สตรีทั้งสองแม้จะพูดคุยกันเสียงแผ่วเบา ทว่าสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์เช่น เฉิงอ๋องย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำแจ่มแจ้ง
“ยืมเงินฮ่องเต้และแอบใช้ผลประโยชน์ความสามารถของพระสนม การออกมานอกจวนครั้งนี้ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเสียจริง”
น้ำเสียงของเฉิงอ๋องมิใช่เชิงตำหนิ ทว่ากลับแฝงความเอ็นดูอยู่หลายส่วน เหตุเพราะจังหวะถ้อยคำคล้ายคนผู้หนึ่งอย่างประหลาด คุ้นเคยจนกระทั่งเขาสามารถจินตนาการถึงท่วงท่าใบหน้าในการเอื้อนเอ่ยได้ด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนซูซูก็สดใสร่าเริงเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมันอีกเลยตั้งแต่นางเริ่มเข้าวัง
จงถังยืนก้มหน้าต่ำภายในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นแทนแม่นางน้อย สตรีวัยเยาว์ช่างมีความกล้าหาญเหลือเกิน
“คนในวังมาแจ้งว่า หากท่านอ๋องสอนเสร็จแล้วให้เข้าไปพบฝ่าบาทขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หากยังรั้งอยู่ต่อก็คล้ายต้องการแอบฟังสตรีพูดคุยกัน ช่างไร้ยางอายไม่ใช่วิสัยของบุรุษ
ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนี้รีบถอนตัวออกไป แก้ตัวให้ตนเองว่าเขาหาใช่ต้องการแอบฟัง เป็นเพราะสตรีกลุ่มนั้นพูดจาเลอะเลือนไม่ถูกที่ถูกทางต่างหาก
ตำหนักคุนหยวนชิง
เมื่อมาถึงประตูวังก็มีผู้มารอรับเฉิงอ๋องอยู่แล้ว จากนั้นก็นำทางจนไปถึงตำหนักคุนหยวนชิง
ข้างหน้าตำหนักเป็นระเบียงทอดยาวตกแต่งงดงาม เฉิงอ๋องหยุดยืนนิ่งชำเลืองมองบรรยากาศโดยรอบ
นานมาแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่
เมื่อไปถึงขันทีหน้าห้องก็เชิญเขาเข้าไปทันที
“ฝ่าบาทบอกไว้ หากท่านอ๋องมาถึงก็ให้เข้าไปเลยขอรับ”
เมื่อเข้าไปในห้องเห็นฮ่องเต้กำลังนั่งอ่านฎีกา ข้างกายมีขันทีรับใช้อยู่ผู้หนึ่ง เฉิงอ๋องรีบคุกเข่าทำความเคารพอย่างเต็มพิธีการ
“หลานขอถวายพระพรฝ่าบาท”
ต้าหยวนชิง เงยหน้าขึ้นมาสายตาที่ทอดมองหลานชายเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นและเมตตา
“อี้หยางในเมื่อมาแล้วก็มาเดินหมากกับข้าสักกระดานเถอะ”
เฉิงอ๋องพลันลุกขึ้นเดินตามฮ๋องเต้ไปนั่งโต๊ะน้ำชาอย่างว่าง่าย
หลังจากที่เพ่งมองดูสักพักต้าหยวนชิงก็ตัดสินใจวางหมากในมือลง
“ในเมื่อไปเป็นซื่อฝูในสำนักศึกษา เจ้าคงได้เจอเหยาเอ๋อร์ กระมัง”
เฉิงอ๋องหลุบตาต่ำลงมา บ่นพึมพำในใจสวรรค์ต้องการให้เขาเกี่ยวข้องกับญาติผู้นี้กระมัง
“เจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉิงอ๋องครุ่นคิดในใจอีกรอบ ก่อนจะตอบออกไป
“เป็นผู้ซื่อตรงผู้หนึ่ง”
คำตอบของเฉิงอ๋องถือว่าตรงใจของต้าหยวนชิง
“ฮืม...ตอนนี้นางใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว ในฐานะบิดาข้าก็อยากให้นางตบแต่งกับบุรุษที่ดี ทว่าหากนางออกเรือนอยู่ตระกูลสูงศักดิ์เกรงว่าจะหาความสงบสุขนั้นยากยิ่ง”
“ท่านลุงจึงอนุญาตให้นางออกไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษา”
ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็หวังจะอาศัยเจ้าช่วยมองหาบุรุษที่ดีให้สักคน ฐานะชาติตระกูลไม่จำเป็น”
สิ่งเหล่านั้นท่านสามารถมอบให้ภายหลังกระมัง
ภายในใจเฉิงอ๋องไม่ได้เอ่ยออกไป ใบหน้ามีเพียงความนิ่งเฉย ภายในกลับลอบยกปากยิ้ม
“ข้าไม่อาจจะรับปากท่านลุง แต่จะลองมองหาดู”
ภายในแววตาฮ่องเต้เกิดประกายความประหลาดใจขึ้น เหลือเชื่อว่าหลานคนนี้จะยินยอมโดยง่าย เมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องการฮ่องเต้ก็ไม่เอ่ยเรื่องอื่นต่อให้ความสนใจกับหมากกระดานตรงหน้าแทน
หลังจากออกมาจากตำหนักคุนหยวนชิง
เฉิงอ๋องคลี่พัดโบกเบา ๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
เรื่องเป็นแม่สื่อหาคู่ในธิดาของฮ่องเต้นั่น เขาใคร่ว่าจะพอใจนัก ทว่าไม่รู้เหตุอันใดหลุดปากตบปากรับคำ อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใดฮ่องเต้ล้วนทรงอนุญาต ครั้งนี้ตอบรับคำไปเพราะต้องการตอบแทนพระคุณ กระมัง
ส่วนซูอินหลังจากส่งเสด็จองค์หญิงต้าเหยาขึ้นรถม้าแล้ว ก็รีบกลับเรือน เมื่อไปถึงพบว่ายังไม่มีผู้ใดกลับมา ในขณะที่กำลังยกฟืนขึ้นมาเตรียมก่อไฟก็พลันคิดได้ว่า ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยจะได้ไม่น่าสงสัย
หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากหน้าเตาแล้วเดินกลับเข้าไปในเรือนหยิบอุปกรณ์วาดภาพออกมานอกเรือนแทน
สักครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงพูดคุยหน้าเรือน
เสียงประตูเก่าดังแอ๊ดขึ้น ซูอินหันมองไปก็มองเห็นทั้งสามหอบข้าวของใบหน้ายิ้มแย้มสดใส
สวีซื่อพอเห็นบุตรสาวคนเล็กนั่งรออยู่ ในใจรู้สึกผิดจึงรีบเอ่ยขึ้น
“เจ้าคงหิวแล้วกระมัง วันนี้แม่พาพี่ของเจ้าไปหาซื้อเสื้อผ้าเลยกลับมาช้า รอประเดี๋ยวแม่จะรีบต้มข้าวเดี๋ยวนี้”
เมื่อพอมีเงินสวีซื่อก็อยากให้บุตรชายและบุตรสาวแต่งกายดีหน่อย เผื่อเป็นที่ต้องตาของแม่สื่อและตระกูลดี ๆ
“ท่านแม่ข้าจะทำเอง ท่านพักผ่อนเถอะ”
จางเจินเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปในครัวแทน ซูอินไม่ได้กระตือรือร้นห้ามปราม เพียงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ข้าพึ่งกลับมาจากหอซูซู ท้องยังอิ่มอยู่เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปได้ไปทานอาหารที่หอซูซูอีกแล้วหรือ” จางซุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอิจฉา
“วันนี้องค์หญิงต้าเหยาต้องการคำชี้แนะจากข้าเรื่องสอบซิ่วไฉ”
สวีซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกายเอ่ยถามขึ้น
“สอบซิ่วไฉ ปีนี้เจ้าจะเข้าสอบด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ และซื่อฝูยังบอกว่า ด้วยความสามารถของข้า ขอแค่ไม่เกียจคร้านย่อมสอบผ่านแน่นอน”
ซูอินกล้ากล่าวแอบอ้างเพราะนางมั่นใจว่าตนเองต้องสอบผ่านแน่นอน
“จริงหรือ บ้านจางเราจะมีคนสอบผ่านซิ่วไฉหรือนี่”
“จริงเจ้าค่ะท่านแม่”
ซูอินลุกขึ้นออกจากภาพวาดแล้วมานั่งข้างกายสวีซื่อ แล้วเอ่ยขึ้น
“เช่นนี้ท่านแม่ ข้าจึงต้องมีเรื่องรบกวนท่าน”
“เรื่องใด เจ้าพูดมาได้เลย” หากสามารถเอาใจบุตรที่กำลังจะสอบผ่านซิ่วไฉได้นางยินดีทำ
ซูอินยิ้มพลางยกมือชี้นิ้วออกไป
“ตรงลานที่ว่างตรงนั้น ข้าอยากจะสร้างห้องส่วนตัว” เดิมซูอินพักรวมห้องกับจางเจิน แม้จะไม่ลำบากทว่ามีหลายอย่างที่นางไม่สะดวกกระทำต่อหน้าพี่สาว
ใบหน้าสวีซื่อที่แช่มชื่นเปลี่ยนสีขึ้น นางจะเอาเงินที่ไหนเล่า
ซูอินย่อมรู้ถึงความกังวลของมารดา นางรีบเอ่ยต่อ
“วันนี้ข้าได้คำชี้แนะจากซื่อฝูมาเรื่องการวาดภาพ หลังได้ทดลองทำตามก็ได้ผลยิ่งนัก ภาพที่ข้าวาดวันนี้คาดว่าจะได้ราคามากกว่าเดิม”
จางซุนตกตะลึงยิ่งนัก น้องสาวไปเรียนแค่วันเดียวฝีมือก็พัฒนาขึ้นแล้วยังหาเงินได้มากกว่าพวกเขาทั้ง 3 คนอีก
หวนคิดเมื่อครั้งอดีตที่บิดาส่งเขาไปเรียน ความทรงจำนั้นพู่กันหนักยิ่งกว่ามีดผ่าฟืน เขาร่ำให้ขอบิดาว่าไม่ขอกลับไปเรียนอีก มีเพียงน้องสาวที่ยังตั้งใจใฝ่เรียน โชคดีที่ครอบครัวยังมีผู้รู้จักคิด ความรุ่งโรจน์ของตระกูลอยู่ตรงหน้าแล้ว จางซุนจึงรีบเอ่ยเอาใจน้องสาวทันที
“น้องสามเก่งยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าและท่านพ่อจะสร้างห้องให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” ซูอินเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ แล้วหันไปพูดกับมารดาต่อ
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ทั้งเงินและตำแหน่งซิ่วไฉข้าจะนำมาให้ท่าน”
จางเจินแม้จะอยู่ในครัวก็ได้ยินเรื่องราวชัดเจน หลังจากต้มน้ำกรอกข้าวเสร็จ ก็รีบเดินออกมา
เห็นมารดาที่กำลังผลิยิ้มมองน้องสาวด้วยสายตาปลาบปลื้ม
ก็เอ่ยขัดขึ้น
“ท่านแม่ท่านช่วยข้าดูแลหม้อข้าวด้วย ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ข้าจะรีบไปซักผ้าก่อน”
พูดเสร็จจางเจินเดินเข้าไปในห้องแล้วเดินออกมาพร้อมตะกร้าเสื้อผ้า เมื่อซูอินมองไปก็ชี้มือพร้อมเอ่ยปากขึ้น
“พี่รอง เสื้อผ้าชุดนั้น”
จางเจินก้มหน้าลงเอ่ยปากขึ้นอย่างขัดเขิน
“เสื้อผ้าน้องสาม ข้าจะนำไปซักให้เอง เจ้าต้องเตรียมตัวสอบ
....ซิ่วไฉเจ้าสอบต้องให้ได้นะ”
พูดเสร็จนางก็รีบถือตะกร้าหนีออกไป
สวีซื่อก็หัวเราะขึ้นอย่างขบขันกับท่าทีของบุตรสาว
“เจ้าดูนางสิ”
บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยความสุขจากเสียงหัวเราะของคนในครอบครัว จางเจินทำเช่นนี้ซูอินย่อมเข้าใจได้ คู่ครองของบุตรที่ยังไม่ออกเรือนย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญหากนางสามารถสอบผ่านซิ่วไฉ การหมั้นหมายย่อมสามารถเลือกครอบครัวที่ดีได้อีกหลายขั้น
ในขณะที่ในบ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยความผาสุข
นอกเรือนข้างกำแพงปรากฏแม่นางน้อยผู้หนึ่งกำลังยืนกำมือแน่น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
“คุณหนูเจ็ด ท่านเป็นอะไรไปเจ้าค่ะ”
เสียงบ่าวที่อยู่ข้างกายเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่มีอะไร ข้าวิ่งรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”
น้ำเสียงของเด็กสาวยังสั่นเครือ
“เช่นนั้นเรากลับเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำแล้ว”
ชิงชิงเอ่ยเตือนคุณหนูของตนเอง วันนี้คุณหนูออกมาข้างนอกทั้งวันอาจจะทำให้ฮูหยินไม่พอใจได้
“ฮืม”
เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยรับ
แล้วหันฝีเท้าออกไปขึ้นรถม้ากลับจวนตระกูลเสิ่น เมื่อขึ้นมายังรถม้าม่านปิดลง ความอดอั้นทั้งหมดก็ทะลายลงน้ำตาหยดลงฝ่ามืออย่างห้ามไม่อยู่
น้ำเสียงเอาอกเอาใจของพี่ใหญ่ พี่รองยังก้องอยู่ในหู แม้เมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยเอ่ยวาจาน้ำเสียงตำหนิ แต่ก็ไม่เคยเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเสนาะหูเช่นนี้
ตอนแรกที่เห็นว่าตนเองยังมีชีวิต ก็คาดการณ์ว่าผู้ที่อยู่ในร่างของตนจะต้องเป็นคุณหนูเจ็ดเสิ่นอินแน่นอน ทว่าหลังได้ยินว่านางมีความรู้ความสามารถ เช่นนั้นวิญญาณที่อยู่ในร่างตนเองย่อมไม่ใช่เสิ่นอินไร้ค่าผู้นี้แน่นอน เรื่องที่จะทางคืนร่างเดิมย่อมลำบากแล้ว
“คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงชิงชิง เสิ่นอินก็รีบดึงสติสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดม่านเดินลงจากรถม้าแล้วปรี่ตรงกลับเข้าเรือนตนเอง
แต่ไหนแต่ไร คุณหนูเจ็ดผู้เกิดจากอนุคนงามของท่านเสิ่น ก็มีพฤติกรรมก้มหน้าก้มตา ทำให้เหล่าบ่าวไพรต่างคุ้นชินไม่ใส่ใจกับท่าทางเช่นนั้น
พอถึงเรือนนางก็ไล่บ่าวไพร่ออกไป ปิดประตูลงก็มานั่งใช้ความคิด
วันแรกที่นางฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างของบุตรสาวขุนนางใหญ่ เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับเพียบพร้อมมีบ่าวไว้ใช้สอย ช่างเป็นชีวิตที่นางใฝ่ฝันถึง
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่นานความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางตอนที่อยู่ตระกูลจางแม้จะขัดสนแทบทุกอย่าง แต่นางก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ไม่มีคนชักสีหน้าดูถูกกลับกันผู้คนชาวบ้านในละแวกต่างมีสีหน้าชื่นชมนางอยู่เสมอ
ต่างจากตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรนางล้วนแต่ต้องคอยดูสีหน้าทุกคนแม้กระทั่งบ่าวคนสนิทของคุณหนูใหญ่ ฮูหยิน นางก็ยังต้องให้ความเคารพ
เห็นครอบครัวจางกำลังต้มข้าวทำอาหาร พอบิดากลับมาพวกเขาก็คงล้อมวงทานข้าวกันอย่างสุขสันต์ ต่างจากนางตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เคยแม้กระทั่งทานข้าวกับบิดาเลย ยิ่งคิดขอบตาของจางซูอินก็เริ่มแดงขึ้น หยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หนทางต่อจากนี้นางคงต้องสร้างฐานะในจวนแล้วต้องพึ่งพาตนเอง โชคดีที่ยังมีความรู้ติดตัวมาบ้าง พรุ่งนี้นางค่อยดำเนินการตามแผนใหม่ วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน