แม้เหล่าบัณฑิตจะมาเรียนโดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ทว่าในห้องเรียนก็ยังอยู่ในความเรียบร้อย เฉิงอ๋องทอดฝีเท้าเดินไปมาในระหว่างห้องเรียนพลางเอื้อนเอ่ยตามจังหวะก้าวย่าง น้ำเสียงทุ้มนุ่มลอยเข้ามากระทบโสตประสาทเป็นเอกลักษณ์ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกถึงแรงดึงดูด ทั้งอบอุ่นและละมุนละไมสุภาพอ่อนโยน
เฉิงอ๋อง กวาดสายตามอง เหล่าลูกศิษย์เยาว์วัยใบหน้าระบายปลาบปลื้มเต็มดวงหน้าแล้วยังแฝงเปี่ยมด้วยพลัง
ทว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง แม้จะเพียงชั่ววูบชายหนุ่มก็รู้สึกว่า แววตาของจางซูอินผู้นั้นแฝงด้วยความรู้สึกคนึงหาลึกซึ้งทว่าเพียงชั่ววูบกลับนิ่งจนไร้ความรู้สึก
จางซูอินไม่รับรู้ว่า อากัปกิริยาของตนมีผู้อื่นจับจ้องไม่วางตา
หลังจากเลิกเรียนนางก็รีบกลับเรือน ส่วนบัณฑิตคนอื่น ๆ ล้วนพากันขอคำชี้แนะจากเฉิงอ๋อง ล้วนเป็นการแสดงความกระตือรือร้นยิ่งนัก
เมื่อเดินกลับมาถึงหน้าเรือน เสียงจอแจข้างในทำให้หญิงสาวหยุดนิ่งก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป
“น้องสามเจ้ากลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างวันนี้เรียนหนักหรือไม่”
จางเจินเดินมารับสัมภาระของน้องสาวอย่างไม่ขัดเขิน ซูอินยิ้มให้พี่สาวอย่างอ่อนโยนกำลังจะเอ่ยถาม สวีซื่อได้ยินเสียงว่าบุตรสาวกลับมาก็เดินออกมาจากเรือนกล่าวขึ้นเสียก่อน
“ซูเอ๋อร์เจ้าดูสิ วันนี้พ่อของเจ้าไปได้รวบรวมคนมาช่วยกันทำห้องให้เจ้า แล้วไปตามแม่กับพี่สาวเจ้าว่าวันนี้ไม่ต้องขายขนมให้เอามาเลี้ยงทุกคนแทน”
คนมาช่วยก่อสร้างห้องล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่ละแวกเรือนเคียง
ซูอินหันกายไปทำเคารพและกล่าวขอบคุณหลายประโยค
“มิลำบาก ๆ หากมีงานอีกเรียกพวกข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
การมาช่วยก่อสร้างครั้งนี้ พวกเขาต่างได้รับค่าจ้างย่อมมาด้วยความยินดีเต็มใจ
พอนั่งลงจางเจินก็ยกหม้อชามา
“วันนี้ข้ากับท่านแม่ได้ไปจัดการซื้อเครื่องเรือนมาเพิ่ม พอสอบถามเถ้าแก่ก็แนะนำว่า บัณฑิตเวลาทบทวนตำราจะต้องมีน้ำชาดี ให้ดื่มเพื่อให้รู้สึกปลอดโปร่งจดจำได้ดียิ่งขึ้น เจ้าลองทาชิมดูสิชาชนิดนี้ดีหรือไม่ หรือพวกข้าจะโดนเขาหลอก”
ซูอินเริ่มรู้สึกจนใจกับการเอาอกเอาใจของคนในครอบครัว เรื่องชา นางเป็นผู้จัดเตรียมเองน่าจะดีกว่า ในระหว่างกำลังจิบชา พี่สาวก็จ้องมองกะพริบตาปริบ ๆ
“เป็นชาที่ดียิ่งเจ้าค่ะ หลังจากดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก”
จางเจินหันไปยิ้มกับมารดาด้วยความรู้สึกโล่งอก
“ดีจริง ๆ ค่ะ ท่านแม่”
มีเพียงเท่านี้ที่พวกนางสามารถทำให้ซูอินได้เลยรู้สึกยินดีเมื่อประสบความสำเร็จ
ซูอินชำเลืองตามองไปยังห้องส่วนตัวของตนเองที่กำลังก่อสร้าง จางเจินก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ต้องกังวล เพียง 1-2 วันก็เสร็จเรียบร้อย คืนนี้ข้าจะย้ายไปนอนกับท่านแม่ ส่วนท่านพ่อจะย้ายไปนอนกับพี่ใหญ่ เจ้าจะได้ทบทวนตำราอย่างสะดวก”
ซูอินรีบกล่าวทันที
“ไม่ใช่พี่รองกล่าวว่าเพียง 1-2 วันก็จะเรียบร้อยแล้ว ไยต้องย้ายห้องให้วุ่นวายเล่า”
เมื่อซูอินกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่มีใครขัดอีก
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำแสงระเรือระบายที่ขอบฟ้า การก่อสร้างก็ต้องหยุดไว้ก่อน
“จางอั่น พวกข้ากลับก่อนพรุ่งนี้จะรีบมาแต่เช้าตรู่”
“ขอบคุณ ๆ เดินดี ๆ”
วันนี้จางอั่นอารมณ์เบิกบานยิ่งนัก ทั้งมีเงินทั้งมีหน้ามีตา เจอผู้ใดเขาล้วนได้รับการยกย่องว่าอบรมสั่งสอนบุตรได้ดี มีความรู้ความสามารถทั้งกตัญญูบิดามารดา ตระกูลจางรุ่งเรื่องในยุคของเขาโดยแท้
หลังจากส่งทุกคนกลับบ้านจางอั่นก็เดินเข้ามา
“พรุ่งนี้เครื่องเรือนที่สั่งเอาไว้ จะมาส่งแล้ว”
“ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ” จางซุนพึ่งจะล้างมือเสร็จก็เดินเข้ามาร่วมวง
“ซูอิน เจ้ารู้ไหมเงิน 100 ตำลึงนั่น ขนาดซื้อของมากมายยังเหลืออีกตั้ง 70 ตำลึงเซียว”
สวีซื่อรีบตบไปที่หลังบุตรชายดังปัง
ขึงตามองรอบหนึ่งแล้วหันมายิ้มเอ่ยกับซูอิน
“ซูเอ๋อร์ แม้จะไม่ได้ใช้หมดทั้ง 100 ตำลึง ทว่าแม่ได้สอบถามเถ้าแก่แล้วว่ามีอะไรจำเป็นบ้างสำหรับบัณฑิตที่ต้องเตรียมตัวสอบ แม่บอกให้จัดมาทั้งหมดเลย”
ซูอินยิ้มบาง ๆ หากจะซื้อเครื่องเรือนที่ล้ำค่า เงิน 100 ตำลึงจะเพียงพอได้อย่างไร
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ ข้าเองก็ไม่เคยใช้สอยเงินซื้อของเหล่านี้ ย่อมไม่รู้ราคา จึงเอ่ยบอกให้ท่านพ่อใช้ทั้งหมด หากท่านแม่มองว่าเหมาะสมแล้วย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
เห็นบุตรสาวไม่คัดค้านและถามถึงเงินส่วนที่เหลือสวีซื่อก็รู้สึกว่าบุตรสาวของนางรู้ความยิ่งนัก ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู
เมื่อปรายตามองดูคนในครอบครัวทุกสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซูอินก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อชาติที่แล้วนางไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้เลย
ไม่รู้ว่าตอนที่ครอบครัวสวี่ได้รับเงินพระราชทานจากฮ่องเต้ 1000 ตำลึงจะเป็นเช่นไรนะ
จวนเสนาบดีเสิ่น
ทุกคนล้วนมีแผนให้กับตัวเอง
จางซูอินที่อยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดเสิ่นอินก็เช่นเดียวกัน นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดล้วนต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครอง
หรือสำหรับนางตอนนี้ต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครอง เท่านั้น!
ณ เรือนฮูหยินเอก
“ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวหน้าห้องนายท่านแจ้งมาว่า คุณหนูเจ็ดขอพบนายท่านเจ้าค่ะ”
บ่าวคนสนิทเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“นางจะขอพบท่านพ่อด้วยเรื่องอันใด”
คุณหนูสามเสิ่นจือที่กำลังนั่งซบอกมารดา
เอ่ยตามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ปล่อยนางไปเถอะ เด็กที่ไร้ความสามารถจะมีเรื่องอันใด มาเล่าให้แม่ฟังสิ ว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
พอนึกถึง เรียวคิ้วคมนัยน์ตาพราวผสมใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเฉิงซื1อฝู ก็ทำให้้าของหญิงสาวก็ะมีเรื่องอันใด เจ้ามาเล่าให้แม่ฟังดีกว่าว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง"ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าฮูหยินยังไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหนูสาม บ่าวก็ถอยออกไปสืบเรื่องราวต่ออย่างรู้ความ
ในขณะเดียวกัน
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสิ่นซ่านปรายตามองบุตรีเสิ่นอินด้วยความรู้สึกลอบถอนใจ ในงานเลี้ยงบุบฝาของของตระกูลหวังเขาถูกพบขณะนอนเปลือยกายอยู่กับบ่าวรับใช้ในจวนนั่นก็คือมารดาของนาง กลเล่ห์เช่นนี้ผู้ใดก็ต้องมองทะลุปรุโปร่ง กลายเป็นขำขันที่สหายเอ่ยหยอกล้อเขาอยู่เสมอ ทำให้หลายปีที่ผ่านมาเขาจึงเย็นชากับบุตรสาวคนนี้พอสมควร
เสิ่นอินเมื่อได้รับอนุญาตเข้ามาก็คุกเข่าทำความเคารพด้วยกริยาอ่อนหวาน ความงดงามของนางล้วนได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา
ทำให้เสิ่นซ่านรู้สึกขุนเคืองขึ้นมา
“มีสิ่งใดต้องการเจ้าควรปรึกษาท่านแม่ของเจ้า หรือเจ้าไม่รู้กฎของตระกูล”
ท่านแม่ที่เสิ่นซ่านหงเอ่ยถึงคือเกาฮูหยิน เพื่อให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง บุตรชายบุตรสาวของตระกูลต้องเอ่ยเรียกฮูหยินเอกว่าท่านแม่ทุกคน
เสิ่นอินได้ฟังแล้วพลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง ใบหน้าเครียดขรึมของบิดาทำนางเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น โชคดีที่นางได้เตรียมคำตอบคำถามนี้ไว้แล้ว
“ลูกขอประทานอภัยท่านพ่อ สิ่งใดท่านแม่ล้วนจัดสรรให้ลูกไม่เคยขาดเขิน ทำให้ลูกไม่เคยได้เอ่ยขอสิ่งใด จึงทำให้เข้าใจได้มารบกวนท่านพ่อ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เสิ่นอินกล่าวพร้อมกับประสานสายตากับบิดา
ดวงตางดงามกระจ่างสุกใสบริสุทธิ์กำลังจ้องมอง ทำให้หัวใจของเสิ่นซ่านหงอ่อนโยนลง ขณะที่เสิ่นอินกำลังลุกขึ้นจะเดินออกไปจึงยกมือแล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อมาแล้วก็เอ่ยมาให้เรียบร้อย จะให้พ่อบ้านไปจัดการ”
ดวงตาของเสิ่นอินเป็นประกายวาวขึ้น นางรีบเอ่ยทันที
“เรียนท่านพ่อ ลูกได้เห็นพี่สาวพี่ชายแต่งกายด้วยชุดของสำนักศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถผู้ใดพบเห็นล้วนทอดสายตาชื่นชม ลูกรู้สึกละอายใจยิ่งนักที่เมื่อก่อนตัวเองเกียจคร้าน จึงอยากตั้งใจเริ่มเล่าเรียนฝึกฝนใหม่คราวแรกตั้งใจจะขอร่วมเรียนกับพี่สาม ทว่าตอนนี้พี่สามเก่งกาจเตรียมสอบซิ่วไฉแล้ว ลูกกังวลจะทำให้การเรียนของพี่สามเสียหายกอปรกับอีก 3 วันข้างหน้าสำนักศึกษาจะรับสมัครผู้เข้าเรียนใหม่ลูกจึงมาขออนุญาตท่านพ่อเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของเสิ่นอินสดใสไพเราะก้องกังวาน ทำให้เสิ่นซ่านหงรู้สึกว่าบุตรสาวมีความจริงใจด้วยประโยคล้วนเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ต่างกับเสิ่นอินที่รู้สึกหนักอกหนักใจเมื่อก่อนตอนอยู่ตระกูลจางนางไม่เคยต้องเตรียมคำพูดฉอเลาะเช่นนี้เลย
“เจ้ารู้เกณฑ์ของการรับนักเรียนของสำนึกศึกษาใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามของเสิ่นซ่านหง เสิ่นอินก็มั่นใจหลายส่วนว่าตนเองจะได้รับอนุญาตแล้ว
“ทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ หลังเรียน 14 วัน ข้าจะสอบผ่านเข้าเรียนด้วยตนเองไม่ให้ท่านพ่อได้เสียค่าเล่าเรียนเจ้าค่ะ”
คำพูดของเสิ่นอินทำให้เสิ่นซ่านหงมองเป็นเพียงคำพูดโอ้อวดที่ไร้ประสบการณ์เท่านั้น ทว่าเขากลับชอบบุตรสาวที่มีความมุ่งมั่น
“หากเจ้าทำได้จริง ค่าเล่าเรียนในทุกปีข้าจะมอบให้เจ้า ไปได้แล้ว ไปเตรียมให้สมกับที่เจ้าโอ้อวด”
เสิ่นอินกล่าวขอบคุณบิดา นางออกมาจากห้องหนังสือด้วยใบหน้าลิงโลดท่าทางดั่งเด็กไร้เดียงสา เสิ่นเถียนก็ไม่ถือสาหาความ อย่างไรนางก็อายุเพียง 12 ขวบเท่านั้น