สุดท้ายปลายฟ้าก็ต้องเช็ดน้ำตาเมื่อมานั่งต่อหน้าประมุขของบ้านอย่างท่านเกษม เก็บทุกคำถามที่เกิดขึ้นภายในใจเอาไว้ทีหลัง
ดวงตากลมโตกวาดมองสถานการณ์บนโต๊ะอาหารอย่างหวั่นใจ เธอนั่งก้มหน้าบีบมือเข้าหากันแน่น โดยมีสิงหราชคอยลอบมองเธอเป็นระยะ
เพราะฝันที่เหมือนจริงปลายฟ้าก็เลยพาตัวเองดิ่งตามไปด้วย แม้ว่าจะได้สัมผัสสิงหราชตัวจริงเสียงจริง แต่ก็ยังรู้สึกใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“เธียรไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ให้เจ้าธีร์เป็นตัวแทนน้องก็แล้วกัน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายกำแพงความเงียบ ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเหมือนท้องฟ้าก่อนพายุฝนจะตก
ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นมองท่านเกษม ก่อนจะเลื่อนมองธีระที่ดูนิ่งผิดสังเกต
“ที่จริงวันนี้ฉันก็มีเรื่องอยากจะบอกทุกคน มารวมตัวกันแบบนี้ก็ดี ถึงจะไม่มีเธียรแต่ก็มีตาธีร์เป็นตัวแทนละกัน”
ทันทีที่เจ้าของบ้านเริ่มเกริ่นหัวเรื่อง ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างก็พากันตั้งใจฟัง เห็นทีจะมีแค่ปลายฟ้าที่ดูเลิ่กลั่กกว่าคนอื่นเขาอยู่คนเดียว
“ฉันจะให้สิงหราชขึ้นสานงานต่อในต้นเดือนหน้า เพราะฉันจะพักรักษาร่างกายให้เต็มที่..” น้ำเสียงราบเรียบของท่านเกษมแฝงไปด้วยความหนักแน่นทั้งสายตาก็จริงจังมากกับสิ่งที่พูด
“อะไรนะคะคุณ” คุณหญิงแก้วรุ้งแทรกขึ้น สายตาและสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ ไม่ต่างจากลูกชายคนโตที่ดูลนลานหลังนิ่งผิดปกตินานหลายนาที
“ไหนคุณบอกว่าจะให้ตาธีร์รับช่วงต่อก่อนไงคะ”
“เธอก็เห็นว่าขนาดสาขาย่อยเจ้าธีร์มันยังทำได้ไม่ดี ถ้าขึ้นมาบริหารสาขาใหญ่ มันจะไม่หนักกว่านี้หรือไง”
“คุณก็ควรให้ลูกได้ลองก่อนสิคะ”
“ฉันพิจารณามาอย่างดีแล้ว แค่ให้เจ้าสิงห์มันลองทำ ถ้าทำออกมาไม่ดียังไงบอร์ดบริหารก็ไม่เอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ”
ประมุขของบ้านตบโต๊ะฉาดใหญ่ แต่ปลายฟ้าไม่ได้สะดุ้งตามราวกับร่างกายมีภูมิคุ้มกันรู้ทันว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ธีระตวัดสายตามองสิงหราชอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะที่สิงหราชไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขานิ่งเฉยราวกับแม่น้ำที่นิ่งสงบแต่กลับยิ่งทำให้ธีระหัวเสียมากกว่าเก่า
“แล้วตาธีร์..”
“แล้วผมควรทำยังไงครับพ่อ พ่อถึงจะพอใจ”
“แกก็แค่ศึกษางานให้ดี ถ้าให้ดีก็ดูงานจากสิงห์เป็นตัวอย่าง”
“ทำไมพ่อถึงไม่ให้โอกาสผมได้ลองกันล่ะครับ ถ้าผมทำออกมาไม่ดีก็ให้บอร์ดเป็นคนตัดสินแทน”
การทะเลาะขนาดย่อมระหว่างพ่อกับลูกกำลังเริ่มต้นขึ้น ซึ่งปลายฟ้าที่เงยหน้ามองทั้งท่านเกษมและธีระสลับกันไปมาเริ่มมุ่นคิ้วคล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เนื่องจากสถานการณ์ที่กลืนเข้าคายไม่ออกสุดๆ
ท่านเกษมลอบถอนหายใจออกมาพรืดยาว พลางยกมือขึ้นวางประสานบนโต๊ะ สีหน้าดูเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย แต่ก็เหมือนจะปลงไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“เห็นพ่อภูมิใจในตัวมันนักหนา สิงห์มันน่าจะเกิดมาเป็นลูกพ่อแทนผมนะครับ ผมมันไม่ได้เรื่องสักอย่างอยู่แล้ว”
“เฮียธีร์”
ปลายฟ้าเบิกตาโตมองธีระที่เดินออกจากโต๊ะไปด้วยสีหน้าทั้งน้อยใจและเสียใจ ก่อนคุณหญิงแก้วรุ้งจะมองหน้าผู้เป็นสามีราวกับรู้สึกผิดหวังแล้วลุกพรวดตามลูกชายตนขึ้นไปข้างบน
สิงหราชทำท่าจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกท่านเกษมส่ายหน้า พลางลอบถอนหายใจหนักทิ้งอย่างหนักใจ
“ทานข้าวกันดีกว่า” พูดจบท่านเกษมก็โบกมือเชิงไม่ต้องสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าปลายฟ้าที่สติแทบจะหลุดกะพริบตาถี่มองสิงหราชแล้วนิ่งงันไปนานหลายวินาที
มันไม่ใช่ความฝัน แต่เหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว..
ปลายฟ้าจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง คิดวกวนกับเรื่องราวทั้งหมด กระทั่งมือหนาของสิงหราชแตะลงบนมือปลายฟ้า เธอถึงดึงสติกลับมาแล้วมองใบหน้าคมคายด้วยสายตาวิตกกังวล
“ทานข้าว”
“แต่เฮีย..”
“ทานข้าวก่อน เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” สิงหราชดุเธอผ่านสายตา จนเจ้าตัวนั่งไหล่ห่อคอตกยอมทานข้าวท่ามกลางความเงียบบนโต๊ะอาหาร มีแค่บทสนทนาสองสามประโยคระหว่างสิงหราชและท่านเกษมเท่านั้น
ระหว่างทานอาหารปลายฟ้าแทบจะกินอะไรไม่ลง เธอเดินตามสิงหราชขึ้นมาบนห้อง เพราะรู้สึกเป็นห่วงคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
พอเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นว่าสิงหราชยืนอยู่ริมระเบียง เขาเปรยสายตามองเธอที่เดินเข้ามายืนขนาบข้าง ก่อนจะมุ่นคิ้วใส่เมื่อคนตัวเล็กกว่าฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นสระอิ
“เฮียโอเคมั้ย” ปลายฟ้าถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหรี่ตามองอย่างจับผิด “อยากได้สาวผมดำหรือผมบลอนด์ปลอบใจดี”
สิงหราชยกมือดีดหน้าผากเธอ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากที่เห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นถูหน้าผากยกใหญ่
“แล้วเฮียต้องกลับไปอเมริกาอีกมั้ย”
“ไม่แล้ว ท่านเกษมน่าจะได้คนดูแลแทนแล้วเรียบร้อย”
สิ้นประโยคนั้นปลายฟ้าก็ระบายยิ้มอย่างพอใจ ถึงจะรู้ว่าสิงหราชเป็นพวกไม่ใช่พวกฝักใฝ่เรื่องรักใคร่ก็ตาม แต่ปลายฟ้าก็คงจะยินดีเสียมากกว่าถ้าหากมีใครสักคนดูแลผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี
“อะไรอยู่ในมือ” เรียวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นมือเล็กกำอะไรสักอย่างอยู่ในมือ
“คะ” ปลายฟ้าเลิกคิ้วสูง ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนเพราะภาพบางอย่างผุดแทรกเข้ามาในโสตประสาท จนเธอเริ่มกลัวแล้วว่าฝันนั้นมันจะเป็นความจริง
“ฉันถามว่าอะไรอยู่ในมือ” สิงหราชกดเสียงต่ำ
ปลายฟ้าอึกอักไม่อยากจะพูดความจริง จนสิงหราชต้องคว้ามือเธอมาดูเอง ก่อนจะพบว่าเป็นกำไลข้อมือหินอ่อนที่ปลายฟ้าเตรียมเอามาให้เขา ทว่าภาพของสิงหราชกลับถูกทับซ้อนด้วยเงาบางอย่าง คล้ายว่าปลายฟ้าจะเคยเห็นเขาในมุมนี้แล้ว
ตอนนี้เธอเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันเป็นแค่ความฝันหรือลางบอกเหตุกันแน่
“มันคืออะไร”
“กำไลนำโชค หนูสั่งเพื่อนมา ช่วยเรื่องความรักแล้วก็สุขภาพแต่ว่า..”
