3

1269 Words
“ฮองเฮาจะไปไหนเพคะ” เซียวลี่อินผละจากอ้อมกอดโอรสสวรรค์แล้วร้องเรียก “หม่อมฉันกับฝ่าบาทยังไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์งดงามนี้เลย ดูสิเพคะเวลาฮองเฮายืนตากหิมะเป็นภาพที่งดงามจนหม่อมฉันไม่อาจเบือนสายตาไปมองสิ่งอื่น” “ชิงหลินเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ยืนอยู่ที่เดิมถ้าไม่มีคำสั่งเราห้ามไปไหนเด็ดขาด” “แต่ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาทรงหนาวมากแล้วนะเพคะ” ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยรวบรวมความกล้าหาญเข้าไปทูล พวกนางมองเห็นฮองเฮายืนกอดอกตัวสั่นระริก มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก กลีบดอกไม้ที่แสนบอบบางเพียงนั้นจะต้านทานสายลมหนาวได้อย่างไร “ใครใช้ให้พวกเจ้าเสนอหน้ามาพูดกับข้า นางบ่าวชั้นต่ำ ทหารอยู่ที่ไหน จับตัวนางกำนัลสองคนนี้ไปประหาร” จางชิงหลินได้ยินชัดเจนก็รีบโผไปห้าม “อย่าทำร้ายคนของหม่อมฉัน จะให้หม่อมฉันยืนอยู่ทั้งคืนก็ได้แต่อย่าทำร้ายพวกนาง” เซียวลี่อินยิ้มเยาะ เพราะจางชิงหลินใจอ่อนแบบนี้ถึงได้มีจุดจบแบบนี้ นางคงไม่รู้ว่าพรุ่งนี้นางจะไม่เหลือแม้แต่คนในครอบครัวอีกแล้ว “ฝ่าบาทเพคะแค่สั่งโบยก็พอ อย่าให้เรื่องของนางกำนัลไร้ค่ามาทำให้หมดความสำราญเลยเพคะ” “ทำตามที่เซียวกุ้ยเฟยสั่ง ทหารนำตัวนางกำนัลสองคนนี้ไปโบยคนละยี่สิบไม้” ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยถูกผ้ายัดปาก ลากตัวออกไปแล้ว จางชิงหลินมองตามด้วยความโกรธแค้นที่พระสวามีของนางกับอดีตนางกำนัลของนางช่างใจร้าย เลือดเย็นยิ่งนัก นางกำมือแน่น กลับไปยืนนิ่งที่เดิมด้วยท่าทางมั่นคง เชิดหน้าขึ้นอย่างนางพญา เซียวลี่อินมองด้วยความโมโห อีกฝ่ายยังเชิดหน้าชูคอใส่นางอย่างท้าทาย แต่เอาเถอะ อีกแค่วันเดียวเท่านั้น ฮองเฮาผู้เคยมีทุกอย่างก็จะตกจากบัลลังก์หงส์กลายเป็นแค่เศษธุลีดินภายในวันพรุ่งนี้แล้ว วันต่อมา ภายในตำหนักเฉียนชิง ฉินซือเฉิงเป็นจักรพรรดิที่อยู่ในช่วงบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ความสงบจากการต่อสู้กับชนเผ่าต่างๆ กระนั้นบ้านเมืองก็ยังไม่รุ่งเรือง เฟื่องฟูมากนักเพราะฉินซือเฉิงไม่ได้คิดทำการสิ่งใดเพิ่มเติม จักรพรรดิที่ได้มาเพราะโชคช่วยใช้ระบบการปกครองแบบมีมุขมนตรี คือมีเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงร่วมบริหาร และด้วยความที่เป็นองค์ชายนอกสายตาที่จู่ๆได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเพราะองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยโรคฝีดาษทำให้ไร้ฐานอำนาจ พระองค์เบื่อการออกว่าราชการที่เหล่าขุนนางวันๆ หาแต่เรื่องปวดหัว ความเดือดร้อนของราษฏรมารายงาน “วันๆมีแต่เรื่อง ข้าไม่คิดเลยว่าชีวิตฮ่องเต้จะน่าเบื่อสิ้นดี” ฉินซือเฉิงมองบันทึกลับในกล่องไม้จันทร์แดงงดงามเลอค่าปกของสมุดราวจะทำด้วยทองคำแต่สัมผัสดูจึงรู้ว่าเป็นผ้าไหมซึ่งถักทอด้วยฝีมือของ ‘ฮองเฮาหนิงซูเยว่’ ฮองเฮาในองค์ ‘จักรพรรดิหยางจื่อ’ บันทึกเล่มนี้เป็นบันทึกที่ฮ่องเต้แต่ละพระองค์จะเขียนเรื่องราวในยุคของตนลงไปสมทบต่อๆ กัน ฉินซือเฉิงหยิบขึ้นมาพลิกดูผ่านๆ “หนาขนาดนี้ ข้าไม่มีเวลาอ่านหรอกเอาไปเก็บไว้ตามเดิม” ฉินซือเฉิงสะบัดชายแขนเสื้อพลิ้วไหวจะยื่นให้คังกงกงนำไปเก็บที่เดิม ทว่าพระเนตรแวววาวขึ้นเมื่อเห็นร่างกำยำของฉินจิ้นเหอเดินเข้ามา ฉินจิ้นเหอค้อมกายกำยำเพื่อทำความเคารพ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” ฉินซือเฉิงกลับโยนบันทึกลับให้ฉินจิ้นเหอ “น้องเก้าเจ้ามันหนอนตำราเอาบันทึกลับไปอ่าน แล้วมารายงานให้ข้าฟัง” ‘เอาเวลาอ่านบันทึกของอดีตฮ่องเต้ สู้เอาเวลาไปหาเหล่าสนมในวังหลัง สำราญกว่าตั้งเยอะ’ ฉินซือเฉิงคิดในใจ ฉินจิ้นเหอมองบันทึกลับที่ส่งต่อกันระหว่างฮ่องเต้ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาเคยเห็นพระราชบิดาซึ่งเป็นอดีตฮ่องเต้อ่านแล้วจดบันทึกเรื่องราวสำคัญในยุคสมัยของพระองค์ลงไป เพราะเคยทำหน้าที่ฝนหมึกให้ในห้องทรงพระอักษร “บันทึกลับของฮ่องเต้ กระหม่อมไม่อาจเปิดอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ บันทึกนี้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้” ฉินซือเฉิงเบนสายตามองฉินจิ้นเหอ “มีแต่พวกน่ารำคาญ เจ้าไม่รู้หรือว่าเป็นฮ่องเต้เหนื่อยแค่ไหน ข้าไม่อยากเปิดอ่าน เจ้ารับเอาไปทำตามคำสั่งข้าเถอะ” ฉินซือเฉิงบอกปัดอย่างรำคาญ ขณะที่ฉินจิ้นเหอก้มหน้าซ่อนสายตาดูแคลนจักรพรรดิที่แสนโง่เง่าคนนี้ เมื่อฮ่องเต้อ่อนแอ ราชบัลลังก์สั่นคลอน ดังนั้นเมื่อจางกวงหมิงเสนาบดีฝ่ายขวาผู้มีฐานอำนาจสูงสุดในวังหลวง เสนอลูกสาวมาเป็นฮองเฮา ฉินซิอเฉิงจึงรับไว้อย่างไม่ต้องคิดมาก เพราะต้องการพวกพ้อง การได้เสนาบดีฝ่ายขวามาเป็นพวกจึงเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้จางกวงหมิงมีบทบาทมากเกินไป เขาจึงคิดจะกำจัดทิ้งเพราะเป็นคนขี้ระแวง “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป จางกวงหมิงคิดก่อกบฏ ขัดพระราชโองการให้ประหารทั้งตระกูล” พระราชโองการของโอรสสวรรค์ถูกนำไปถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายขวาก็ถูกทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงบุกเข้าไปอย่างหยาบคาย ไร้ความยำเกรง จับกุมตัวของคนสกุลจางทุกคนไปยังแท่นประหาร ข่าวนี้ยังไม่รู้ถึงหูของจางชิงหลินที่ยังนอนป่วยอยู่ในตำหนัก นางกำนัลของจางชิงหลินถูกปล่อยตัว และค่อยๆซมซานกลับมายังตำหนักเย่วซินในอีกสองวันถัดมา “ฮองเฮาเพคะ” จางชิงหลินค่อยๆปรือตาขึ้น เปลือกตานางหนักอึ้งราวกับมีหินมากดทับ ไม่มีใครดูแลนาง นางนอนป่วยอยู่ในตำหนักคนเดียว คืนอันหนาวเหน็บโหดร้ายที่นางยืนตากหิมะผ่านไปอย่างแสนทรมาน นางป่วยนอนซมต้องกินยาที่หมอหลวงนำมาวางไว้ให้และไม่ออกไปจากตำหนักอยู่สองวันเต็ม โชคดีที่วันนั้นนางแอบเอาเตาอุ่นมือเข้าไปด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงตายไปแล้ว “พวกเจ้าเองหรือ ลู่เจียว จิวฮุ่ย” “เพคะ พวกหม่อมฉันกลับมาแล้ว” “ข้าทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว” จางชิงหลินพูดเสียงแผ่วเบา “ฮองเฮาอย่าตรัสเช่นนั้นเพคะ เป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉันที่ต้องปกป้องฮองเฮา” ลู่เจียวเอ่ยแล้วพากันร้องไห้ จางชิงหลินขมวดคิ้ว “พวกเจ้าร้องไห้ทำไมกัน” “ฮองเฮาเพคะ” ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยปรึกษากันแล้วว่าต้องบอกเรื่องสำคัญนี้ให้กับจางชิงหลินรู้ “สกุลจางของฮองเฮาถูกฮ่องเต้สั่งประหารหมดแล้วเพคะ” จางชิงหลินเบิกตากว้าง น้ำตาพลันไหลรินออกมาเป็นสาย ถ้ากลั่นเป็นเลือดได้นางคงกลั่นออกมาเป็นเลือดแล้ว “เมื่อไร” นางกลั่นเสียงถามออกไป “เมื่อสองวันก่อนเพคะ เป็นความผิดของพวกหม่อมฉันที่มาทูลช้าไป” “ท่านอำมหิตยิ่งนัก” จางชิงหลินตัวสั่นสะท้าน หัวใจหนาวเหน็บ “ต่อไปคงถึงตาข้าแล้ว” พูดจบก็มีขันทีประกาศการมาถึงของสตรีสูงศักดิ์ จางชิงหลินยิ้มเยาะให้กับวาสนาแสนอาภัพ ภักดีคนผิด คิดได้เมื่อสายจริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD