บทที่ 02
พ่อบ้านใจกล้า [1]
Green park Hotel
ห้องอาหาร
21.20 น.
[เรียบร้อยไหมนริน]
“นรินอยากกลับบ้านค่ะพี่ติ” นรินดาทำเสียงงอแงกับคนปลายสาย
นัดมาคุยกันเรื่องงาน ซึ่งก็ปิดงานไปได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว แต่ก้องไกรกลับยังไม่ยอมกลับสักที เอาแต่ชวนเธอคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด คะยั้นคะยอให้เธอนั่งดื่มเป็นเพื่อนมาร่วมสองชั่วโมงแล้ว ดีที่เธอคอแข็งอยู่บ้างก็เลยดึงเกมมาได้ขนาดนี้
แต่ทั้งๆ ที่คิดว่าไหว ตอนนี้ก็เริ่มจะรู้สึกมึนหัว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมอมเธอหรือไง โชคดีที่ตติโทรมาพอดีเธอจึงถือโอกาสลุกออกมารับโทรศัพท์แล้วหนีมาเข้าห้องน้ำเสียเลย
[พี่ว่าพี่ไปดูสักหน่อยดีกว่า ยังอยู่ที่ห้องอาหารใช่ไหม]
“ค่ะ แต่พี่ติไม่ต้องมาหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะยอมกลับ นรินยังโอเคอยู่ อีกอย่างคอนโดเพื่อนรินอยู่ไม่ไกล นรินโทรบอกมันแล้วว่าให้รอรับโทรศัพท์เผื่อฉุกเฉินค่ะ”
[แน่ใจเหรอว่าไหว]
“ค่ะ นรินไหว”
[โอเค ถ้าเราว่าไหวพี่ก็เบาใจ ดูท่าว่าพี่ต้องส่งเรื่องนายคนนี้ถึงหัวหน้าสักหน่อยแล้ว พี่ขอโทษนะนริน ถ้ากลับดึกมากพรุ่งนี้ก็ลาได้เลย พี่อนุญาต ที่เหลือพี่จัดการต่อเอง]
“ขอบคุณค่ะพี่ติ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวถ้ายังไงนรินโทรบอกอีกทีค่ะ” นรินดารับปากก่อนจะวางสาย ล้างไม้ล้างมือพร้อมกับสะบัดหัวเบาๆ เพื่อเรียกสติ สำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินกลับออกมาจากห้องน้ำด้วยความเป็นมืออาชีพ
“พี่ภพคะ”
เสียงเรียกที่ได้ยินทำให้นรินดาชะงักฝีเท้าแล้วมองตรงออกไปทันที ร่างกายชาวาบเมื่อเห็นธิชากับข้ามภพยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าล็อบบี้
“ถ้าคุณมีนัดก็ไปเถอะค่ะ ฉันกลับเองได้ รับรองว่าไม่ฟ้องคุณตาหรือคุณลุงให้คุณเดือดร้อนแน่นอน จะไปกระชับมิตรกันที่ไหนก็เชิญ”
“เหอะ!”
นึกทบทวนดูแล้วอดจะแค่นหัวเราะไม่ได้ ท่าทางว่าเขาคงจะพาเธอมาจัดนัดกระชับมิตรกันจริงๆ อย่างที่เธอคิด
ทว่าคงจ้องมองพวกเขานานเกินไปจนคนถูกจ้องรู้ตัว ข้ามภพมองกลับมานิ่งๆ ในขณะที่ธิชารีบก้าวถอยห่างจากข้ามภพในทันที
นรินดาเห็นแล้วเหยียดยิ้มอย่างดูถูก ใช่ว่าเธอจะดูไม่ออกว่าท่าทีที่ธิชารีบก้าวออกไปยืนห่างจากข้ามภพนั้นเป็นเพียงแค่การแสดง ทำให้ดูเหมือนตัวเองบริสุทธิ์ใจเท่านั้น
“พี่นรินคะ คือว่า...”
นรินดาเดินผ่านมาอย่างไม่ใส่ใจ นี่หากไม่ติดว่าทิ้งก้องไกรไว้ในห้องอาหาร เธอคงหาเรื่องคนเอาความสะใจเล่นก่อนกลับสักหน่อย แต่วันนี้ยูนิฟอร์มพนักงานบริษัทมันค้ำคออยู่
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะคุณก้อง นรินรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยก็เลยเดินช้าน่ะค่ะ” นรินดาบอกตามมารยาทหลังจากที่เดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับก้องไกรที่นั่งรอเธออยู่
“คุณนรินเมาแล้วเหรอครับ”
“แค่รู้สึกมึนๆ ค่ะ นี่เมื่อครู่พี่ติก็เพิ่งโทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”
เธอยังคงพยายามหาทางออกอย่างมีมารยาท เหลือบมองไวน์ที่เหลืออีกครึ่งขวดแล้วได้แต่ถอนหายใจ เพราะครึ่งขวดที่ว่า มันเป็นขวดที่สามแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นหมดขวดนี้แล้วค่อยกลับไหวไหมครับ นานแล้วที่ผมไม่ได้นั่งดื่มกับใครแล้วรู้สึกสบายใจแบบนี้”
แหงล่ะ นั่งพูดอยู่คนเดียวจะไม่สบายใจได้อย่างไร
“ค่ะ” นรินดาตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะหยิบแก้วไวน์ที่บริกรเพิ่งจะเดินมารินให้ขึ้นชนแก้วกับก้องไกรอีกครั้ง แสร้งจิบช้าๆ อย่างใจเย็น ทั้งที่อยากจะรีบดื่มๆ ให้มันหมดขวด แต่หากรีบดื่มเกินไปเธออาจเมาจนเสียท่าให้หมอนี่ก็ได้
“ขอโทษนะครับ ผมขอเสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวคุณนรินสักเรื่องได้ไหมครับ”
“ถามได้ค่ะ แต่นรินจะตอบไหม เป็นอีกเรื่องแล้วกันนะคะ”
นรินดาไว้เชิง ยิ้มมุมปากสวยแสดงความไม่ยี่หระกับสายตาแพรวพราวของก้องไกรที่มองเธอราวกับเห็นเธอเป็นเพียงแค่เหยื่อตัวเล็กๆ
“คุณนรินมีแฟนหรือยังครับ”
“มีแล้วค่ะ”
“โอ้โห ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ผมบ้างเลยเหรอครับเนี่ย”
“นรินไม่ให้โอกาสใครพร่ำเพรื่อค่ะ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ แต่ถ้าใช่ มองแวบแรกก็รู้ว่าใช่”
“คุณนรินใช่สำหรับผมนะครับ”
“ดีใจที่นรินใช่สำหรับคุณก้องค่ะ แต่คุณก้องไม่ใช่สำหรับนริน”
แม้รอยยิ้มของเธอจะหวานฉ่ำแต่นั่นคือน้ำตาลเคลือบยาพิษที่แม้แต่ก้องไกรเองก็ทราบดีมาตลอด เพราะเขาไม่ได้เพิ่งจะเคยพูดคุยกับเธอเป็นครั้งแรก แต่เพราะเธอร้ายนั่นแหละ เขาถึงรู้สึกถูกใจ
“คุณนรินพูดจาตรงไปตรงมาเสมอเลยนะครับ อย่างนั้นผมขอพูดตรงไปตรงมาบ้างแล้วกัน” ก้องไกรยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือมาวางลงบนหลังมือของนรินดาเพราะเธอวางมือไว้บนโต๊ะหลังจากที่เพิ่งจะวางแก้วไวน์ลงเมื่อครู่
ตุ้บ!
“ขอโทษค่ะ” นรินดาดึงมือออกในทันที ตั้งใจปัดปลายมือไปโดนแก้วไวน์ของเธอจนล้ม ไวน์ที่เหลืออยู่ค่อนแก้วหกเลอะเทอะ บริกรของโรงแรมต้องรีบเข้ามาทำความสะอาด
ก้องไกรเริ่มรู้สึกอารมณ์เสีย แต่เขาก็ยังพยายามที่จะใจเย็นกับเธออย่างถึงที่สุด รอจนบริกรเดินกลับออกไปเขาจึงเริ่มใหม่อีกครั้ง
“คุณนรินครับ”
“คะ”
“ผมอยากขอโอกาสดูแลคุณนรินได้ไหมครับ คุณนรินต้องการอะไร เท่าไร บอกผมมาได้เลย”
นับเป็นความสุภาพที่หยาบคายและเสียมารยาทที่สุดที่นรินดาเคยได้ยิน เธอกรีดยิ้ม ก่อนจะแสร้งทำเป็นครุ่นคิด มองก้องไกรที่ในสายตาดูมีความหวังขึ้นมาแล้วยิ้มเยาะในใจ
“นรินไม่กล้าพูดหรอกค่ะ” เธอยิ้มอายแล้วก้มหน้าหลบสายตา
“ถ้าอย่างนั้นผมเสนอให้เดือนละแสนห้าพอไหมครับ”
นรินดากรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง นี่หากไม่เกรงใจตติ เธอจะลุกขึ้นแล้วอาละวาดให้ลั่นเลย
“สองแสน”
“นริน...”
“สองแสนห้าครับ คอนโด รถ ผมบวกกระเป๋าแบรนด์เนมให้อีกเดือนละสองใบ”
นรินดาตาโต ตกใจที่เห็นคนที่ยอมทุ่มเงินมากขนาดนี้ให้กับสิ่งที่ก็น่าจะรู้ว่าจับต้องไม่ได้
“ถ้านรินเป็นคุณก้อง นรินจะซื้อกินเป็นครั้งคราวนะคะ ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ แถมยังได้เปลี่ยนรสชาติบ่อยๆ ด้วย”
“นั่นหมายความว่าผมทุ่มเทเพื่อคุณนรินไงครับ”
ได้ยินแล้วนรินดาอยากจะอาเจียน
“โธ่ คุณนรินครับ ผมยอมทุ่มเทเพื่อคุณมากขนาดนี้แล้ว คุณจะไม่ใจอ่อนจริงเหรอครับ” ก้องไกรเอ่ยปากอ้อนวอนอีกครั้ง นรินดายิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางคล้องกระเป๋าเข้ากับแขน
“พรุ่งนี้นรินมีประชุม ขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ ไม่อยากเสียงาน”
“คุณนรินครับ คุณนริน” ก้องไกรตะโกนเรียกเพราะนรินดาเดินออกมาตั้งแต่ที่พูดจบ และไม่คิดจะหันกลับไปมองอีกเลย ทนฟังไม่ไหวแล้ว หากต้องเห็นหน้าหมอนั่นพูดจาน่าขยะแขยงอย่างนั้นต่ออีกนิด เธอต้องกรี๊ดแน่ๆ
ตุ้บ!
“ขอโทษค่ะ คุณภพ”
เงยหน้ามาเห็นเขาปุ๊บ นรินดาก็แทบอยากจะกรี๊ดในใจให้ดังกว่าเดิม
“เจ็บรึเปล่า”
“คุณนริน เกิดอะไรขึ้นครับ คุณนรินเป็นอะไรรึเปล่า” ก้องไกรที่เดินตามออกมารีบถามพร้อมกับทำท่าทีช่วยประคอง นรินดาพยายามปัดออก แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ต้องอาศัยเขาบังข้ามภพเอาไว้
“นรินไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ผมไปส่งที่รถดีกว่าครับ” ก้องไกรไม่ยอมปล่อยมือ รีบอาสาพร้อมกับประคองนรินดาเดินออกไป
ตอนนี้แม้ว่าเธอจะอยากปฏิเสธ แต่ใจหนึ่งกลับไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับข้ามภพ เลยจำยอมที่จะให้ก้องไกรประคอง
ถึงหน้าโรงแรมเธอจึงผละตัวออกอีกครั้ง ทว่าก้องไกรกลับจับต้นแขนของเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” นรินดาตั้งใจให้เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะรักษามารยาท นับหนึ่งถึงสามแล้วดึงมือของก้องไกรออกสุดแรงอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่หลุดเหมือนเดิม
“ปล่อยค่ะ”
“ผมไปส่งดีกว่าครับ เมาแบบนี้คุณขับรถกลับเอง ผมว่าไม่ปลอดภัย”
“ฉันบอกให้.../ปล่อย”
สองตาของนรินดาเบิกโพลงตั้งแต่ได้ยินเสียงของข้ามภพ
“คุณยุ่งอะไรด้วย ผมจะพา...”
“นรินดาเป็นภรรยาผม”
ลูกตาของนรินดาเกือบถลนออกจากเบ้า หัวใจเต้นแรงจวนจะทะลุออกมาจากหน้าอกเสียให้ได้
“ภรรยา?”
“ใช่ครับ ถ้าคุณยังไม่ปล่อยมือออก ผมจะ...”
“ผมว่าคุณเมาแล้วมั้งครับ ถ้าเมา ก็กลับบ้านไป...”
อุก!
ข้ามภพไม่เปิดโอกาสให้ก้องไกรพูดจบประโยค ยกเท้าขึ้นถีบเข้ากลางลำตัวคนปากพล่อยไปสุดแรง อาศัยจังหวะที่ก้องไกรเสียหลักดึงตัวนรินดากลับมา เพราะเธอเองก็กำลังรอจังหวะที่จะเอาตัวรอดอยู่แล้วเหมือนกัน
“ไอ้...”
พลั่ก!
ดึงเธอออกมาสำเร็จ ก็สบโอกาสที่จะเหวี่ยงกำปั้นหลุนๆ ใส่ปาก ก้องไกรไปสุดวงแขน ยืนรอจังหวะที่ก้องไกรกำลังจะหันกลับมาเงื้อกำปั้นขึ้นรอชกอีกรอบ แต่นรินดากลับกอดแขนเขาเอาไว้
“อย่าค่ะๆ เขาเป็นลูกค้าของบริษัท” นรินดาขอร้องเอาไว้แทบไม่ทับ
ข้ามภพหันมามองนิ่งๆ ก่อนจะทิ้งกำปั้นลงข้างตัวแล้วดึงเธอถอยห่างออกมาอีกหลายก้าว มองเธอด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะจับมือซ้ายของเธอขึ้นมา
“แหวนหมั้นไปไหน”
นรินดาอึกอัก อย่าว่าแต่แหวนหมั้นเลย ตอนนี้ถามว่าอะไรเป็นอะไรเธอก็ยังสับสน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ในหัวของเธอมีแต่เสียงของเขาที่พูดออกมาว่าเธอเป็นภรรยาเต็มปากเต็มคำ
“ไหวรึเปล่า”
“ไหวค่ะ ฉันไม่เป็นไร” เธอฝืนยิ้มทั้งที่รู้สึกเหมือนจะวูบ อยู่ๆ ก็ทรงตัวไม่ค่อยอยู่ เซไปซบข้ามภพอย่างคนอ่อนแรง
ข้ามภพขมวดคิ้วแล้วประคองเธอเอาไว้ หันกลับไปมองก้องไกรที่ยังดูมึนๆ เพราะน่าจะเพิ่งเคยถูกชกจนร่วงแต่ไม่คิดจะใส่ใจ รีบพา นรินดาเดินกลับไปที่รถทันที สังเกตว่าเธอเดินหลับตามาตลอดทาง โซซัดโซเซเหมือนไม่มีเรี่ยวแรง
“คุณดื่มไปเยอะเหรอ”
“ค่ะ” นรินดาตอบอย่างไม่ปิดบัง เธอสะบัดหัวอยู่หลายครั้ง ทุบก็แล้วนวดก็แล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ปกติ
“คุณนริน”
“ฉัน...”
ฟุ่บ!
“นริน คุณนริน!”