“เอามาให้ฉันหรอ”
เธอพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคือความจริง ต่อให้อยากจะโกหกแค่ไหนก็หนีไม่พ้นสายตาของสิงหราชไปได้อยู่ดี
คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยื่นมือมาตรงหน้าให้ปลายฟ้าเป็นคนใส่ให้ ก่อนจะเปรยสายตาเรียบนิ่งขึ้นมอง พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“วันศุกร์นี้วันเกิดเธอใช่มั้ย” เสียงเรียบเอ่ยถามหลังปลายฟ้าสวมใส่กำไลให้ สายตาคล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“เอ่อ” ปลายฟ้ากลอกตาแล้วขมวดคิ้วแน่น
“อยากเป่าเค้กหรือเปล่า”
“คะ”
“เป็นอะไรของเธอ วันนี้เหม่อบ่อยนะปลายฟ้า”
ใบหน้าขาวที่มีร่องรอยการร้องไห้มาเงยหน้าขึ้นมองสิงหราช ก่อนจะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เพราะหาข้อมาปฏิเสธไม่ได้ ว่าเธอกลัวฝันร้ายจะเกิดขึ้นจริง
กลัวว่าสิงหราชจะตาย..
“ยังไม่เลิกกังวลเรื่องฝันอีกหรือไง”
“ก็มันน่ากลัวนี่”
“มันก็เป็นแค่ฝัน.. ฉันอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง เธอจะสัมผัสหรือจับดูก็ได้ จะได้รู้ว่าฉันยังไม่ตาย”
พูดจบสิงหราชก็อ้าแขนให้อีกฝ่ายได้สำรวจดู เพราะรู้ว่าฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนกระทั่งตอนตื่นมันรู้สึกแย่แค่ไหน แต่การที่ปลอบใจคนไม่เก่งก็เลยทำให้สิงหราชแสดงออกด้วยท่าทางไร้ซึ่งอารมณ์คล้ายคนตายด้านเหมือนเคย
ปลายฟ้าหลุบตาใช้ความคิด พยายามนึกว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เธอพอจะจำได้ แล้วมันก็ผุดขึ้นมาในหัวจนทำให้เธอช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายคล้ายว่าไม่พอใจ
“หนูถามอะไรเฮียหน่อยได้มั้ย”
“ถามอะไร”
“เฮียมีอะไรปิดบังหนูอยู่หรือเปล่า”
สีหน้าของสิงหราชดูตึงขึ้นมาทันทีที่พบว่าปลายฟ้ากำลังจับผิดเขาอยู่
“รู้มั้ยว่าหนูเกลียดการมารู้ทีหลัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที่มารู้ทีหลัง มันรู้สึกแย่ทั้งนั้น”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
“เฮียเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าคะ” ปลายฟ้าพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาจริงจังจ้องมองริมฝีปากของเขาเพื่อรอคำตอบ
ประโยคในฝันที่ธีระบอกว่าสิงหราชโรคหัวใจกำเริบก่อนประสบอุบัติเหตุ แม้จะเลือนรางแต่พอเห็นหน้าสิงหราชเธอก็จำมันได้ในทันที และยิ่งภาพของความฝันชัดมากเท่าไหร่ ภาพของสิงหราชที่นอนแน่นิ่งพร้อมกับเลือดสีสดก็ยิ่งชัดมากเท่านั้น
“ตอบมา ห้ามโกหก”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“แปลว่าหนูเป็นคนอื่นสำหรับเฮียแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวนี้มีอะไรก็ไม่ได้บอกกันแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ใช่แบบนั้น..” สิงหราชลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยประโยคที่แผ่วเบา “ใช่..”
“เฮีย” นัยน์ตาสีดำเบิกโต ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรงเพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
“แต่มันเป็นความยินยอมของฉัน แล้วมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันที่จะไม่รักษา”
ดวงตาคู่สวยวูบไหวไปมา น้ำตาเอ่อคลอจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำว่าสิงหราชจะป่วย เพราะเขามีรูปร่างที่แข็งแรงดูกำยำ เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้วก็ดูแลตัวเองดีมาตลอด
นี่คือผลตอบแทนสำหรับเขางั้นเหรอ..
“ฉันไม่อยากเป็นภาระใครปลายฟ้า ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล เข้าใจมั้ย”
“แต่เฮียอยู่คนเดียวตลอดไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยเฮียก็มีหนู ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายขนาดนั้น ไม่สมกับเป็นเฮียเลยนะคะ”
ปลายฟ้ากอดอกจ้องสิงหราชตาเขม็ง ขบกัดริมฝีปากสะกดกลั้นอารมณ์เพราะรู้ตัวว่ากำลังจะร้องไห้ต่อหน้าเขา ทว่าวินาทีต่อมาน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงเผาะบนแก้มขาวอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่
“ไม่รู้แหละ ยังไงเฮียก็ต้องไปหาหมอแล้วเริ่มรักษา” พูดพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเบะริมฝีปากใส่
“ปลายฟ้า” สิงหราชมุ่นคิ้วเพราะอยากจะเข้าไปปลอบ แต่ก็คอยลอบมองไปรอบบริเวณกลัวว่าจะมีคนอื่นเข้ามาเห็น
“ไม่สบายก็ต้องหาหมอ ไม่ใช่มาทำเหมือนสบายดีแล้วทำตัวแบบนี้ ใจร้ายที่สุดเลย.. บอกแล้วไงว่าห้ามตาย ห้ามตายไม่เข้าใจเหรอ”
กำปั้นเล็กทุบอกสิงหราชสองสามที โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะห้าม เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ปลายฟ้ากำลังโกรธที่เขาปิดบัง แต่ถ้าเลือกได้เขาก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับใครอยู่ดี
เขาใช้ชีวิตมาอย่างดีมากพอแล้ว และจะอยู่กับตัวเองในบั้นปลายชีวิตอย่างที่คิดเอาไว้ให้ดีด้วย
“ถ้าเฮียตาย หนูก็จะตายด้วย ไม่อยากเป็นแล้วหมอถ้าไม่ได้รักษาเฮีย”
“ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิตเลยเหรอปลายฟ้าถึงพูดออกมาแบบนั้น”
“หนูรู้ว่าเฮียสอนให้เห็นคุณค่าในชีวิต แต่ทำไมเฮียถึงไม่ใจดีกับตัวเองบ้างล่ะ ทำไมถึงต้องใจร้ายกับตัวเองขนาดนั้นด้วย” ปลายฟ้าสะอื้นหลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
เราจะรู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหนก็ตอนที่กำลังจะจากโลกนี้ไป หรือเห็นว่าคนรอบข้างสำคัญกับตัวเราเองมากแค่ไหนก็ตอนที่ไม่สามารถบอกคำว่ารักกับพวกเขาได้อีกต่อไปแล้ว
ชีวิตดูมีคุณค่าและความหมายก็ต่อเมื่อมีความตายเข้ามาเกี่ยวข้อง.. เมื่อทุกอย่างดูสายเกินไป
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง”
“เข้ารับการรักษา.. แล้วหนูก็ต้องเป็นคนพาเฮียไปด้วย”
สิ้นเสียงเชิงบังคับปลายฟ้าก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วยืนรอคำตอบอย่างมีหวัง สิงหราชพ่นลมหายใจก่อนจะใช้มือบีบแก้มคนตรงหน้าแทนเช็ดน้ำตาให้
“ตกลง”
“.....”
