โรงพยาบาล
ห้อง 807
ปึง!
ฉันผลักประตูเข้าไปเต็มแรง เตรียมระเบิดอารมณ์เต็มที่แต่ว่าภายในห้องกลับว่างเปล่า ผ้าปูเตียงถูกรวบตึง ข้าวของทุกชิ้นจัดวางเหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน เดี๋ยวสิ ก็ไม่ได้มาผิดห้องนี่นา ฉันเดินออกมามองเลขที่ประตูเพื่อยืนยัน แล้วเยี่ยมหน้ากลับเข้ามามองข้างในใหม่
“ขอโทษนะคะ คนไข้ที่อยู่ห้องนี้ไปไหนแล้ว”
ฉันถามพยาบาลที่เดินผ่าน พยาบาลทำหน้างงกลับมา “ห้องนี้ว่างหลายวันแล้วนะคะ”
ฉันได้ยินแล้วถึงกับเหวอ พอลงมาสอบถามข้างล่างถึงรู้ว่าฮานย้ายไปรักษาตัวที่อื่นได้สามวันแล้ว แต่เป็นที่ไหนเจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอก เอาแต่พูดไม่สามารถเปิดเผยความลับของคนไข้ได้อยู่นั่นแหละ เซ็งชะมัด แต่ฉันจะไม่ยอมโดนปั่นหัวอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
Han talks
“ปู่ยังไม่กลับอีกเหรอ”
ผมมองชายชราที่เดินเข้ามาในห้อง แค่เดินยังต้องให้คนช่วยพยุง นี่ก็วันที่สามแล้วที่ผมย้ายมาอยู่โรงพยาบาลใหม่ภายใต้การบงการของตาแก่ตรงหน้า
“ไม่ต้องไล่ ถึงเวลาปู่ก็กลับเอง แต่อยู่ที่นี่ก็สงบดี เล่นเอาไม่อยากกลับเลยล่ะ โฮะๆ”
ผมไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของปู่ เหม่อมองเพดานอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย ดูจากสภาพตัวเองแล้วคงต้องติดแหง็กไปไหนไม่ได้อยู่แบบนี้อีกนาน
ความเงียบภายในห้องถูกทำลายลงด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ผมเอื้อมแขนข้างที่ไม่บาดเจ็บไปหยิบโทรศัพท์ข้างเตียง เห็นชื่อเฮียปรากฏอยู่บนจอ ผมกดรับสาย
“ว่าไง”
[หนูนีเอารถมาจอดทิ้งไว้ที่อู่ แถมยังมีของเด็กเล็กอยู่ในรถด้วย]
“....” แววตาผมกระตุกไหว ยัยเด็กนั่นคิดจะต่อต้านไปถึงไหน
[ให้เฮียขับไปไว้ที่บ้านหนูนีไหม]
“ทำแบบนั้นผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากเดิม”
[ก็จริง แล้วจะทำไงต่อ]
“ปล่อยไปก่อน”
[อืม งั้นแค่นี้ล่ะ]
พอผมวางสาย เสียงปู่ก็ดังขึ้น “ใคร ไทเกอร์?”
“อืม”
“มีเรื่องอะไรที่ปู่ยังไม่รู้หรือเปล่า”
“แค่เรื่องรถที่อู่ ไม่เกี่ยวอะไรกับปู่”
“พูดกับคนแก่ให้มันนุ่มนวลหน่อย”
“….”
“เอาเถอะ ปู่ผิดเองที่ปล่อยแกไว้เกือบสิบปี ถ้าแกจะเย็นชาขนาดนี้ก็คงไม่แปลก”
ผมไม่พูดหรือตอบอะไรปู่ แค่เอนตัวลงนอนเงียบๆ แล้วหลับตา ปล่อยปู่พล่ามอยู่คนเดียว
“แต่แกจะโกรธปู่ไม่ได้ ในเมื่อแกยังมีชีวิตก็น่าจะติดต่อกลับมา”
“ผมนึกว่าปู่โล่งใจที่ขจัดตัวปัญหาไปได้ซะอีก” ผมอดไม่ได้ที่จะถามกลับ หลายปีก่อนผมเคยถูกคนไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากริชน้าของริกกี้ ป่านนี้ผมคงกลายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่ไหนสักแห่ง ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ติดต่อคนที่บ้านอีกเลย ยกเว้นยาย...
ยายคือคนที่ส่งเฮียหมูมาสืบเรื่องผมเงียบๆ แล้วช่วงที่มีเรื่องบาดหมางภายในทีมยายผมเกิดล้มป่วยพอดี ผมเลยถือโอกาสแวะไปเยี่ยม คนในครอบครัวช็อกกันหมดที่รู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่
“แกไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นทุกข์แค่ไหน โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่”
แต่คนที่บินลัดฟ้ามาดันเป็นปู่ ส่วนคนเป็นแม่ทำแค่ไลน์มาถาม คนที่ผมเป็นห่วงที่สุดตอนนี้คือยาย กลัวจะเครียดจนล้มป่วยไปอีก
ปู่พูดเรื่องในครอบครัวกรอกหูผมต่อสักพักก็ออกไป หลังจากนั้นผมก็ได้หลับพักผ่อนจริงๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หมอเข้ามาตรวจ
“ทุกอย่างปกติดี ไม่มีไข้ ไม่มีอาการแทรกซ้อน ตอนนี้ร่างกายกำลังฟื้นตัว ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติอาทิตย์หน้าก็เริ่มทำกายภาพบำบัดได้ ระวังเวลาเข้าห้องน้ำอย่าให้เฝือกโดนน้ำล่ะ” หมอหันไปพูดกับพยาบาลอีกสองสามคำก่อนออกไป เหลือพยาบาลไว้ดูแลผม
“คุณอยากเข้าห้องน้ำไหมคะ”
ผมส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นฉันขออนุญาตเช็ดตัวและก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณก่อน เสร็จแล้วจะได้ทานข้าวทานยา”
ผมพยักหน้า ปล่อยพยาบาลที่อายุราวๆ สี่สิบกว่าจัดแจงร่างกายผมตามใจชอบ แต่ไม่รู้ทำไม ตอนที่พยาบาลเช็ดตัวให้ผมกลับนึกถึงแต่หน้ายัยเด็กนั่น อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนยัยนั่นจะยินดีขนาดไหนที่ได้ดูแลผมตอนไม่สบาย...
อาทิตย์ต่อมา เป็นไปตามที่หมอบอก ร่างกายผมดีขึ้นและเข้าสู่ช่วงทำกายภาพบำบัด ถึงอย่างนั้นก็คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะกลับมาแข็งแรงและเคลื่อนไหวตามใจนึกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ผมพักรักษาตัว งานที่อู่อยู่ภายใต้การดูแลของริกกี้เกือบทั้งหมด จึงไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ ถ้าจะมีเรื่องกวนใจผมก็มีอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องลูก...
ผมไม่ได้บอกเรื่องเพนนีกับลูกให้ครอบครัวผมรู้ แม้แต่ยายผมก็กำชับเฮียหมูไม่ให้บอก เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจจะตามมา เอาไว้ให้ผมจัดการได้แล้ว ผมจะเป็นคนบอกเอง
“เฮ้อ รู้ไหมว่าแบบนี้มันผิด ให้เฮียพาหนีออกจากโรงพยาบาลเป็นเด็กๆ ไปได้”
ภาพนอกกระจกไหลวูบผ่านไปตามความเร็วของรถ ผมมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า “ขับๆ ไปเถอะน่า”
“ครับเจ้านาย” เฮียพูดเชิงหยอกเย้า
“....”
“คุณฮอตั้นกลับสวิตซ์แล้วเหรอ”
“อืม ขึ้นเครื่องเมื่อคืน”
“อ่อ เรื่องคนที่ชนมึงน่ะ สืบรู้แล้วนะ”
ผมยังคงมองภาพตึกรามบ้านช่องผ่านกระจกด้านข้างอย่างไม่ยินดียินร้าย
“คนขับเป็นต่างด้าว รถที่ขับก็เป็นรถเช่า แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เฮียสืบประวัติมาแล้ว ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับคู่แข่งหรือคนน่าสงสัยเลย ทำให้ดูเหมือนอุบัติเหตุได้สมบูรณ์แบบมาก สรุปหามือใครดมไม่ได้”
เฮียหมูยักไหล่ รู้สึกเสียเวลาสืบไปเปล่าๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะเคยเตือนเฮียแล้วว่าสืบไปก็ไม่มีประโยชน์
“...ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ บ้านยายนวลภา”
เฮียเอ่ยก่อนชะลอรถหน้ารั้วบ้านแล้วลงไปกดกริ่ง ครู่หนึ่งก็มีแม่บ้านเดินออกมาดู เฮียหมูคุยไม่นานแม่บ้านก็กุลีกุจอเปิดประตูใหญ่เพื่อให้รถผ่านเข้าไป
“เฮียพูดอะไร” ผมหันไปถามคนที่กลับเข้ามาในรถ
“เฮียบอกว่าเป็นเพื่อนริกกี้ มาที่นี่เพราะมีธุระกับเจ้าของบ้าน”
เฮียขยิบตา พลางเคลื่อนรถเข้าไปข้างใน ผมมองบ้านสไตล์เรือนไทยที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า บรรยากาศร่มรื่นและสงบเงียบราวกับไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่
แม่บ้านนำผมกับเฮียเข้ามาในบ้านซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งไม่ต้องขึ้นบันไดให้ลำบาก ที่โถงกลางหญิงชรากำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้นวด ถัดออกไปไม่ไกลมีเด็กวัยขวบเศษกำลังนั่งเล่นของเล่นโดยมีพี่เลี้ยงคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด
“คุณท่านคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ใคร” ยายนวลภาเอ่ยถามโดยไม่ลืมตา
“เพื่อนคุณริกกี้ค่ะ”
สิ้นคำของแม่บ้าน เปลือกตาเหี่ยวย่นก็เปิดขึ้น มองมายังแขกที่ไม่ได้นัดหมายแววตาช่างเฉยชา
“มีธุระอะไร”
เสียงนั้นทำให้ทุกสายตาหันมามองแขกผู้มาเยือนไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวน้อยที่กำลังเล่นอยู่
“ปา... ยุง” มือเล็กป้อมชี้มาทางผม เสียงที่หลุดออกจากปากเล็กๆ ทำผมขมวดคิ้ว แม้จะฟังไม่ชัด แต่ก็รับรู้ได้ว่าคำที่ใช้เรียกผมนั้นไม่ถูกต้อง
“หืม” ยายนวลภามองผมกับภามครู่หนึ่งและคงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงพูดออกมาว่า “คนที่เธอมีธุระด้วยจริงๆ คงเป็นตาหนูไม่ใช่ฉัน ฉันพูดถูกหรือเปล่า”
ผมกับเฮียหมูส่งสายตาให้กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ตอนนั้นยายนวลภาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่ภามพยายามที่จะมาหาผม ทั้งเดินทั้งคลานทุลักทุเลไปหมดแต่ก็น่าเอ็นดูจนเห็นแล้วทำหัวใจอุ่นวาบ
“ดูสิ ท่าทางจะชอบใจน่าดูที่มีคนมาหา” ยายนวลภามองท่าทางกระตือรือร้นของเจ้าหนู พูดไปหัวเราะไป
“เอ่อ เชิญนั่งก่อนค่ะ” แม่บ้านเตือนหลังจากที่ปล่อยให้ผมกับเฮียหมูยืนทื่ออยู่พักหนึ่ง เฮียช่วยพยุงผมที่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยันมาที่โซฟา ทำให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังเดินเตาะแตะเปลี่ยนทิศทางตามไปด้วย
“มาสิ” ผมปล่อยไม้ค้ำยันให้เฮียจัดการแล้วยื่นมือข้างที่ยังใช้งานได้ดีไปหาลูก มือเล็กๆ วางแหมะลงบนฝ่ามือผมอย่างไม่หวาดระแวงแม้แต่น้อย ผมรวบร่างเล็กขึ้นมานั่งข้างๆ แล้วหันไปพูดกับยายนวลภาโดยไม่ใส่ใจสายตาประหลาดใจของพี่เลี้ยงกับแม่บ้าน
“ขอโทษครับที่มารบกวนกะทันหัน”
“หึ เด็กหนุ่มสมัยนี้บ้าบิ่นเสียจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงแจ้งข้อหาบุกรุกไปแล้ว”
“ขอโทษครับคุณยาย” เฮียหมูเอามือจับท้ายทอยพลางก้มหัวหงึกหงัก เป็นเชิงขอโทษขอโพย “แต่เรื่องที่ผมเป็นเพื่อนกับริกกี้คือเรื่องจริงนะครับ พวกผมไม่ใช่คนน่าสงสัยอะไรหรอก ที่มานี่ก็แค่อยากมาหาหลานเท่านั้น”
“ดูเหมือนความเกี่ยวข้องของพวกเธอกับตาหนูจะซับซ้อนกว่าที่คิดนะ ถึงกับต้องแอบมาหาเอาตอนที่แม่ตาหนูเผลอน่ะ”
ผมไม่ได้พูดตรงๆ ว่าเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้าหนู แต่คนที่มีสายตาเฉียบคมแบบยายนวลภาคงดูออกตั้งแต่แวบแรกที่มองผมกับเจ้าหนูแล้ว
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เด็กคนนี้ รบกวนคุณอย่าบอกเพนนีเรื่องผมได้หรือเปล่า”
“ฉันเห็นเพนนีตั้งแต่อุ้มท้องจนกระทั่งคลอด ถึงภายนอกจะเข้มแข็งแต่ฉันดูออกว่าเด็กนั่นกำลังเจ็บปวดที่ต้องอุ้มท้องตามลำพัง... ตลอดเวลาที่ผ่านมาหายไปไหนล่ะ โผล่มาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปแล้วเหรอ”
“ผมยอมรับว่าคิดน้อยไปเรื่องเพนนีกับลูก ถ้าตอนนั้นผมใส่ใจมากกว่านี้เรื่องราวคงต่างออกไป แต่มาพูดตอนนี้ก็เหมือนแก้ตัว ผมไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเพราะยังไงก็เป็นสายเลือดผม”
“แล้วเธอคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในความคิดเธอล่ะ”
คำถามของยายนวลภาแต่ละคำนั้นไม่ปรานีผมเอาซะเลย แต่ขอแค่ไม่ขับไล่ไสส่งผมเหมือนคนที่บ้านเพนนีผมก็ซาบซึ้งใจแล้ว
ผมครุ่นคิดแล้วมองหน้าลูก เจ้าหนูก็กำลังมองตอบผมตาแป๋วเช่นกัน คิดไปคิดมาหน้าตานี่ก็ดูคล้ายผมอยู่หลายส่วน รู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองในร่างเด็กอยู่ยังไงยังงั้น
ในเมื่อเจ้าหนูเหมือนผมมากขนาดนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมอยากให้เจ้าหนูก็คือความรักและเอาใจใส่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง
“ผมอยากให้ลูกมีพ่อ”
ผมเอ่ยตอบคำถามของยายนวลภาที่ถามค้างเอาไว้ เมื่อได้ยินดังนั้นยายนวลภาก็กระตุกยิ้มราวกับกำลังมองละครฉากหนึ่งพลางทำเสียง ‘หึ’ ในลำคอ คล้ายกำลังเยาะหยันคำพูดของผมอยู่
“ถ้าเด็กมันไม่มีพ่อมันจะเกิดมาได้ยังไง”
ผมไม่รู้ว่าควรตอบกลับคำพูดเหน็บแนมนั่นยังไง ไม่ใช่ว่าเถียงไม่ออก หรือหวั่นเกรงจนไม่กล้าเถียง แต่กลัวว่าพูดออกไปแล้วจะทำให้ยายแกโกรธจนไล่ตะเพิดผมออกจากบ้านแล้วจะซวยไม่ได้เจอหน้าลูกง่ายๆ แบบนี้อีกน่ะสิ
ดีที่สุดที่ผมทำได้คือเงียบตอบ ก้มหน้าเล่นหัวกับเจ้าหนูทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น