รุ่งอรุณเมื่อฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง ซูอินเดินทางไปยังร้านขายภาพวาดและเครื่องเขียนพร้อมบิดาและพี่ชาย ทั้งสามไปถึงร้านก็มีหลงจู๊ ออกมาตอบรับ
“อ่ะ คุณหนูจางซูอิน ท่านนั่นเอง ท่านรอสักครู่ข้าจะไปตามเถ้าแก่ประเดี๋ยวนี้”
จางอั่นเมื่อเห็นว่าบุตรสาวที่เป็นที่รู้จักของร้านก็แอบยืดอกขึ้น รอเพียงครู่เดียว เถ้าแก่จูก็ออกมา
“ผู้น้อยคารวะเถ้าแก่” ซูอินทำความเคารพผู้อาวุโสอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“คุณหนูจางตามสบาย วันนี้ท่านได้นำภาพวาดมาด้วยหรือไม่”
เมื่อครั้งก่อนภาพวาดของคุณหนูจาง เขาได้รับซื้อขายต่อได้กำไรจำนวนมาก และคนผู้นั้นยังสั่งเอาไว้ว่าหากมีเพิ่มเขารับทั้งหมด ทำให้เถ้าแก่จูได้สั่งเด็กในร้านเอาไว้ หากคุณหนูจางมาให้เรียกตนเอง
“นำมาเจ้าค่ะ” ซูอินรับภาพมาจากบิดาแล้วยื่นไปให้เถ้าแก่จู คราวแรกเถ้าแก่จูไม่คิดจะคลี่ภาพดูตั้งใจจะตีราคาให้มากกว่าเดิมสักเล็กน้อยเท่านั้น แต่พลันสบตาของซูอินที่คล้ายคาดคั้นอยู่ในที เมื่อใคร่ครวญแม่นางน้อยมากับคนในครอบครัวคงอยากให้เขาเอ่ยชมเชย เช่นนั้นก็เปิดดูสักหน่อยกล่าวสักประโยคย่อมไม่ใช่เรื่องลำบาก
ทว่า เมื่อเริ่มคลี่ภาพออก
ภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าทำให้เถ้าแก่ตกตะลึง
ล้ำค่า! ล้ำค่า! ยิ่งนัก
เถ้าแก่พลันหันมาจ้องมองซูอิน นางเพียงยิ้มบางแล้วเอ่ยพูดขึ้น
“เมื่อวานได้รับการชี้แนะจากซื่อฝูทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้น ภาพเมื่อครั้งก่อนทำให้ข้าขายหน้าท่านแล้ว”
เถ้าแก่จูกำลังจะเอ่ยถามว่าผู้ใดเป็นคนวาด เมื่อได้คำตอบยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกกว่าเดิม พลันพอสังเกตดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าเป็นฝีมือคนเดียวกับภาพวาดครั้งก่อน แต่ฝีมือความละเอียดแตกต่างกันมาก ต่างมาก
ไม่จริงกระมัง ได้รับคำแนะนำ เพียง 1 วัน
เช่นนี้เป็นอัจฉริยะบุคคลแล้ว
มิน่าเล่าคนผู้นั้นจึงสั่งจองทั้งหมด เสียแรงที่เปิดร้านมาหลายปีกลับมองไม่เห็นฝีมือที่ซ่อนเอาไว้ เขาช่างมีตาหามีแววไม่
เมื่อเห็นเถ้าแก่เงียบไปสีหน้ามีประกายหดหู่ จางอั่นและจางซุนก็เริ่มหวาดหวั่นกลัวภาพวาดจะขายไม่ได้ ขายไม่ได้ไม่เป็นไรแต่กลัวบุตรสาวเสียใจกำลังจะเอ่ยปลอบใจ พอเหลือบมองไปเห็นใบหน้าบุตรสาวยังประดับด้วยรอยยิ้ม จึงได้หยุดวาจาไว้ก่อน
“คุณหนูจาง ภาพวาดนี้ท่านจะขายเท่าไร”
ภาพวาดเหล่านี้อย่างไรก็ต้องซื้อเอาไว้ เถ้าแก่คิดคำนวณใจ หากคุณหนูจางตั้งราคาไว้สูงในร้านมีอาจจะมีไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็ทำสัญญาซื้อขายเอาไว้ก่อน
“รบกวนเถ้าแก่แล้ว ภาพเหล่านี้ข้าขอราคาสูงเล็กน้อย ภาพละ 20 ตำลึงเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของซูอินกล่าวเรียบ ๆ คล้ายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
แต่ทว่ากลับทำให้
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนตกตะลึง
แต่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกัน
จางอั่นรีบกระตุกแขนเสื้อบุตรสาว อยากกระซิบบอกว่าแพงไปหรือไม่
ส่วนเถ้าแก่ตกตะลึงไม่คิดว่า แม่นางน้อยจะขายราคาถูกเช่นนี้ จึงรีบเอ่ยขึ้น กลัวนางจะเปลี่ยนใจ
“ยินดี ยินดี ได้แน่นอน คุณหนูนำมาทั้งหมด 5 ภาพใช่หรือไม่ เช่นนั้นรอสักครู่” เถ้าแก่วิ่งเข้าไปข้างในแล้วรีบเดินออกมา
“เงินจำนวน 100 ตำลึง คุณหนูเชิญท่านตรวจนับก่อน”
ซูอินรับถุงเงินมาแล้วส่งต่อให้บิดาทันที
“เถ้าแก่เป็นคนซื่อตรง ไม่จำเป็นต้องตรวจนับ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซูอินยังต้องรีบเข้าเรียนและนางไม่อยากจะเอ่ยอะไรกับเถ้าแก่ต่อหน้าบิดาเท่าไรนัก
“เชิญ เชิญ คุณหนูจางหากท่านมีภาพวาดอีก...”
ซูอินรีบเอ่ยตัด
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าต้องนำมาขายให้ร้านท่านแน่นอน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
ครั้งเห็นว่าซูอินไม่อยากเอ่ย เถ้าแก่ก็รู้ความจึงหยุดกล่าววาจาที่ต้องการออกไปทันที กล่าวขอบคุณทุกคนอย่างน้ำเสียงกันเอง
เมื่อเดินออกมาจากร้าน ซูอินก็หันไปคุยกับบิดา
“ท่านพ่อ ข้าต้องไปเรียนแล้ว เงินจำนวนนี้รบกวนท่านนำไปใช้ทั้งหมดในการต่อเติมห้องให้ข้า”
มือของจางอั่นที่กำลังถือถุงเงินยังสั่นอยู่
ในใจเต็มไปด้วยความตื้นตันเขาช่างมีบุตรที่ประเสริฐเช่นนี้
เขายิ้มมองบุตรสาว ความสุขอัดแน่นจุกอกจนพูดไม่ออก
เมื่อเห็นบิดาไม่ตอบ
จางซุนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแป้น จึงเอ่ยแทน
“ซูอิน พี่ชายจะทำห้องให้เจ้าอย่างดีที่สุด”
“ขอบคุณพี่ชาย ข้าขอตัวก่อน ประเดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย”
“น้องสาวเดินดี ๆ” น้ำเสียงของจางซุนเต็มไปด้วยเอาอกเอาใจ
เมื่อผลัดออกมา ซูอินยังได้ยินเสียง พ่อลูกคุยกันแว่ว ๆ
“ท่านพ่อข้าขอจับหน่อย เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นเงิน 100 ตำลึงเลย”
“หยุดนะ เอามือของเจ้าออกไป”
“ท่านพ่อข้าแค่ขอจับเท่านั้น”
ซูอินจึงหยุดฝีเท้าหันมองคนทั้งสอง ท่าทางเดินยืดอกแปลก ๆ ของทั้งคู่ทำให้นางก็อดขำไม่ได้
สำนักศึกษา
ซูอินเมื่อเข้าไปยังห้องเรียน เห็นองค์หญิงต้าเหยามารออยู่ก่อนแล้ว นางจึงรีบตรงไปทำความเคารพทักทาย
“บรรยากาศในสำนักศึกษาครื้นเครงยิ่งนักเพคะ”
องค์หญิงต้าเหยามองซูอินด้วยดวงตากระจ่างใสแฝงความซุกซน
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่อันเล่อที่อยู่บนก้อนเมฆยังมาร่วมชั้นเรียน”
องค์หญิงต้าเหยาเอ่ยแต่ไม่เบนสายตามองไปยังอีกฝ่าย คล้ายกำลังคุยเรื่องทั่วไป ไม่ให้ผู้กำลังถูกกล่าวถึงรู้ตัว
“อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดีเพคะ”
ซูอินยิ้มบาง ๆ ไม่เพียงแต่องค์หญิงต้าอันเล่อที่เข้าเรียน เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ล้วนมารวมตัวกันที่นี่ คงเป็นเพราะคนผู้นั้นกระมัง
ทว่ามีผู้หนึ่งที่ทำให้หญิงสาวอดประหลาดใจไม่ได้
องค์หญิงต้าเหยาเหลือบเห็นสหายขมวดคิ้วกำลังจ้องมองผู้หนึ่ง จึงเอ่ยอธิบายขึ้น น้ำเสียงเฉกเป็นผู้รู้มากกว่า
“คุณชายรองจากตระกูลหวัง เจ้าอย่าคิดเชียวว่าเขาหักกระบี่มาจับพู่กัน เฉิงอ๋องคือเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่เขานับถือเทิดทูน วันนี้คงอยากมาใกล้ชิดอีกฝ่าย เจ้าไม่รู้อะไรวันที่แม่ทัพหวังได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนท่านอ๋อง บุตรชายคนนี้ถึงกลับไม่พอใจ เขียนฎีการ้องเรียนให้ท่านอ๋องกลับมารับตำแหน่งแม่ทัพ ข้าหวังว่าเขาคงไม่ใช่พวกตัดแขนเสื้อหรอกนะ”
องค์หญิงต้าเหยายิ่งพูดคล้ายยิ่งสนุกปาก ซูอินเห็นว่าวาจาขององค์หญิงเริ่มเลอะเลือนจึงเอ่ยเตือนขึ้น
“องค์หญิง ท่านช่างรู้มากจริง เช่นนั้นเรื่องออกแบบอาภรณ์เรียบร้อยดีแล้วใช่หรือไม่”
พอเอ่ยถึงเรื่องการออกแบบดวงตาของหญิงประกายวาวขึ้นกว่าเดิม
“แน่นอนอยู่แล้ว พอข้ากลับไปถึงตำหนักก็ลองเริ่มออกแบบ เสด็จแม่เข้ามาเจอข้าตกใจแทบแย่กลัวโดนตำหนิ แต่เรื่องราวไม่เลวร้ายอย่างที่ข้าคิด เสด็จแม่ทรงสนับสนุนและยังช่วยข้าออกมาแบบด้วย ข้าเพียงเล่าว่าจะเปิดร้านขายผ้ากับสหาย ทว่าเรื่องยืมเงินพระบิดาข้ายังไม่ได้เอ่ย”
ซูอินยิ้มมุมปากบาง ๆ องค์หญิงยังมีความคิดอยู่บ้าง
“พระสนมลู่ผินได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสตรีมากความสามารถ หากได้รับการแนะนำจากพระองค์ย่อมทำให้การออกแบบออกมายอดเยี่ยมแน่นอน”
“แน่นอน แน่นอน หากเจ้าได้เห็นอาภรณ์ที่เสด็จแม่ออกแบบเจ้าจะต้องตกตะลึง ความงดงามของมันทำให้ตอนนี้เรื่องการสอบซิ่วไฉ ข้าเลิกกังวลแล้ว”
“องค์หญิงเป็นผู้มีวาสนา เรื่องการเปิดร้านผ้าของเราย่อมไร้อุปสรรคแน่นอนเพคะ”
แววตาของซูอินเปิดเผยและจริงใจ องค์หญิงต้าเหยาจึงพยักหน้ายิ้มแย้มอย่างปรีดานางมีวาสนาจริง ๆ ที่มีสหายเช่นนี้