“ฉันจะเข้ารับการรักษา แต่เธอต้องสัญญามาก่อนว่าจะตั้งใจเรียนแล้วก็เป็นหมอที่ดี ตามที่เคยให้สัญญาไว้”
สุดท้ายสิงหราชก็ใจอ่อนเพราะเห็นน้ำตาที่ดูเจ็บปวดของคนตรงหน้า ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าปลายฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“สัญญามา”
“อืม”
“ปลายฟ้า”
เสียงเข้มดุคนที่กำลังสะอึกสะอื้นให้ส่งมือมา ปลายฟ้าเหลือบมองแล้วยื่นมือไปเกี่ยวก้อย พร้อมประทับตราเป็นท่าประจำของทั้งคู่ที่มักจะทำเวลาสัญญาอะไรสักอย่างนึง
“สัญญาใจแล้วประทับตราแปลว่าอะไรคะ”
“แปลว่าห้ามผิดสัญญา”
สิงหราชรับคำแต่ปลายฟ้าก็ยังไม่เลิกทำหน้าบูดบึ้งอยู่ดี เธอกะพริบตามองคนตัวสูงกว่า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นออดอ้อนพร้อมกับยกมือขึ้นกุมท้องไปด้วย
“จะเอาอะไรอีก” เขาถามขึ้น
ปลายฟ้ายิ้มแห้งทั้งน้ำตา “หนูกินข้าวไม่อิ่มเพราะเฮียธีร์ทะเลาะกับคุณลุง เฮียช่วยเลี้ยงข้าวหนูหน่อยดิ กินไม่เยอะหรอก”
“กระเป๋าจะแบนมากกว่า”
“เฮียอ่า”
สุดท้ายสิงหราชก็ทนลูกอ้อนของปลายฟ้าไม่ไหว ต้องพามากินสเต๊กร้านประจำ ซึ่งเธอล่อรับประทานไปทั้งหมดสามจานจนพุงกาง แถมยังแวะกินไอศกรีมอีกสองถ้วยไม่รวมไอศกรีมโคนในมือที่เธอสั่งกลับมากินระหว่างทางอีกต่างหาก
ทั้งคู่มาเดินย่อยที่ชั้นด้านล่างของห้าง มีมุมโซนเครื่องเล่นเด็กที่ปลายฟ้าสนใจแต่ถูกสิงหราชลากออกมาก่อน เจ้าตัวได้แต่มุ่ยริมฝีปากก่อนสายตาจะหันไปสบกับหญิงสาวที่ไม่รู้จัก แต่งตัวจัดเต็มสีสันฉูดฉาดแต่มีรอยยิ้มเป็นมิตรส่งมาให้
“น้องคนสวย” เธอกวักมือเรียก แต่ปลายฟ้าเลื่อนสายตามองไปทางอื่น ไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายที่โปรยยิ้มให้
ทว่าก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้งเพราะร้านมีไฟหลากสีดูดึงดูดสายตา แต่ทว่าก็น่ากลัวในคราเดียวกันเพราะมาที่นี่ทีไรปลายฟ้าไม่เคยเห็นร้านนี้มาก่อนเลย
“น้องคนสวยที่ถือไอติมนั่นแหละค่ะ” เธอว่าพลางกวักมือเรียกปลายฟ้าอีกครั้ง
“พี่สาวเขาเรียกหนูแน่เลย” ปลายฟ้าเงยหน้าบอกสิงหราชที่กดสายตามองมา
“เขาเรียกคนสวยไม่ใช่หรอ”
“แล้วหนูไม่สวยตรงไหน..”
ใบหน้าขาวเชิดหน้ามอง ดวงตากลมโตทำให้สายตาของปลายฟ้าหวานลิ้ม ยิ่งแก้มนิ่มมีเลือดฝาดก็ยิ่งทำให้เธอน่ารักเวลายิ้มเข้าไปใหญ่ สิงหราชชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันหน้าผากเธอให้ออกห่าง
“น้องสองคนนั่นแหละค่ะ ว่างมั้ย พี่อยากคุยด้วย สักห้านาทีก็ได้” หญิงสาวในร้านที่ดูเหมือนจะเป็นตำหนักแม่หมอของหวาน เพราะสีสันละลานตาจนปลายฟ้ารั้งแขนสิงหราชให้หยุดมอง
“พี่เขาเรียกพวกเรา เฮียไม่ได้ยินเหรอ”
“เสียเวลา เราต้องรีบกลับบ้าน”
“ไม่เสียเวลาหรอกค่ะ แค่แปปเดียวก็ได้”
ว่าแล้วเธอก็ลากแขนเข้าไปในร้านแล้วหยุดยืนอยู่ตรงที่มีโต๊ะถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ด้านหลังมีของพวกเครื่องรางดักความฝันห้อยระโยงระยาง หลอดไฟสีม่วงที่ทำให้บรรยากาศมันเย็นเยียบ รวมถึงเข็มทิศอันใหญ่ติดผนังด้านหลังกับนาฬิกาทรายก็ดึงดูดสายตาด้วยเช่นกัน
“พี่เปิดไพ่ให้เราฟรีไม่คิดเงิน พวกน้องสนใจมั้ย” หญิงสาวที่มีลักษณะเหมือนแม่หมอชอบดูดวงระบายยิ้มให้
“ไม่ครับ” สิงหราชตอบตัดบท ก่อนจะหมุนตัวกลับเตรียมเดินหนี
“สนใจค่ะ” ปลายฟ้ายิ้มรับแล้วล็อคแขนสิงหราชเอาไว้ทันทีที่ได้ยินคำว่าฟรี
“พี่รู้ว่าน้องคนนี้เป็นคนที่เชื่ออะไรยาก” เธอหันไปมองที่สิงหราช “โดยเฉพาะเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่แค่ลองขำๆ หรือแค่คิดว่าพี่มาเล่นทายใจพวกเราก็ได้นะ”
แม่หมอหลับตาลงปรับสีหน้าที่เรียบนิ่งเป็นหว่านรอยยิ้มให้ทั้งสองคนวางใจ ผายมือให้ทั้งคู่นั่งลงตรงเก้าอี้ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มสับไพ่ด้วยความชำนาญ
“พี่ว่าพวกน้องน่าจะสนใจเรื่องความรักเป็นพิเศษแน่เลย ใช่มั้ย”
ปลายฟ้าที่ดูจะสนใจมากกว่าใครเพื่อนรีบพยักหน้ารับทันที
“อันนี้พี่จะดูให้ก่อนนะว่าเขาคนนั้นนิสัยใจคอจะเป็นยังไง” เธอพูดขึ้น “พี่จะเปิดไพ่แล้วก็อ่านไพ่ให้ฟรีเลย”
ปลายฟ้าเผยอริมฝีปาก จนสิงหราชต้องช่วยถือไอศกรีมแทนเพราะเธอกำลังเหม่อ หลังจากแม่หมอคลี่ไพ่เรียงอย่างสวยงามแล้วเริ่มจั่วไพ่ออกมา
“The Hermit” เธอเปิดไพ่แล้วระบายยิ้ม “The High Priestess”
“เขาคนนั้นเนี่ยเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เป็นพวกที่ชอบปลีกวิเวกอยู่คนเดียว เขาเป็นคนมีแผลในใจนะ น่าจะได้เราเป็นคนช่วยรักษาให้ แล้วก็ยังเป็นคนที่มีเหตุผลแล้วก็ไตร่ตรองอยู่เสมอ”
ไพ่สองใบแรกถูกเปิดพร้อมกับการอ่านไพ่ที่ปลายฟ้าให้ความสนใจตาไม่กะพริบ เธอดูเคลิ้มตามไปกับแม่หมอ ผิดถนัดกับสิงหราชที่แค่ฟังผ่านหูไม่ได้ใส่ใจอะไร
“The Empress”
“เขาจะทำให้ชีวิตน้องสดใสเหมือนท้องฟ้าหลังฝนตกที่มีสายรุ้งขึ้น น่าจะเป็นคนที่น้องรอคอยเขามาตลอด”
ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ สายตาแอบชำเลืองมองสิงหราช ก่อนจะหันกลับมามองไพ่ตรงหน้าต่อ
“แต่มีความรักก็ย่อมมีอุปสรรค บางอย่างก็ต้องใช้หัวใจนำทางถึงจะเจอคำตอบ ไหนขอดูหน่อยสิว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง” แม่หมอเอียงคอแล้วยักคิ้วใส่ ดูท่าทางคล้ายคนมาหลอกลวงพูดจาเลอะเทอะไปเรื่อยเปื่อย แต่สำหรับปลายฟ้าเธอตั้งใจฟังจนไม่ละสายตาไปไหน สายตาจดจ่อไพ่ต่อไปที่กำลังจะถูกเปิด
“Wheel of Fortune”
“ดวงชะตาที่ไม่อาจขัดขวางได้ เป็นคนที่เราไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอแล้วก็ได้ครอบครอง เหมือนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่กลับเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันหรือเข็มขัดสั้นจนเกินไป”
“คาดไม่ถึงเหรอคะ”
สิงหราชถึงกับหันมองสองสาวที่มองหน้ากัน ก่อนที่แม่หมอจะหัวเราะร่วนพร้อมกับปรบมือเพราะปลายฟ้ารับมุขของเธอในทันที
“หนูว่าพี่สาวเขาน่าจะเป็นตลกคาเฟ่มากกว่า ไม่น่าจะใช่คนดูไพ่ยิปซีหรอก” ปลายฟ้าป้องมือกระซิบข้างหูคนข้างๆ
“ถึงบอกไงว่าจะเสียเวลา” สิงหราชตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะมองแม่หมอที่เปิดไพ่ต่อไม่สนว่าทั้งคู่จะกระซิบกระซาบอะไรกัน
“The Six Of Swords” เธอยังคงเปิดและอ่านไพ่อย่างใจเย็น “เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามในการฝ่าฟันอุปสรรคที่จะเข้ามา แล้วเวลาจะนำพาสิ่งที่รอคอยมาหาเอง ดาบเยอะแบบนี้ก็แปลว่าอุปสรรคระหว่างทั้งคู่จะเยอะ แต่ก็จะผ่านมันไปได้ด้วยดี”
ไพ่รูปดาบปรากฏตรงหน้า เหมือนจะเป็นอัศวินนักรบถือดาบแค่นั้นถ้ามองด้วยตาเปล่า แต่ดาบหลายเล่มมันทำให้ใจของปลายฟ้ารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“แต่หน้าพี่ดูไม่ค่อยมั่นใจนะ”
“เพราะมันอาจจะเหนื่อยจนน้องอยากจะยอมแพ้เลยไง.. แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านมันไปได้”
พูดจบใบหน้าของปลายฟ้าก็เจื่อนไปในทันที เธอรู้สึกเหมือนใจมันวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก เพราะสายตาของคนตรงหน้าที่มองมา ราวกับมีนัยยะบางอย่างที่กำลังสื่อสารผ่านสายตาแต่ปลายฟ้าดันอ่านมันไม่ออก
“Knight Of Cups” นิ้วเรียวเปิดไพ่ต่อแล้วยิ้มน้อยๆ “เห็นมั้ยไพ่อัศวินถือถ้วย เรามันเลือดนักรับ หัวใจก็นักสู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจออะไรที่เข้ามาท้าทายหรือเป็นบททดสอบของชีวิตก็พร้อมสู้หัวชนฝา”
“แล้วน้องรู้มั้นไพ่กลับหัวมันหมายความว่ายังไง”
ปลายฟ้าส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องดีก็อาจจะกลายเป็นไม่ดี หรือถ้าจะดีก็อาจจะเกือบดี เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงหรืออาจจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา”
แม่หมอที่หยิบไพ่กลับหัวระบายยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวลใจ
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร สุดท้ายทุกอย่างก็จะมีทางออกของมันเอง”
ทุกอย่างฟังเหมือนจะง่าย แต่ก็มีปริศนาแฝงอยู่ในไพ่ทุกใบที่เปิดขึ้นมา จนปลายฟ้าที่แม้ว่าจะเรียนแพทย์แต่ก็แอบเป็นสายมูเตลู เธอก็เลยแอบคล้อยตามรวมถึงแอบเชื่อไปนิดนึงแล้วด้วย
“The Fool” แม่หมออ่านไพ่ที่กลับหัว “ทุกอย่างมันอาจจะเริ่มต้นด้วยความที่ไม่พร้อมหรืออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวัง แต่สุดท้ายพี่เชื่อไพ่รวมทั้งหมดมันจะนำทางเราไปในทางที่ดีแน่นอน” แม่หมอประกบมือแล้วทำหน้าเพ้อฝัน เหมือนกับว่าได้เห็นตอนจบบริบูรณ์ของหนังเรื่องโปรด ก่อนจะมองหน้าปลายฟ้าแล้วฉีกยิ้มกว้าง
“ทั้งหมด 399 บาทค่ะ”
“อะไรนะคะ”
“บอกแล้ว โดนหลอกเลยเห็นมั้ย”
ปลายฟ้าหันมองหญิงสาวนักทำนายตรงหน้าสลับกับมองสิงหราชที่ลุกขึ้นเดินไกลออกไป ก่อนที่สาวเจ้าตรงหน้าจะขยิบตาให้เธอพร้อมกับส่งสายตาเชิงให้ตามสิงหราชไป
“เอ่อ แปปนึงนะคะ” เธอยกมือขึ้นบอก ก่อนจะล้วงหาเงินในกระเป๋าตัวเองด้วยท่าทางลนลาน
“ถ้าไม่รีบตามไป ระวังจะเจอคนงอนตุ้บป่องนะจ้ะ”
“ชีพจรลงฝ่าเท้าเฮียเหรอคะ เดินไม่รอกันเลย”
ปลายฟ้าที่หยิบแบงก์เทาขึ้นมาเตรียมจะจ่ายถูกแม่หมอดันมือออก พลางส่ายหน้าว่าไม่เอาค่าดูไพ่ ก่อนจะเพยิดหน้าให้สิงหราชไปแทน
“ตามไปสิจ้ะ”
“ฮะ.. เฮียสิงห์รอหนูด้วย”
“แต่เดี๋ยวก่อนสิน้อง”
หญิงสาวที่เปิดไพ่โยกตัวมาคว้าแขนปลายฟ้าเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดำขลับจ้องมองปลายฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากชวนให้ขนลุก
“น้องเชื่อเรื่องย้อนเวลามั้ย”
“อะไรนะคะ”
“อดีตเปลี่ยน อนาคตเปลี่ยน”
น้ำเสียงนุ่มลึกถูกส่งผ่านสายตาของหญิงตรงหน้าที่จ้องมองมาตาไม่กะพริบ มันทำให้ปลายฟ้าเริ่มกลัวจนต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากสิงหราช
“ถ้าอนาคตยังไม่เปลี่ยน.. น้องจะติดอยู่ในลูป เฝ้าดูคนรักตายไปนับครั้งไม่ถ้วน” แม่หมอพูดต่อหลังสิงหราชกำลังเดินตรงกลับมา
“พี่พูดถึงอะไร” ปลายฟ้ามุ่นคิ้วเข้าหากัน
“มันไม่ใช่ความฝันหรอกนะน้อง มันคือลูป อยากออกจากลูปก็ต้องหาทางออกเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จนปลายฟ้าเริ่มไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ขามันดันก้าวไม่ออกซะอย่างงั้น
“ปลายฟ้า” สิงหราชเรียกชื่อปลายฟ้า ก่อนจะรีบเดินเข้ามาคว้ามือคนตัวเล็กเอาไว้
ทว่าหญิงสาวนักทำนายก็ยกมือขึ้นป้องปาก ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกใกล้ๆ ปลายฟ้า เป็นประโยคที่ทำเอาปลายฟ้าถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“เพราะเขาเคยหยุดให้น้องไม่ตาย น้องก็ต้องหยุดเขาจากความตายเหมือนกัน”
“.....”
“เขาต้องรอดในวันเกิดของน้อง.. ไม่งั้นลูปจะทำงานต่อไป ไม่มีวันจบสิ้น”