ตอนที่ 5 นัดบอด EP.1

2224 Words
ตอนที่ 5 นัดบอด EP.1  หลังจากคุยกันไม่รู้เรื่อง ตะวันฉายก็เลิกเซ้าซี้ต่อ เพราะเธอไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไรอีก คุยกับคนชอบหาเรื่องก็จะเจอเรื่องทั้งวัน ดังนั้นไม่คุยจะดีที่สุด ขอเพียงเขาไม่ทิ้งล็อกเกตนั่นไป ซึ่งโดยนิสัยเขาแล้วไม่น่าทิ้งข้อได้เปรียบนั่นไปโดยไม่ได้อะไรกลับมา ส่วนตะวันฉายเองก็ไม่รีบใช้มันเหมือนกัน ถ้ามีใครถามหา เธอก็จะบอกว่าลืมไว้ที่ห้องของหมี่ขาวก็แล้วกัน รอจนเกือบสิบโมงในที่สุดขบวนวิ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็เคลื่อนมาถึงโค้งสปิริต รอบนี้ตะวันฉายไม่ได้ไปวิ่งกับเด็ก เพราะเธอเรียนจบแล้ว อีกอย่างยังไม่ใช่โอกาสพิเศษจำพวกครบรอบ 10 ปี หรือ 20 ปี ของเกียร์ เพื่อนร่วมรุ่นค่อนข้างน้อย เพราะหลังจากทำงานโอกาสที่จะได้รวมตัวกันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นว่าเพื่อนจะอยู่เชียงใหม่กันน่ะนะ หลังจากเรียนจบและสอบใบประกอบวิชาชีพเสร็จ ตะวันฉายก็ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ มีบ้างที่ต้องไปช่วยตรวจไซต์งานในจังหวัดอื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วประจำอยู่ที่เชียงใหม่เพราะว่าพ่อเห็นเธอเป็นผู้หญิง งานสมบุกสมบันโยนให้เฮียเฉียวซึ่งเพิ่งจบโทวิศวะโยธาจากนอกมา ตอนแรกฉายอยากตามรอยพี่ชายที่เรียนโยธา แต่พ่อทั้งหวงทั้งห่วงลูกสาว กลัวว่าจะได้รับความลำบาก หารู้ไม่ว่าการเรียนวิศวะไฟฟ้า ซึ่งต้องเรียนแต่คณิตศาสตร์จนกระทั่งเรียนจบก็ยังหนีไม่พ้นคณิตศาสตร์อยู่ดี เป็นวิชาที่ตะวันฉายแทบกระอักเลือดออกมาในแต่ละครั้งที่สอบผ่าน เรียกได้ว่าบนกับหลวงพ่อทันใจจนเป็นขาประจำเลยก็ว่าได้ เธอไม่ใช่คนหัวไบรท์แบบหมี่ขาว ที่จะสามารถเรียนอะไรหรือทำอะไรได้พร้อมๆ กัน หมายถึงเรื่องที่ทั้งเรียนทั้งทำงานวิจัยน่ะนะ เรื่องพวกนั้นต้องยกให้คู่รักต่างดาวของกลุ่มแล้วล่ะ เพราะขนาดกัปตันที่เรียน ป.โท ยังคุยภาษาคนรู้เรื่องเลย แต่กับเก้าอี้และหมี่ขาว ตั้งแต่เรียนจบมานี้ ก็เริ่มพูดกับใครไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว คุยกันอยู่สองคนนั่นแหละ ไม่รู้ว่าคุยอะไรนักหนา แถมบางเรื่องตะวันฉายไม่เข้าใจแต่กลัวเพื่อนเข้าใจว่าเธอโง่(ซึ่งบางทีคนมันก็ไม่รู้จริงๆ) ก็ต้องแอบเสิร์ชกูเกิลดูว่าที่คู่รักสองคนนั้นพูดคือเรื่องอะไรกัน การอยู่ท่ามกลางคนฉลาดมักทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นหลุมดำ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะถ้ารวมกับสี่ยอดกุมารแล้ว ตะวันฉายยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร เพราะอย่างน้อยเธอก็เชี่ยวชาญหลายภาษา แม้จะไม่โปรมาก แต่ก็พอจะฟังหรือเอาคำด่ามาด่าเพื่อนได้ นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่คนเป็นติ่งเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เพราะตั้งแต่เริ่มเป็นติ่ง เธอก็เริ่มหาซื้อหนังสือสอนภาษาเกาหลีมาเรียนด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้เรียนเอาสาระอะไรมากหรอก ส่วนใหญ่เรียนและจำตัวอักษรเพื่อใช้อ่านเนื้อเพลงต่างหากล่ะ เวลาไปคอนฯ แล้วร้องเพลงของวงที่ติ่งไม่ได้ มันเหมือนเป็นความอัปยศเล็กๆ สำหรับเธอ จะให้ถั่วเขียวถั่วดำทั้งเพลงก็กระไรอยู่ น่าเสียดายที่วงที่ติ่งมาตั้งแต่มัธยม ตอนนี้เหล่าอปป้าทยอยเข้ากรมกันไปหมดแล้ว ไม่รู้พอออกจากกรมอีกปีสองปี พวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง อาการคิดถึงคนที่อยู่ในกรม ก็ไม่ต่างกับความรู้สึกที่แม่นาครอพี่มากหรอก คิดแล้วน้ำตาจะไหล ตะวันฉายก้มหน้าก้มตาส่องแท็กทวิตเตอร์ รู้สึกเซ็งเล็กน้อยที่ตอนนี้มีแต่คนปั่นแท็กวงน้องใหม่ ข่าวคราวในแท็กของวงที่เธอตามตอนนี้เริ่มซาลง เพราะหลังจากทัวร์คอนเสิร์ตอำลาเมื่อปีที่แล้ว อปป้าทั้งหลายก็เตรียมตัวมีงานเดี่ยว เพราะหลังจากที่สมาชิกในวงคนหนึ่งเข้ากรมไปแล้ว มันก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป การคัมแบ็กแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าจะคัมกันได้ง่ายๆ สุดท้ายวิถีติ่งก็คือนั่งส่องข่าวของเมนตัวเองและสมาชิกคนที่เหลืออย่างเหงาหงอย และสวดอ้อนวอนสวรรค์ให้มีแฟนมีต หรือไม่ก็ไปติ่งวงน้องใหม่ระหว่างรอ ไอดอลในวงการ K-Pop ค่อนข้างมีวงจรชีวิตที่สั้น ถ้าไม่ใช่วงที่ดังมากหรือศิลปินสามารถทำเพลงได้เองอย่างอิสระจริงๆ น้อยมากที่จะอยู่ในวงการได้เกินสิบปี โดยเฉพาะการที่สมาชิกในวงจะครบทุกคน ตะวันฉายอยู่ในวัฏจักรติ่งมาเกือบสิบปี ผ่านดราม่าเล็กใหญ่มาเกือบหมด ทั้งสถานการณ์ที่เกือบทำให้วงแตก การยุบวงอย่างกะทันหัน หรือแม้แต่ข่าวน่าเศร้าที่เกิดกับศิลปินที่เธอชอบ เธอมีวงในดวงใจเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีวงที่ตามจริงจังอยู่สองสามวง แต่วงรุ่นดึกดำบรรพ์ที่เธอตามนั้น อปป้าบางคนก็ออกกรมมาแล้ว บางคนก็เพิ่งเข้ากรม และบางคนเพิ่งก่อเรื่องจนเกิดคดีความใหญ่โต เฮงซวย! เวลาเกิดข่าวร้ายกับสมาชิกในวงที่เราชอบ ร้อยทั้งร้อยรู้สึกอินไปกับข่าวนั้นทันที ความสัมพันธ์ของติ่งกับไอดอลมีความพิเศษมาก ไม่เหมือนความสัมพันธ์แบบเพื่อน ไม่เหมือนความสัมพันธ์แบบคนรัก ไม่เหมือนความสัมพันธ์แบบครอบครัว มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นคนที่เราสนับสนุนประสบความสำเร็จในวงการ ความสัมพันธ์แบบศิลปินกับแฟนคลับ บางทีแฟนคลับก็รู้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้รู้ถึงการมีตัวตนของเรา แต่เราก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นการแสดงของวงที่เรารัก คล้ายกับการที่เธอตามเชียร์ทีมฟุตบอลนั่นแหละ ตอนจะติ่งเราอาจไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นติ่งไปแล้ว ส่วนจะเหนียวแน่นแค่ไหนนั้น บางอย่างนอกจากการวัดด้วยตัวเงินแล้ว มันก็คือความสนใจและความใส่ใจที่เรามีต่อไอดอลที่เราชอบ ยิ่งเมื่อตะวันฉายทำงานแล้ว หลังจากล้มเหลวในการคบผู้ชาย จึงรู้สึกว่าการเป็นติ่งนี่แหละคือสิ่งที่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้ อีกอย่าง...ตราบใดที่เธอยังมีเงิน เธอก็สามารถบ้าผู้ชายได้ไม่มีจำกัด แฟน...คู่นอน...สามี เฮงซวย! ผู้ชายมันก็เฮงซวยกันทั้งนั้น มีแต่เพื่อนเท่านั้นแหละที่จะไม่ทิ้งเธอไปไหน แม้ว่าบางครั้งพวกมันจะมีแฟนก็ตาม ตะวันฉายชำเลืองมองกลุ่มเพื่อนที่ยืนกะหนุงกะหนิงกันเป็นคู่ๆ ไหล่ลู่ลงเหมือนกับผักเหี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่โชคดีในชีวิตคู่ก็น่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ วิ่งโค้งสปิริต ลงดอย เปิดสายรหัส ตะวันฉายรอถ่ายคลิปตอนเด็กๆ วิ่งขึ้นดอยแล้วก็รีบลงดอยมาพร้อมกับทุกคนเพื่อเข้าไปในคณะ คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกให้รออยู่หน้าเหมือง ส่วนเธอเองหลังจากที่ถ่ายรูปคู่สายรหัสให้กับหมี่ขาวและเก้าอี้เสร็จก็ไปถ่ายกับสายรหัสของตัวเอง ปีนี้ได้น้องรหัสเป็นผู้ชาย แต่เธอไม่มีเวลาใส่ใจมากนัก หญิงสาวฝากเงินไว้กับน้องปีสี่ บอกว่าปีนี้ไม่ได้ไปกินเลี้ยงด้วย สาเหตุก็เพราะพ่อของเธอโทรมาบอกให้ไปโรงพยาบาลด่วน เพราะคุณยายอาการทรุดหนัก พอไปถึงโรงพยาบาลจึงเห็นว่าพ่อกับแม่นั่งรออยู่หน้าห้องไอซียู ตะวันฉายรีบจ้ำเท้าเข้าไปหา ใจสั่นหวิวเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น “แม่...ยายเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นแม่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็รีบโผมากอดพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น คำพูดฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ยายไม่ไหวแล้วฉาย อยู่ๆ ก็ไม่ได้สติ หมอกำลังเช็กอยู่ว่าเป็นเพราะอะไร” ตะวันฉายสบตากับพ่อซึ่งเป็นห่วงไม่แพ้กัน พลางลูบหลังแม่เบาๆ “ยายต้องไม่เป็นอะไรนะแม่ เฮียเฉียวไปไหน” แม้ว่าหัวตาจะร้อนผ่าว แต่เธอไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ เลยคิดเบี่ยงประเด็น “เฉียวคุมงานแทนพ่ออยู่ที่บริษัท” พ่อตอบ ส่วนแม่ยังสะอื้นไม่หยุด ตะวันฉายค่อยๆ ผละออกจากแม่ คิดจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้ แต่นึกได้ว่ายัดเยียดมันให้เมฆไปแล้วเลยค่อยๆ ใช้หลังมือช่วยแม่เช็ดน้ำตา “ถ้ายายรู้ว่าแม่ร้องไห้ ยายต้องดุแน่เลยค่ะ” เธอว่า ยายของเธอไม่ชอบให้คนในบ้านร้องไห้เวลาท่านป่วย ท่านถือว่าเป็นการแช่งกัน อีกทั้งยังเคยสั่งเสียไว้ตั้งแต่ต้นว่าถึงแม้ท่านตายก็ห้ามให้ใครมาทำหน้าเศร้าในงานศพ เพราะท่านว่าท่านทำบุญมาเยอะ ยังไงก็ไปสบายกว่าคนที่ยังอยู่ ถึงขั้นเตรียมเพลงที่จะใช้ในงานศพให้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่หัวใจของคนเป็นลูกหลาน ยังไงก็ไม่อยากทำใจ อีกอย่างเมื่อวานก่อนเธอออกบ้านยายยังเดินมาส่ง พออยู่ๆ ท่านอาการทรุดจึงรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี รอไม่นานนักคุณยายก็ถูกส่งตัวไปที่ห้องพิเศษ เฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากหมอยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ญาติที่มารอจึงถูกกันไว้ข้างนอก ตะวันฉายนั่งจับมือแม่โดยไม่พูดอะไร ดวงตามองแต่ประตูว่าเมื่อไรหมอจะออกมาสักที “ฉาย...