Chapter 4 《 Part 4 》

2031 Words
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีของน่าสงสัยส่งมาที่บ้านอีก ฉันบอกแม่ว่าเอาของไปคืนเขาหมดแล้วแต่ไม่เล่าละเอียด ไม่กล้าบอกว่าแค่เอารถไปจอดทิ้งไว้ที่อู่แบบส่งๆ เพราะไม่อยากถูกมองว่าไม่ได้ความ เรื่องแค่นี้ก็ยังจัดการไม่เด็ดขาด “เหรอ ดีแล้วล่ะ บอกหรือเปล่าว่าไม่ต้องส่งอะไรมาแล้ว ทำแบบนี้มันน่ารังเกียจ ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา แต่ส่งของมาแทน คิดว่าพวกเราเป็นอะไรกัน จะใช้เงินฟาดหัวหรือไง แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่านีไปหลงกลผู้ชายแบบนั้นได้ยังไง” “….” ฉันเม้มปากแน่น ปกติแม่จะระวังคำพูดเป็นพิเศษเพราะเป็นห่วงความรู้สึกฉัน เรียกได้ว่าแทบจะโอ๋ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นผลพวงจากการที่ฉันกรีดข้อมือตัวเองคราวนั้นนั่นล่ะ ก็เลยไม่กล้าว่าอะไรฉันแรงๆ กลัวฉันจะน้อยใจแล้วคิดสั้นแบบเดิม ฉันไม่ได้บอกว่าการทำร้ายตัวเองเป็นเรื่องดี และไม่อยากให้ใครเอาเป็นแบบอย่าง จนถึงตอนนี้ฉันก็รู้สึกผิดมาตลอด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไม่ทำ และถ้าย้อนไปได้ไกลกว่านั้นอีก ฉันจะไม่รักฮาน “…นี?” แม่เห็นฉันนิ่งไปนานก็ใจคอไม่ดี ตระหนักได้ว่าเผลอพูดความในใจที่อัดอั้นออกมา แววตาแม่ที่มองมาบอกว่ากำลังรู้สึกผิด ริมฝีปากขยับอึกอักอย่างตึงเครียด ไม่รู้ว่าควรเอ่ยขอโทษฉันยังไงดี การที่แม่เกรงใจฉันมากเกินไป ประคบประหงมมากเกินไป ยิ่งทำฉันลำบากใจและรู้สึกผิดบาปเป็นเท่าตัว ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอ อาจจะมีบ้างที่อ่อนไหว แต่ฉันอยากให้แม่รู้ว่าฉันไม่มีทางตายเพราะคำพูดคนแน่นอน “นีไม่เป็นไรค่ะ นีผิดเองที่พลาด แม่ไม่ต้องรู้สึกผิดทุกครั้งที่พูดถึงอดีตของนีหรอก นีไม่อยากเป็นลูกบังเกิดเกล้าที่พ่อแม่ดุด่าไม่ได้” “นี…” แม่ทำหน้าอึ้งกลับมา น้ำเสียงที่เรียกชื่อฉันสั่นเล็กน้อย แววตารู้สึกผิดเปลี่ยนเป็นภูมิใจที่ฉันคิดได้แบบนั้น ก่อนพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จ้ะ แม่เข้าใจแล้ว” ตั้งแต่นั้นมา ฉันกับแม่ก็เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่มีใครยกเรื่องพ่อของตาหนูขึ้นมาพูด ราวกับว่าเป็นประเด็นต้องห้ามที่ไม่มีใครอยากนึกถึง “นี แม่เซ็นอนุญาตกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ให้แล้วนะ” เย็นวันนั้น ระหว่างกำลังนั่งกินมื้อเย็นอยู่ในครัวแม่ก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออก ฉันทำตาโต แอบรู้สึกตกใจ เพราะยังไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้ อีกอย่างฉันไม่คิดที่จะไปด้วย “แม่เข้าไปทำความสะอาด แล้วบังเอิญเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะ ก็เลยเซ็นให้เรียบร้อยแล้ว” แม่อธิบายที่มาที่ไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีแววกังวลแม้แต่นิดเดียว ปกติเวลาที่บริษัทแม่จัดงานอบรมอะไรแม่เข้าร่วมตลอด ไม่เคยพลาด คงเพราะความเป็นนักกิจกรรมตัวยงของแม่นี่เองที่ทำให้แม่ไม่ตั้งแง่กับกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ของทางคณะและยังสนับสนุนให้ฉันเข้าร่วมโดยไม่เอาเรื่องตาหนูมาเป็นข้ออ้างด้วย ฉันมองตาหนูที่นั่งอยู่บนตักลุงคณิน ท่าทางไร้เดียงสา ไม่สนใจอะไรนอกจากของเล่นในมือ แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ “นีจะไปได้ยังไงคะ แล้วใครจะเลี้ยงตาหนู” บางครั้งฉันก็ไม่ได้คิดให้ดีก่อนพูด หลุดปากไปแล้วถึงค่อยละอายใจทีหลัง ทุกวันนี้ฉันแทบไม่ได้เลี้ยงลูกเอง เอาจริงๆ อยู่กับลูกแค่ตอนนอนกับตอนเช้าซึ่งหน้าที่นี้ให้แม่ฉันหรือคะนิ้งทำแทนก็ยังได้ วันไหนไปเรียนก็เอาลูกไปฝากให้ยายนวลภาเลี้ยง คิดๆ ดูแล้วฉันก็มีคนคอยอุ้มชูทุกอย่าง ไม่ลำบากอะไรเลย จะลำบากก็ลำบากแค่ที่ใจอย่างเดียว “ไม่ต้องห่วงหรอก ดูภามสิ สนใจแม่ที่ไหน” คะนิ้งที่นั่งข้างๆ เอ่ยขึ้น พลางพยักหน้าไปทางตาหนู ที่จนตอนนี้ก็ไม่ร้องหาแม่เลย แต่ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเห็นแม่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างหาก ฉันไม่รู้ว่าถ้าลูกไม่เห็นฉันหลายวันจะเป็นยังไง แค่คิดก็รู้สึกบีบคั้นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก “ตอนนี้ตาหนูก็โตแล้ว อย่านมแม่แล้วด้วย แม่ว่านีควรจะผ่อนคลายและไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ อีกอย่างเป็นกิจกรรมของคณะถ้าไม่เข้าร่วมนีอาจจะลำบากก็ได้นะลูก” “แต่ว่า…” “ก็จริงนะอาโยพูดถูก กิจกรรมคณะจะช่วยให้สนิทกับเพื่อนมากขึ้น ถ้าใครไม่ไปนี่กลายเป็นคนนอกคอกเลยล่ะ” คะนิ้งพูดเสริมคำพูดของแม่ฉัน ฉันรู้ว่าแม่หวังดี อยากให้ฉันได้ใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป แต่พอยัยคะนิ้งพูดกลับรู้สึกไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะยัยนี่หลังๆ ก็โดดไปหาผู้ชายบ่อย “อยู่ตั้งเชียงคานเลยนะแม่ แถมยังสามวันสองคืนอีก” “แม่รู้ ก่อนเซ็นแม่ก็ต้องอ่านอยู่แล้ว” แม่พูดออกมาอย่างไม่ใช่ปัญหา ซึ่งถ้าแม่ไม่เห็นด้วยแต่แรกแม่คงไม่เซ็นอนุญาต “งั้นแปลว่านีไปได้จริงๆ” “จ้ะ แม่อนุญาต” ที่ถามนั่นไม่ใช่ว่าอยากไปนะ แค่อยากยืนยันให้แน่ใจเฉยๆ ว่าถ้าไปจริงจะไม่มีอะไรติดขัด ดูแล้วก็ไม่น่าติดอะไร อย่างที่ฉันคิดไว้ตั้งแต่ตอนโน้นจริงๆ ด้วย ถ้าจะไปก็ไปได้ขอแค่ฉันเอ่ยปาก ทว่านี่ฉันกลับไม่ทันได้เอ่ยปากก็ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแล้ว ฉันบอกเรื่องที่จะไปเข้าค่ายรับน้องให้เพื่อนที่คณะฟัง พวกนั้นดีใจกันใหญ่ที่เพื่อนไปกันครบทุกคนไม่มีใครขาด ยัยเอสกับบุ้งกี๋ถึงกับชวนฉันไปเดินตลาดนัดหลังมอเพื่อซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่เอาไปใส่ในวันเข้าค่าย ฉันก็อยากไปเดินเลือกเสื้อผ้ากับพวกเธอนะ เพียงแต่ต้องรีบกลับไปดูลูก เป็นแม่คนแล้วจะทำตัวเตร็ดเตร่ไร้สาระได้ยังไง วันนี้แม่ต้องใช้รถเพราะมีประชุมอาจกลับดึก เมื่อเช้าพวกเราเลยออกมาพร้อมกัน แม่ขับรถพาฉันไปส่งตาหนูที่บ้านยายนวลภาจากนั้นก็มาส่งฉันต่อที่มหาลัย ขากลับฉันเลยต้องนั่งแท็กซี่ไปหาลูกเอง ซึ่งไม่ได้ลำบากอะไรเลย ดีซะอีกที่ไม่ต้องขับรถให้เหนื่อย Line!~ ลีไทน์ : วันนี้เอารถมาหรือเปล่า ฉันเพิ่งแยกกับพวกยัยเอสที่หน้าตึกเรียน ไลน์ก็เด้งเตือนขึ้นมา พอเปิดดูก็เห็นข้อความที่พี่ลีไทน์ส่งมา เพนนี : เปล่าค่ะ แม่มาส่ง ลีไทน์ : แล้วกลับยังไง เพนนี : แท็กซี่ ลีไทน์ : ต้องไปรับตาหนูด้วยหรือเปล่าน่ะ เพนนี : ไปรับ ลีไทน์ : ตอนนี้อยู่ไหน เพนนี : กำลังจะไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้ามอ ลีไทน์ : ไม่ต้อง เดี๋ยวพี่ไปส่ง ฉันหยุดฝีเท้าทันควันเมื่อเห็นข้อความล่าสุด เพิ่งคิดหยกๆ ว่าจะเจอแท็กซี่ดีๆ หรือเปล่าก็มีคนอาสาไปส่ง จะว่าดีก็ดี จะว่าเกรงใจก็เกรงใจ เพราะงั้นฉันถึงใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าจะสามารถตอบกลับไปได้ เพนนี : พี่ว่างเหรอ ลีไทน์ : วันนี้พี่เรียนเช้า ตอนบ่ายว่าง เพนนี : ก็ได้ค่ะ งั้นให้นีไปหาที่ไหน ลีไทน์ : นีไปรอพี่ที่ตึกจอดรถก็ได้ ตอนนี้พี่อยู่ร้านข้าวหน้ามอ เดี๋ยวพี่ไป เพนนี : พี่กินข้าวเหรอ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องนะ นีไม่อยากกวน ลีไทน์ : ไม่หรอก กำลังจะแยกย้ายกันพอดี เพนนี : โอเคค่ะ งั้นนีไปรอที่หน้าตึกจอดรถ ลีไทน์ : ครับ ฉันเปลี่ยนเส้นทางหลังตกลงกันได้ มุ่งหน้าไปยังตึกจอดรถซึ่งอยู่คนละฝั่ง ไม่นานก็มาถึง ระหว่างที่ยืนรออยู่หน้าตึกนั้นก็ได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งเร่งเครื่องมาแต่ไกล ฉันเงยหน้าที่กำลังเล่นโทรศัพท์ขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ฉัน ทุกคนที่อยู่แถวนี้ก็มองเหมือนกัน ก่อนจะเห็นรถนิสสันจีทีอาร์วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าใบไหม้ปลิว กระโปรงนักศึกษาสะบัด ถ้าสวมพลีทคงได้เอามือปิดอุตลุด โชคดีที่ฉันใส่กระโปรงทรงเอยาว เลยสะบัดไม่ค่อยขึ้น ขณะที่ฉันคิดว่าโชคดีที่แต่งตัวรัดกุม จู่ๆ นิสสันจีทีอาร์คันนั้นก็เบรกเอี้ยด บดยางกับพื้นถนนจนเกิดรอยล้อ ฝุ่นควันฟุ้งตลบ ทำเอาคนมองกันตรึมฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พลางคิดว่ารถคันนี้บ้าหรือเปล่า ตั้งใจจะทำอะไร นี่มันถนนในมหาลัยนะ ไม่ใช่สนามแข่ง มีสิทธิ์ชนคนตายได้เลยนะโว้ย นี่เป็นความคิดของฉันตอนนี้ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงกระโดดเชียร์เย้วๆ เป็นสก๊อยในชุดนักศึกษาไปแล้ว ประตูรถเปิดออก ขาคนขับก้าวออกมาข้างหนึ่ง พอให้ได้ลุ้นแต่ไม่นานก็ก้าวออกมาทั้งตัวแล้วหันมาทางฉัน “....” ตอนนั้นฉันรู้สึกว่ารอบข้างเงียบสนิทไปหมด ไม่รู้ว่าฉันมัวแต่อึ้งจนไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น หรือเพราะผู้คนรอบข้างมัวแต่ตกตะลึงกับรูปลักษณ์หล่อเลวของคนคนนี้จนหลงลืมกระทั่งเสียงของตัวเองไปชั่วคราว แต่ว่า... ทำไมรู้สึกว่าหมอนั่นกำลังเดินมาทางนี้ล่ะ แถมสายตายังจับจ้องมาที่ฉันอีก เดี๋ยวสิ จังหวะที่ฉันก้าวเท้าถอยหลังก็ไม่ทันการแล้ว เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ใบหน้าของคนที่ฉันเกือบลืมไปแล้วกำลังมองฉันด้วยท่าทางแปลกใจไม่ต่างกัน “เห็นแวบๆ เป็นเธอจริงๆ เพนนี” “....” ฉันไม่มีอะไรจะตอบ หรือก็คือไม่อยากคุย ไล่เขาไปให้พ้นผ่านทางสายตาไม่เป็นมิตร แต่คนตรงหน้ากลับทำไม่สะทกสะท้าน กวาดสายตามองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เสียมารยาท!จะมองให้ทะลุเข้าไปถึงข้างในเลยหรือไง มีสิทธิ์อะไรมามองฉันด้วยสายตาแบบนี้หา ฉันอยากแว๊ดใส่และรีบไล่เขาออกไปให้พ้นๆ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนลงไปเพราะไม่อยากก่อเรื่องอะไรในมหาลัย “ได้ข่าวว่าท้อง...” แววตาฉันแข็งกร้าวทันทีที่ได้ยินคำพูดที่คล้ายกับจะเยาะหยัน หมอนั่นเลิกคิ้วแล้วเดาะลิ้นเอ่ยประโยคนั้นค้างเอาไว้ก่อนแสยะยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น แหงล่ะ ฉันกับหมอนี่ไม่ได้ผูกพันกัน ก็แค่เคยเกี่ยวข้องกันในฐานะเจ้าหนี้กับลูกหนี้เท่านั้น และก็เป็นคนที่ฉันเกลียดมากคนหนึ่ง ชาตินี้ไม่เจอกันอีกเป็นดี “ไม่เอาน่า คนเขารู้กันทั้งบางเรื่องเธอกับมัน ฉันพูดแค่นี้จะโกรธอะไรนักหนา” แววตาฉันกระตุกวูบ ในอกรู้สึกรวดร้าว จ้องคนพูดด้วยสายตายะเยือก “พูดแบบนี้ ต้องการอะไร” “ฉันแค่เห็นคนเคยรู้จักก็เลยอุตส่าห์จอดรถทักทาย ไม่ได้เหรอ หรือว่าเธอยังโกรธฉันอยู่ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วน่า อีกอย่างระหว่างเราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว เออจริงสิ... เพื่อเห็นแก่ที่เธอเคยทำงานให้ฉัน ฉันจะเตือนเธอเรื่องหนึ่งแล้วกัน หลายวันก่อนมีคนเห็นพ่อเธอที่บ่อน” “...!!!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD