ตอนที่ 6 นัดบอด EP.2
ผู้ชายตัวสูงสวมแว่นกันแดดสีชา เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีขาวแดงกางเกงยีนขาดสีซีด
นี่มันคำจำกัดความของคู่ดูตัวหรือเด็กแว้นกันแน่
ตะวันฉายอ่านข้อความที่พ่อส่งไลน์มาให้ซ้ำอีกรอบ ตอนแรกเธอจะขอเบอร์ติดต่อของอีกฝ่ายโดยตรง แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเล่นตัวซะเหลือเกิน เล่นตัวจนเธออยากจะเทการนัดบอดครั้งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ถ้าไม่ติดว่าหลังจากที่พ่อพูดเรื่องนัดบอดก็เหมือนว่าคุณยายจะได้ยินที่เธอรับปาก ตอนเย็นของวันนั้นท่านฟื้นขึ้นมาพร้อมกับถามเธอเป็นคำแรกว่า “ฉายจะแต่งงานใช่ไหมลูก” พอตะวันฉายรับปาก ก็เหมือนว่าคุณยายจะดีใจจนขอคุณหมอออกจากโรงพยาบาลแทบจะทันที โชคดีที่คุณหมอไม่ยอมใจอ่อนเพราะต้องตรวจร่างกายให้ละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุของอาการหมดสติ ดังนั้นแล้วหลังจากที่พักดูอาการและตรวจสภาพร่างกายอย่างละเอียดราวสามสี่วัน ในที่สุดคุณยายก็ออกจากโรงพยาบาล พ่อของเธอไม่วายพูดเอาใจว่าตะวันฉายรับปากจะไปดูตัวกับลูกชายของเพื่อนท่าน เพียงเท่านั้นคุณยายก็ซักไม่หยุดว่าได้นัดวันหรือยัง พร้อมกับช่วยหาฤกษ์ดูตัวให้
ซึ่งเยอะไป สุดท้ายยายก็บอกว่าฤกษ์อะไรก็ไม่เท่าฤกษ์สะดวก วันนี้ตะวันฉายเลยต้องถ่อเข้ามาในเมืองเพื่อพบกับผู้ชายคนนั้นที่เพิ่งโดนพ่อเลี้ยงขวัญไล่ตะเพิดมาเชียงใหม่ด้วยความโมโห
“น้องฉายไม่ต้องเชื่อคำโกหกของลูกลุงนะ ตฤณมันยังไม่มีเมีย”
เพียงถ้อยคำกำชับของลุงขวัญ ตะวันฉายก็พอจะคาดเดาได้เลาๆ แล้วว่าลูกชายคงแสบไม่แพ้คนเป็นพ่อ ดูเหมือนว่าพี่ตฤณคนนั้นจะไม่อยากแต่งงานกับเธอเช่นกัน
ถึงแม้ว่าผู้ชายที่ทางบ้านเลือกให้จะคัดเบ้าดีๆ มาทั้งหมด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฝ่ายนั้นจะเต็มใจให้จับคู่เสียหน่อย
ยิ่งอีกฝ่ายไม่เต็มใจ งานของเธอยิ่งง่ายขึ้น
ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าเธอพาว่าที่คู่หมั้นไปเจอเมฆ มันคงสะใจดีไม่น้อย เพราะหลังจากเลิกกับเขาแล้วเธอไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตดีๆ ไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม
เพราะเธอใช้ชีวิตดีๆ ได้ เพียงแต่ไม่คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองต้องปวดใจอีกแล้ว
ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักตั้งแต่แรกแล้ว บางทีมันอาจช่วยให้เสียใจน้อยกว่าเมื่อหวนกลับมาคิดถึงมันตอนที่ต้องแยกทาง
ร้านที่พ่อกับพ่อเลี้ยงขวัญเลือกให้คือร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่อยู่ใจกลางเมือง มันน่าโมโหตรงที่ว่าถ้าเอามาเองต้องวนหาที่จอด เพราะเธอไม่คิดจะจอดรถริมถนนให้ชาวบ้านเฉี่ยวเล่นแล้วก็ด่าไปถึงบุพการีเพราะว่ากีดขวางการจราจรแน่ๆ อากาศช่วงปลายฝนต้นหนาวเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น พอวันไหนฝนไม่ตกก็ร้อนจนผิวแทบไหม้ วันนี้เธอออกจากออฟฟิศก่อนเวลาเพราะเป็นวันศุกร์ กลัวว่าถ้าออกช้ากว่านี้อาจรถติดยาวจนพ่อกลัวว่าเธอจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับฝ่ายตรงข้ามได้
เธอสังเกตเห็นรถสปอร์ตสีน้ำเงินราคาแพงสัญชาติเยอรมันรุ่นหนึ่งจอดอยู่ในที่จอดรถวีไอพีของร้าน มองปราดเดียวก็จำได้ทันที เพราะก่อนหน้านี้พ่อเลี้ยงขวัญกลัวว่าลูกชายตัวดีจะชิ่งหนีไปเสียก่อนจึงถ่ายทั้งรถและป้ายทะเบียนพร้อมสรรพ พอคิดถึงว่าอีกฝ่ายแต่งตัวไม่ต่างกับเด็กแว้นก็ต้องคิดใหม่อีกรอบ
บางทีอาจเป็นแว้นที่อัปเกรดแล้ว เลิกขับมอเตอร์ไซค์หันมาเล่นรถหรูแทน
แต่ให้ตายเถอะ ขับรถหรูเข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่เนี่ย ไม่กลัวโดนเฉี่ยวจนต้องเรียกประกันหรือยังไง ถนนแคบก็แคบ แถมบางคนยังไม่มีวินัยในการจราจร ไม่ต่างกับวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าไปในสนามรบเลยแม้แต่น้อย
เดินเพียงแค่ห้านาทีเหงื่อก็เริ่มซึมไปกับเสื้อเชิ้ตที่เธอสวม วันนี้ตะวันฉายเข้าออฟฟิศ เธอจึงแต่งชุดทะมัดทะแมงเข้าว่า เสื้อเชิ้ตสีโอลด์โรสกับกางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบอาจดูไม่ค่อยเข้ากันนัก แต่นี่มันสะดวกที่สุดแล้วเพราะก่อนหน้านี้เธอต้องเข้าไซต์งานกับพี่ชาย กว่าจะได้ออกมาก็เกือบเที่ยง ทั้งยังต้องเข้าไปส่งเอกสารที่ออฟฟิศอีก นึกเสียใจหน่อยๆ ที่ลืมเอาเสื้อมาเปลี่ยนอีกตัว คิดไม่ถึงว่าเหงื่อจะออกเยอะประหนึ่งคนวิ่งออกกำลังกายมา
หญิงสาวจับประตูร้านกาแฟ ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาสะท้อนใบหน้าของตัวเอง
ลืมแต่งหน้า!
ถ้าเป็นตอนเรียนเธออาจไม่คิดมาก แต่พอเรียนจบมาแล้วถึงได้รู้ว่าบางครั้งเฟิร์สอิมเพรสชั่นก็ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นเยอะ แต่เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือเธอก็ล้มเลิกความตั้งใจ ปลอบใจตัวเองว่าหน้าสดไม่ได้แย่นักหรอก
หญิงสาวถอดแว่นกันแดด มองหาผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน แต่ในร้านซึ่งค่อนข้างกว้างและแบ่งพื้นที่ให้เป็นเหมือนมุมส่วนตัว ทำให้ต้องเดินวนหาอยู่หลายรอบเพราะลูกค้าในร้านคนเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติและคนจีน แต่ไม่มีใครที่เข้าแก็ปที่พ่อบอกมาเลย
ผู้ชายไทยหน้าตาดี ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีขาว กางเกงยีนขาดสีซีด แว่นกันแดดสีชา
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
ตะวันฉายเดินชนคนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมาจนต้องรีบขอโทษโดยอัตโนมัติ
“ขอโทษครับผมไม่ทันดู” ผู้ชายคนนั้นรีบถอยออกไปแล้วขอโทษแทบจะทันที
ตะวันฉายเช็กสภาพตัวเองแล้วเงยหน้ามองเขาเพราะคุ้นกับเสียงและกลิ่นตัวของอีกฝ่ายไม่น้อย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอตัวแข็งเหมือนคนโดนสาป
ผู้ชายตัวสูงสวมแว่นกันแดดสีชา เสื้อเชิ้ตสายสก๊อตสีขาว แดงกางเกงยีนขาดสีซีด
สูง...ใช่ เขาสูง
แว่นตา เสื้อลายสก๊อต กางเกงยีนขาด ใช่...นั่นเขา
“นาย!”
อีกฝ่ายชะงักไปเหมือนไม่คิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่ นิ้วเรียวถอดแว่นกันแดดสีชาออกมาเหมือนว่าจะมองหน้าเธอให้ชัดขึ้นอีกนิด ดวงตาคมกวาดขึ้นลง หรี่ลงแล้วเบิกกว้าง ก่อนที่มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มขบขันในที่สุด
“หึ...คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก” เขาพูดพึมพำกับตัวเองแล้วหันหลังกลับไป
“เดี๋ยว!” ตะวันฉายร้องเรียก มุมปากกระตุกไม่หยุดเพราะรู้สึกว่ามันตลกร้ายเกินไปแล้ว
“มีอะไรครับคุณหนู”
“ตฤณ” เธอพูดเสียงหลง ความทรงจำตอนเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม Spirit-X ผุดวาบเข้ามา
เขาชื่อจริงว่าตฤณภพ!
“ลูกชายพ่อเลี้ยงขวัญเหรอ”
อีกฝ่ายหันซ้ายหันขวา รีบเอามืออุดปากตะวันฉายแทบจะทันทีแล้วลากเธอเข้ามุมลับตาคน ถามเสียงร้อนรน “นี่เป็นเธอเหรอ หนูซันไชน์ของพ่อฉันน่ะ”
ตะวันฉายหน้าร้อนวาบ พ่อของเธอบอกพ่อเลี้ยงขวัญว่าลูกชื่อซันไชน์เหรอ เธอรีบกลืนความอับอายลงท้องแล้วดันฝ่ามือของต่อออกพร้อมกับถามกลับเสียงห้วน
“ทำไม คนสมัยนี้ก็มีชื่อในวงการกันหมดนั่นแหละ ให้ตายสิถ้ารู้แต่แรกคงไม่มาหรอก”
ต่อเท้าแขนเข้ากับผนัง กักตัวเธอเข้ากับมุมกลายๆ เขาหลุบตามองใบหน้าแดงเรื่อ รวมถึงสังเกตเห็นเสื้อเชิ้ตที่มีเหงื่อซึมของตะวันฉายแล้วยิ้มยียวน
“กลัวหรือไงถ้ารู้ว่าเป็นฉันน่ะ”
“ถ้ารู้ว่าเป็นนายฉันคงไม่รีบถ่อมาเจอหรอก” คนที่ลอยไปลอยมาไม่เป็นหลักแหล่งอย่างเขา ใครจะคิดว่าเป็นถึงลูกชายของพ่อเลี้ยงคนดังแห่งเมืองเชียงรายล่ะ ร้อยทั้งร้อยก็มองแค่ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวทั้งนั้น มิน่าล่ะพ่อเธอถึงชอบลูกชายของเพื่อนที่ชื่อตฤณเป็นพิเศษ
ผู้ใหญ่มักชอบผู้ชายที่มีความคิดสร้างเนื้อสร้างตัวมากกว่าคนที่มีพื้นฐานทางบ้านดีอย่างเดียว
เขาเบ้ปากพร้อมกับกระตุกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าเหมือนเห็นด้วยกับที่เธอพูด “ก็จริงนะ ถ้าเป็นเธอฉันคงไม่ลงทุนพาผู้หญิงมาเล่นละครหรอก” สายตาคมกริบกวาดมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ของมันเคยๆ น่ะนะ”
แววตาไม่ยี่หระของเธอเปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของเขา มือเรียวตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเขากลับเร็วกว่า เพราะดูเหมือนก่อนที่จะพูดแบบนี้...ต่อ เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน
“จุ๊ๆ เธอตบฉันจูบนะ” เขาพยักพเยิดไปที่กล้องวงจรปิดในร้าน “อยากเล่นหนังสดโชว์มั้ยล่ะ?”
ตะวันฉายพยายามดึงมือออกจากพันธนาการ ทว่าต่อกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูเธออย่างใจเย็น “แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าหวังว่าฉันจะยอมหมั้นง่ายๆ ล่ะ” ตะวันฉายมองตามสายตาของเขาไปยังมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งมีผู้หญิงสวยจัดคนหนึ่งนั่งรออยู่ “เพราะฉันพาผู้หญิงคนนั้นไปเจอพ่อกับแม่มาแล้ว”
แต่คนอย่างตะวันฉายจะตกหลุมพรางง่ายๆ ได้ยังไง เธอแค่นเสียงขึ้นจมูก กลีบปากอิ่มหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“มิน่าล่ะ ลุงขวัญถึงรบเร้าให้พ่อกับแม่นัดบอดให้เรา แต่...แล้วไงล่ะ ฉันชอบการคลุมถุงชนแบบนี้นะ ที่จริงแต่งงานกับลูกชายพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้แย่นักหรอก”
“ผู้หญิงบ้า เธอคิดว่าเรื่องแต่งงานมันง่ายขนาดนั้นหรือไง”
พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มร้อนรนตะวันฉายก็ยิ่งจับจุดอ่อนของเขาได้ง่ายขึ้น ไม่อยากแต่งงานสินะ
“ทำไมล่ะ ฉันชอบนะ สินสอดไม่น้อยด้วย ถ้าหย่ากันขึ้นมา ถึงฉันไม่ต้องเกาะพ่อกินก็คงพอให้ใช้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ”
ปฏิกิริยาของต่อยิ่งทำให้เธอรู้สึกสนุกมากยิ่งขึ้น มาถูกจุดแล้วสินะ
“เธอไม่อยากได้ล็อกเกตคืนหรือไง” เขาว่า พยายามใช้ชุดอ่อนมาขู่เธอ
แต่ขอโทษเถอะ ตอนนี้เธอถือไพ่เหนือกว่า เพราะขอแค่ตะวันฉายตกลง พ่อเลี้ยงขวัญพร้อมพาคนที่บ้านมาสู่ขอเธอแทบจะทันที “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะบอกที่บ้านว่า...ว่าที่ลูกเขยยึดไปเป็นของแทนใจ เห้อ...เมื่อยจัง ไปนั่งกันดีกว่าไหมคะ พี่ตฤณ”