จำที่ยายพูดได้มั้ยลูก” อยู่ๆ พ่อก็ถามขึ้น “เรื่องไหนคะ” “เรื่องที่ยายบอกว่าอยากเห็นฉายแต่งงาน” ตะวันฉายพูดไม่ออก จำต้องหลบตาคนเป็นพ่อเพราะไม่อยากเห็นแววตาซักไซ้ “ฉายยังไม่อยากแต่งงานค่ะ” “แต่ฉายรับปากแล้วว่าจะให้พ่อจับคู่ให้” ตอนนั้นเธอไม่ได้หวังว่ามันจะเร็วขนาดนี้ “ฉายยังไม่พร้อมค่ะพ่อ” “เมื่อวาน ตอนที่ฉายออกมา ยายเค้าถามพ่ออีกแล้วนะ” เธอเม้มริมฝีปาก รู้สึกเหมือนพ่อกำลังจะสร้างกรงขังให้เธออีกแล้ว ยายมักพูดเสมอว่าอยากเห็นหลานสาวสวมชุดเจ้าสาวและชุดเครื่องประดับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่เธอเพิ่งจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเอง สมัยนี้แล้วใครเขาอยากแต่งงานกันไวขนาดนี้ “แค่หมั้นก็ได้นะลูก” ในที่สุดแม่ก็พูดขึ้นมา พร้อมช่วยเกลี่ยไรผมให้ลูกสาว “กับใครคะ” “ลูกชายพ่อเลี้ยงขวัญ เจ้าของไร่ชาที่เชียงราย” พ่อเลี้ยงขวัญ? ผลประโยชน์อีกแล้วสินะ ตะวันฉายซ่อนสายตาไม่พอใจ แค่หมั้น...ถ้าแค่หมั้นคงไม่มีปัญหาอะไร “ฉายต้องทำยังไงบ้าง” “ไปเจอพี่เขาก่อนนะลูก อาทิตย์หน้าพ่อเลี้ยงขวัญบอกว่าจะให้ลูกชายมาหาหนูที่เชียงใหม่” “ค่ะ” เธอไม่อยากถามว่าเขาเป็นใคร ทำงานอะไร หรืออายุเท่าไร หญิงสาวมองหน้าพ่อสลับกับแม่ ถามเสียงเรียบ “ฉายจำเป็นต้องชอบและตกลงหมั้นกับเขาเลยมั้ยคะ” พ่อถอนหายใจแล้วรีบแก้ว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่อยากให้เราไปเจอกันก่อน” “เจอ? หมายถึงนัดบอดเหรอคะ” เธอถาม ถ้านัดบอดก็คงมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องผลประโยชน์กับอีกฝ่าย ตะวันฉายมั่นใจว่าเธอสามารถเจรจาแอบตกลงกับอีกฝ่ายได้ แค่หมั้น...หมั้นให้คุณยายสบายใจ แล้วหลังจากนั้นก็ทางใครทางมัน ส่วนถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจจริงๆ ค่อยคุยรายละเอียดทีหลังได้ “แค่เจอพี่เขาก่อน ลูกชายพ่อเลี้ยงขวัญหล่อมากเลยนะลูก” “พ่อเคยเจอแล้วเหรอคะ” คนเป็นพ่อเก้าศีรษะพลางหัวเราะเขิน มองที่แม่ของเธอแล้วพูดว่า “สมัยก่อนพ่อกับเขายกพวกตีกันก็เพราะแย่งแม่เรานี่แหละ มันบอกว่าลูกมันก็หน้าคล้ายๆ มัน ถามแม่ดูสิ” “อะไรนะคะ!” แม่ฟาดฝ่ามือไปที่พ่อทีหนึ่ง หลุดยิ้มออกมาบางๆ “บ้านนั้นเขาก็หน้าตาดีทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละลูก” “อะแฮ่ม” “แต่หล่อน้อยกว่าพ่อเรานิดนึง” มุมปากของตะวันฉายกระตุก ปรายตามองพ่อ “พ่อจะให้ฉายไปเจอลูกชายของศัตรูหัวใจเนี่ยนะ” “เอาน่า...หลังจากต่อยกันจนเกือบติดคุก พ่อกับเขาก็ซี้กันนับแต่นั้นมา เพียงแต่นานๆ พ่อเลี้ยงขวัญจะมาเชียงใหม่ที ส่วนพ่อค่อนข้างยุ่ง เลยไม่ค่อยได้เจอกันน่ะ” ตะวันฉายรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เธอมองไปที่ประตู ภาวนาให้คุณยายฟื้นขึ้นมาไวๆ “รอยายตื่นมาก่อนนะคะ ขอแค่ยายฟื้นขึ้นมา ให้ฉายทำอะไรก็ได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD