได้สติตัวเองคืนมา
( ขอโทษที่ไม่ได้รับสาย ฉันติดคุยงานต่อนิดหน่อยก็เลยปิดเสียงเอาไว้.. )
“.....”
( ปลายฟ้า )
“ฮึก”
( ฮัลโหลปลายฟ้า ได้ยินฉันมั้ย )
คนที่นั่งอมทุกข์อยู่นานสองนานก้มหน้าร้องไห้กับตัวเอง หลังได้ยินเสียงที่คุ้นเคยผ่านปลายสาย
“เฮียมาหาหนูหน่อยได้มั้ย..” ปลายฟ้าสูดน้ำมูกแล้วงุดหน้าจนคางเกือบชิดอก
( ตอนนี้อยู่ที่ไหน )
“ราพณา”
หลังจากวางสายไม่ถึงสิบห้านาที คนที่ปลายฟ้าอยากให้ปรากฏตัวก็เดินตรงปรี่เข้ามาหาเธอ สายตามองแต่ไกลก็รู้ว่าเตรียมจะดุที่เธอตามเขามา แต่พอได้เห็นใบหน้าสวยเปื้อนคราบน้ำตา สิงหราชก็กลืนทุกคำพูดลงคอก่อนแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ข่มอารมณ์ไม่ให้ดุเธอในเวลานี้
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ตามมา” สิงหราชเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“หนูก็บอกเฮียแล้วเหมือนว่าให้ดูแลตัวเอง”
“พูดอะไรของเธอ”
“เฮียไปไหนกับเฮียธีร์ล่ะคะ”
คนตัวเล็กเงยหน้าพลางเบะริมฝีปากทำท่าจะปล่อยโฮ แต่ก็ได้สิงหราชส่ายหน้าเชิงให้กลั้นเอาไว้ก่อน เพราะสายตาของพนักงานคนอื่นที่มองมา อาจจะทำให้ปลายฟ้าตกเป็นเป้าของการติฉินนินทาได้
“ขึ้นรถ”
“เฮีย”
“มีอะไรไปคุยกันบนรถ”
พูดจบสิงหราชก็คว้าข้อมือปลายฟ้าให้เดินตาม ทันทีที่ทั้งคู่เข้ามานั่งในรถ สิงหราชก็ลอบถอนหายใจพร้อมกับจับไหล่คนตัวเล็กให้หันหน้ามาคุยกัน
“อย่าร้องไห้สิ วันนี้เธอร้องไห้เยอะแล้ว เดี๋ยวตาก็บวมหรอก หืม” สิงหราชใช้โทนเสียงนุ่มนวลในการคุย แม้สีหน้าจะดูน่าเกรงขามจนพนักงานหลายคนหวั่นกลัวเขา แต่เมื่ออยู่กับปลายฟ้าเขาพยายามจะลบภาพตัวเองในที่ทำงานให้มากที่สุด
“ทำไมถึงไปกับเฮียธีร์.. สองคนไปทำอะไรกันคะ” ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“ฉันปรับความเข้าใจกับพี่ธีร์แล้ว เธอไม่ต้องกังวล”
“ปรับความเข้าใจว่าอะไรคะ แน่ใจเหรอคะว่าเฮียธีร์ไม่ได้โกหกอะไรเฮีย”
“ปลายฟ้า” สิงหราชกดเสียงต่ำ ก่อนระบายลมหายใจทิ้งเบาๆ
“เฮียธีร์ไม่ได้ทำร้ายอะไรใช่มั้ย..” เสียงเล็กสั่นเครือก่อนปลายประโยคเว้นช่วงหายไป “ตอบหนูสิคะ”
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว”
“หนูจะแน่ใจได้ยังไงว่าปรับความเข้าใจกันจริง เฮียธีร์ทำร้ายมาหรือเปล่า หรือว่าพูดขู่อะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มี”
“เฮียไม่ได้โกหกหนูใช่มั้ย อย่าโกหกเพื่อให้หนูสบายใจนะคะ แบบนั้นจะยิ่งทำให้หนูคิดมากยิ่งกว่าเดิมอีกอ่ะ.. เฮียพูดความจริงใช่มั้ย ใช่มั้ยคะ” กำปั้นเล็กตีอกอีกคนสองสามที จนมือหนาต้องรวบสองมือปลายฟ้าไปกุมเอาไว้
ร่วมชั่วโมงที่ปลายฟ้านั่งรอเขาแล้วติดต่อไม่ได้ มันยิ่งทำให้ใจดวงน้อยจวนจะขาดรอนเสียให้ได้
“ฉันพูดความจริง”
“เฮียสิงห์”
“ทำไมช่วงนี้เธออ่อนไหวง่าย หืม วันนั้นของเดือนเหรอ”
สิงหราชที่เปรยคำถามออกไปทำเอาหญิงสาวถึงกับหน้างอในทันที สำหรับสิงหราชเขาก็คงใช้ชีวิตประจำวันเหมือนปกติ แต่สำหรับปลายฟ้าที่รู้ว่าเขาจะต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันทำให้เธอวิตกกังวลทุกอย่างจนระบายความรู้สึกออกมาผ่านน้ำตาแทนคำพูด
“เธอมีเรื่องอะไรให้กังวลกันแน่ปลายฟ้า ทำไมถึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เจอฉันที่สนามบิน”
“คือ..”
“ฉันไม่โกหก เธอก็ห้ามโกหกเหมือนกัน”
สิงหราชกดสายตาเชิงกดดันให้เธอพูดความจริง แม้จะรู้ว่าปลายฟ้าแทบจะไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวก็ตาม
ปลายฟ้าขยับสายตาขึ้นมอง ก่อนจะยกมือขึ้นจับใบหน้าสิงหราชอย่างลืมตัว
“หนูกลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีเฮีย..”
“.....”
“ถ้าไม่มีเฮียสิงห์แล้วหนูจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ยังไง ในเมื่อเฮียเป็นทุกอย่างของหนู”
คนตัวเล็กระบายความในใจแล้วกลั้นน้ำตาจนใบหน้าแดงฉาน แต่คำสารภาพของเธอกลับให้ชายหนุ่มที่ดูด้านชาต่อความรักเผยใจเต้นแรงขึ้นมา
“เฮียอย่ารำคาญหรือดุหนูที่เอาแต่ตามเฮียเลยนะคะ ขอแค่อยู่ใกล้ๆ หรือแค่เห็นเฮียก็พอ จะไม่รบกวนอย่างอื่นเลยจริงๆ” ปลายฟ้าบอกออกไป มืดแปดด้านกับสถานการณ์จนอยากทิ้งตัวเข้าหาอีกฝ่ายให้เขากอดแน่นๆ
“ฉันไม่ดุหรอก”
“แต่เมื่อกี้เฮียดุ”
“แค่ไม่อยากให้กังวล”
“มันหยุดไม่ได้นี่”
“ฉันสัญญาไปแล้วไง ต้องให้ย้ำอีกรอบมั้ย”
เรียวปากนุ่มนิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าสบสายตาสิงหราช เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายตาของเขาสะกดมองเธอ
“สัญญามาสิคะ สัญญาว่า.. อื้อ”
วินาทีที่สิงหราชตกลงไปในภวังค์ มือหนาก็ยกมือขึ้นสอดประคองพวงแก้มขาวแล้วยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ
จังหวะที่ความหนาหยุ่นกดแนบบนเรียวปาก ปลายฟ้าก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะหลับตาลงปล่อยให้อีกคนได้บดขยี้ริมฝีปากขึ้นลงอยู่อย่างนั้น
ฉับพลันหัวใจก็เต้นโครมคราม จนควบคุมลมหายใจได้ยาก เมื่อเรียวลิ้นร้อนพยายามที่จะแทรกแซงเข้ามาในโพรงปากหวาน โดยที่คนจูบไม่เก่งได้แต่หลับตาแล้วนั่งตัวแข็งทื่ออย่างเดียว
กระทั่งสิงหราชที่เผลอหายใจแรงเลื่อนมือวางไว้ที่ต้นขาเธอ เจ้าตัวถึงได้สติรีบผลักออกก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
“นี่คือการย้ำคำสัญญา”
เรียวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะระบายยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า
“จูบนี้ฉันจะย้ำว่าฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหน.. ไม่มีวัน”