“เซียวกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีประกาศ
จางชิงหลินกัดฟันแน่น “ให้นางเข้ามา” จางชิงหลินกัดฟันตอบเสียงต่ำ แววตากล้าแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางจะไม่มีวันอ่อนแอให้เซียวลี่อินเห็น
เซียวลี่อินเยื้องย่างเข้ามา กวาดตามองอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพซีดเซียวของสตรีที่เป็นใหญ่ในหกตำหนักแต่อีกไม่ช้าจะต้อยต่ำกว่านาง
“ฮองเฮาเพคะ วันนี้หม่อมฉันมาทูลให้ฮองเฮาทรงทราบว่าฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงทำหนังสือหย่าและมอบหนังสือถอดถอนให้หม่อมฉันถือมาให้ฮองเฮาแล้วเพคะ”
จางชิงหลินรับมาแล้วปาทิ้งกับพื้น
“เราไปทำอะไรให้เจ้า หรือว่าเจ้าอยากนั่งบัลลังก์หงส์นี้มากจนทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ”
เซียวลี่อินมองหนังสือหย่าที่ตกกระทบพื้นแล้วยิ้มมุมปาก “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันอยากได้บัลลังก์หงส์ของฮองเฮา หม่อมฉันอยากได้ตำหนักนี้ อยากเป็นใหญ่เหนือสตรีทุกนาง หม่อมฉันอยากอยู่ในจุดที่ฮองเฮาเคยอยู่” นางหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนดวงตาวาวโรจน์ขึ้นแล้วเปลี่ยนสรรพนาม “ตั้งแต่เกิดคุณหนูก็ได้เสพสุขมามากพอแล้วก็ควรสละได้เสียที ข้าลำบากมาตั้งแต่วัยเยาว์ ต้องคอยรับใช้คุณหนูไม่เว้นแต่ละวัน ตอนนี้ข้าจะได้เสพสุขบ้างเสียที” จากนั้นเซียวลี่อินก็ปล่อยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจ
“เจ้ามันชั่วช้า เลี้ยงไม่เชื่อง”
“เพคะ”
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
เซียวลี่อินยิ้มมุมปาก ก่อนตวาดเสียงดัง “เจ้านั่นแหละ...ที่ต้องออกไป ฝ่าบาทปลดเจ้าออกตำแหน่งฮองเฮาแล้ว เจ้ายังกล้าวางท่าเป็นนายทั้งหกตำหนักนี้อีกเหรอ”
จางชิงหลินแข็งใจลุกขึ้น แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม ศักดิ์ศรีในตัวนางที่มีตอนนี้ถูกนางรีดเค้นมาใช้ทุกหยาดหยด
“เซียวลี่อิน ถึงแม้ข้าตายไป ข้าก็จะไม่มีวันละเว้นเจ้าจำเอาไว้”
“ฮองเฮาทรงคิดว่าจะได้กลับมาวังหลวงแห่งนี้อีกหรือเพคะ โชคดีเท่าไรแล้วที่ฮองเฮาไม่ถูกประหารตามครอบครัวไปด้วยแต่แค่ถูกขับออกจากวังหลวงไปเป็นสามัญชน ถ้าหม่อมฉันไม่เห็นแก่ที่เคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน หม่อมฉันจะไม่มีวันให้ฮองเฮาออกไปจากที่นี่อย่างมีลมหายใจ” เซียวลี่อินพูดน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
จางชิงหลินรักษาสีหน้าสงบเยือกเย็นไว้ได้ แม้ภายในร่างกายจะปั่นป่วนจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา นางเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพราะต้องการรักษาชีวิตน้อยๆนี้ไว้
“หม่อมฉันส่งเสด็จแค่นี้นะเพคะ”
จางชิงหลินไม่มองเซียวลี่อินอีก ก็เดินออกมาจากตำหนัก นางสวมชุดสีขาวราบเรียบอยู่แล้วจึงไม่ต้องเปลี่ยนชุดอีก ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยรีบเก็บข้าวของตามออกมา เพราะถูกขับออกจากวังตามผู้เป็นนายออกมาด้วย
ร่างกายบอบบางดั่งกิ่งหลิวฝืนลมหนาวเดินออกมาด้วยฝีเท้ามั่นคง นางจำภาพเหตุการณ์เมื่อปีก่อนที่เดินเข้ารับตำแหน่งฮองเฮาได้ดี วันนั้นมีผู้คนมากมายคุกเข่าหมอบคลานตรงหน้า แต่วันนี้ที่นางเดินผ่าน ทุกคนมองนางด้วยสายตาดูแคลน
สองวันที่นางนอนป่วย เหตุการณ์พลิกผันแปรเปลี่ยนมากมาย นางผิดเองที่คิดว่าความจงรักภักดีของนางจะซื้อใจบุรุษผู้นั้นได้
สายลมหนาวพัดผ่านผิวกายแต่ไม่หนาวเท่ากับได้รู้ว่าภักดีกับคนผิดจนไม่ทันระแวงทำให้ครอบครัวต้องพินาศ ชีวิตตัวเองก็แทบรักษาไว้ไม่ได้
รั้วกำแพงสีแดงที่ตั้งตระหง่านแห่งนี้ ถ้าใครไม่โหดเหี้ยมพอก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ความจงรักภักดีมีไว้กับผู้มีคุณธรรมไม่ใช่ทรราช นางมีตาแต่หามีแววไม่ ต้องโทษตัวเองแล้วจริงๆ
ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจึน ปี2018
หลินหลินสะดุ้งตื่น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เมื่อครู่เธอฝันร้ายใช่ไหมฝันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริงอย่างไรไม่รู้ เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจเหมือนถูกมือใครมาบีบรัด ฉินซือเฉิงปลดฮองเฮาจางชิงหลินอย่างโหดร้ายแล้วสั่งประหารคนในตระกูล
“อาการหนักแล้ว ฝันเป็นตุเป็นตะ ฝันถึงใครก็ไม่รู้ แต่ทำไม...” หลินหลินยกมือมาวางลงบนอกด้านซ้าย “เจ็บ”
เจ็บปวดใดก็ไม่เท่ากับเจ็บปวดจากการถูกสามีกับเมียน้อยร่วมมือกันหักหลัง เรื่องแบบนี้ใครไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเรื่องในความฝันเป็นเรื่องของเธอที่เจอมากับตัวกันนะ
หลินหลินสาวลูกครึ่งไทย-จีนอายุยี่สิบห้าปี อยู่ในวัยเบญจเพศ พักอาศัยอยู่ในคอนโดในเมืองปักกิ่ง เธอกำลังนั่งแก้ไขบทละครอยู่ที่โต๊ะทำงาน หลังจากที่นักแสดงสาวคนดังยังไม่พอใจกับบทที่เธอเขียนขึ้นมา
ละครเรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างมหาศาลแล้วยังได้บริษัทที่เก่งด้านCG (การสร้างภาพเสมือนจริงคอมพิวเตอร์ด้วยกราฟฟิก)ฝีมือระดับเทพมาร่วมงาน หากเขียนบทดีๆ จะต้องดังอย่างแน่นอนโดยเฉพาะถ้าได้ดาราขั้วแม่เหล็กอย่างหลิวโจวซิ่นมาร่วมแสดง
ในเวลานี้ที่ช่องโทรทัศน์ต่างแข่งขันเรื่องเรตติ้งกันสูงมากทำให้หลินหลิน ต้องทำการบ้านหนักกว่าเดิม แน่นอนหากละครออนแอร์แล้วได้รับความนิยม เรตติ้งดีทั้งปีหลินหลิน คงจะคิวแน่นแต่หากเรตติ้งตกหัวคะมำเธอคงว่างงานกลายเป็นนักเขียนบทไส้แห้งไปอีกนาน
หลินหลินมีอาชีพเป็นนักเขียนบทที่ผันตัวเองมาจากการเขียนบทความท่องเที่ยวเธอได้รับโอกาสให้เขียนบทร่วมก่อนฝีมือจะเข้าตาผู้จัดละครจากนั้นจึงมีงานเข้ามาเรื่อย งานที่เธอรับผิดชอบอยูในเวลานี้คือการเขียนบทให้กับค่ายละครแห่งหนึ่ง ชื่อเรื่อง ‘ตำนานรักนางจิ้งจอกเก้าหาง’ เมื่อเธอส่งบทให้กับผู้กำกับและทีมงานอ่าน ทุกคนต่างพอใจ ทว่ามีอยู่คนเดียวที่ไม่พอใจคือนักแสดงนำของเรื่องหลิวโจวซิ่น
ว่ากันว่าบทคือหัวใจของการสร้างละคร เมื่อนักแสดงคนดังไม่พอใจกับบทก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้คนเขียนบทปวดหัว แน่นอนหากเป็นนักแสดงหน้าใหม่ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องบทให้คนเขียนบทหนักใจ แต่สำหรับนักแสดงขั้วแม่เหล็กแล้ว การเลือกบท เปลี่ยนบท แม้แต่เทคนเขียนบทพวกเขาเหล่านั้นก็ทำได้
‘หลิวโจวซิ่น’ นางเอกซุปตาร์ชื่อดังส่ายหน้า กดยิ้มที่มุมปาก “มีฝีมือเขียนได้แค่นี้เองหรือ ฉันว่ายังไม่ใช่” อีกฝ่ายโยนบทคืนให้เธอนำมาเขียนใหม่ หลินหลินงงจัดในเมื่อก่อนเขียนเธอลงมือหาข้อมูลมาแล้ว ตำนานรักจิ้งจอกเก้าหางเป็นนิทานปรัมปราจะหาความจริงได้จากไหน แต่เธอก็พยายามเก็บรวบรวมข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดก่อนจะเขียนบทออกมา
“คุณหลิวรู้ความจริงหรือคะว่าเป็นยังไงถ้าคุณคิดว่าฉันเขียนบทขึ้นมามั่วๆ โดยไร้ความจริง แล้วความจริงจากนิทานปรัมปราเป็นยังไง” เธอถามแม่นักแสดงเจ้าปัญหา เพราะไม่มีใครเคยโยนบทใส่หน้าเธออย่างนี้มาก่อน
“ใช่ ฉันรู้” หลิวโจวซิ่นกอดอกบอก “รู้ลึก รู้จริง แล้วเธออยากรู้ไหมล่ะ”
“งั้นคุณก็บอกฉันมาว่าเรื่องราวที่คุณรู้มาเป็นยังไง ถ้ามีความเป็นไปได้ฉันจะนำมาปรับในบทให้คุณ”
หลิวโจวซิ่นยิ้ม “นั่นเป็นงานของเธอ เธอเป็นคนเขียนบทเธอต้องไปตามหามันเอง”