Chapter 4 《 Part 2 》

1622 Words
เกือบสิบโมงเช้า คุณหมอเข้ามาตรวจอาการตาหนู เมื่อเห็นว่าดีขึ้นแล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ระหว่างปล่อยลูกนั่งเล่นอยู่ที่พื้น ฉันไล่เปิดลิ้นชักทุกตัวเพื่อดูว่าลืมอะไรไว้หรือเปล่า ก่อนจะเห็นกุญแจรถมินิคูเปอร์ที่เอามาซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ ฉันมองมันด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนจะหยิบขึ้นมาแล้วหันไปมองลูก ความจริงจะปล่อยเอาไว้แบบนี้เลยก็ได้ แต่มันไม่ใช่นิสัยของฉัน ถ้าลืมก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เห็นอยู่ตำตา คงปล่อยเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ ที่สำคัญฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดด้วย ฉันตัดสินใจอุ้มลูกขึ้น สะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง แล้วตรงไปที่ห้อง 807 การกระเตงลูกไปตามทางเดินโรงพยาบาลพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของเต็มมือไม่ใช่เรื่องสนุกแต่ก็ไม่เกินความสามารถของคนเป็นแม่ กว่าจะมาถึงหน้าห้องพักฟื้นของฮานก็เล่นเอาลมจับเหมือนกัน ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด ประตูก็ถูกเปิดจากข้างในพอดี มีหมอกับพยาบาลเดินออกมา ฉันถอยออกมาเล็กน้อย ยิ้มเก้อๆ ให้กับหมอและพยาบาลตรงหน้า “มาเยี่ยมคนไข้เหรอคะ” พยาบาลที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ฉันพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินเข้ามาในห้องโดยไม่พูดอะไร คนบนเตียงหันมามองอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะการที่ฉันพาลูกมาด้วยคงเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงสำหรับเขา ความจริงฉันก็ไม่อยากพาลูกมาหรอกแต่สถานการณ์มันบังคับ ไม่มีใครให้ฝาก ตาหนูกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่เห็นฮาน ยื่นมือไปหาเหมือนอยากเล่นกับเขา แต่ว่าฉันไม่สนใจเสียงกับท่าทางเรียกร้องของลูก ล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงวางไว้บนเตียงใกล้กับมือของฮาน “แล้วอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก” ฉันหันหลังเดินออกมาโดยที่ฮานยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ “มะ... ป๊า...” ลูกเงยหน้าขึ้น มือเล็กป้อมตีแก้มฉันเบาๆ พลางยื่นมืออีกข้างไปยังทางที่เราเพิ่งผ่านมา ท่าทางคล้ายกับอาลัยอาวรณ์ของลูกทำหัวใจฉันสั่นไหว แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ความรู้สึกอ่อนไหวมันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ถ้าเก็บมาเป็นอารมณ์ฉันก็คงแตกสลายไปตั้งแต่วันที่รู้ว่าตัวเองต้องอุ้มท้องตามลำพังแล้วล่ะ ฉันก้มหอมหัวลูก กระซิบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “กลับบ้านเรากันนะ” หลายวันต่อมา วงจรชีวิตของฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตื่นเช้ามาดูแลลูก อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เอาลูกไปฝากบ้านยายนวลภา ไปมหาลัย เสร็จก็กลับมารับลูกกลับบ้าน ที่ต่างออกไปคือมีพัสดุมาส่งที่บ้านแทบจะวันเว้นวัน ของที่ส่งมาไม่ระบุชื่อผู้ส่งทั้งหมดเป็นข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็ก ตั้งแต่นมผง เสื้อผ้า ยันของเล่น แรกๆ นึกว่าคนในบ้านสั่ง แต่พอถามกันไปถามกันมากลับไม่มีใครรู้เรื่องสักคน “ตกลงว่าใครส่งมาเหรอนี แม่ไม่สบายใจเลย” แม่เอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่งหลังจากมีพัสดุมาส่งแล้วแกะออกดูก็เห็นว่าเป็นชุดนอนเด็กแบบชุดหมีสีสันสดใสน่ารักสามสี่ชุด เนื้อผ้าก็นุ่ม ดูแล้วน่าจะใส่สบาย คงราคาแพงน่าดู ฉันยกขึ้นมาเทียบตัวลูกที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่บนโซฟา “นี... ไม่แน่ใจค่ะ” “ใช่เขาหรือเปล่า” คำถามของแม่ทิ่มแทงใจฉันอย่างบอกไม่ถูก วางชุดนอนเด็กลงทันควัน ไม่ต้องให้เอ่ยชื่อก็รู้ว่า ‘เขา’ คือใคร ตั้งแต่วันที่ฮานมาปรากฏตัวที่บ้าน ฉันเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเขามาตลอด แม้แต่แม่ฉันเองก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าการที่มีกล่องพัสดุส่งมาที่บ้านถี่ๆ แบบนี้ก็คงทำเฉยไม่ได้ “ลูกยังติดต่อกับเขาอยู่เหรอ” “เปล่าค่ะ” “แล้วทำไมของพวกนี้...” “นีไม่รู้เหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นเขาจริงๆ นีจะเอาไปคืนให้หมด” ระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังคุยกัน ก็ได้ยินเสียงบีบแตรเรียกที่หน้าบ้าน ฉันกับแม่สบตากันด้วยความสงสัย วันนี้ลุงไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนเก่า กว่าจะกลับก็คงดึก ส่วนคะนิ้งอยู่ที่บ้านยายนวลภาไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ อีกอย่างถ้าเป็นยัยนั่นคงไม่เสียเวลาบีบแตรหรอก กุญแจบ้านก็มี “เดี๋ยวนีไปดูเองค่ะ” แม่พยักหน้าก่อนป้อนข้าวตาหนูต่อ ได้ยินเสียงอ้อแอ้ไล่หลังมาพอหันกลับไปมองก็เห็นลูกยื่นมือไปทางชุดนอนที่ฉันเพิ่งจะวางลง “เอานี่เหรอครับ อะเดี๋ยวยายเอาให้นะ” แม่เห็นว่าหลานต้องการก็หยิบให้ไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าของนั่นอาจจะเป็น ‘เขา’ ที่ส่งมา ฉันมองภาพเหล่านั้น ในอกรู้สึกโหวงหวิวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นลูกชอบทุกอย่างที่เขาสรรหามาให้ยิ่งตอกย้ำรอยร้าวในจิตใจ ฉันอยากตัดขาดจากฮานแต่ในความเป็นจริงนั้นกลับมีสายใยผูกพันกัน สายใยที่เรียกว่า ‘ลูก’ พอคิดแบบนี้ทีไรทั้งสมองและหัวใจก็หนักอึ้งไปหมด “ปริ๊นซ์” ฉันชะงักกึกเมื่อเห็นคนที่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้ารั้วเหล็ก “อ้าวเพนนี” ปริ๊นซ์ยกมือขึ้นทักทายฉันด้วยท่าทางเป็นกันเอง “ลิ่วล้อเรดซันมาทำอะไรที่นี่” “ลิ่วล้อเลยเหรอ ใจร้ายว่ะ เอ้านี่” หมอนั่นโยนอะไรสักอย่างลอดช่องเหล็กเข้ามา ฉันเผลอรับอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอสิ่งนั้นเข้ามาอยู่ในมือก็รู้ว่าเป็นกุญแจรถ เดี๋ยวสิ ฉันมองมินิคูเปอร์ที่จอดอยู่ด้านหลังของปริ๊นซ์อย่างไม่ไว้ใจ “หมายความว่ายังไง” “เฮียให้เอามาส่ง ไปล่ะ” ปริ๊นซ์ชี้ไปยังรถมินิคูเปอร์ที่จอดอยู่ด้านหลัง พูดเสร็จหมอนั่นก็หันหลังเดินออกไป “เดี๋ยวสิ ปริ๊นซ์!” ฉันรีบเปิดประตูรั้วออกมา คว้าแขนเขาแล้วเอากุญแจรถยัดกลับใส่มือหนา “เอาคืนไป และก็ฝากไปบอกฮานด้วยว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา เลิกทำแบบนี้สักที” “โทษทีนะ หน้าที่ของฉันคือเอารถมาให้เธอ ถ้าอยากบอกอะไรเฮียก็ไปบอกด้วยตัวเองเถอะ อ้อ! เธอคิดจริงๆ เหรอว่าเอากุญแจคืนให้ฉันแล้วมันจะจบน่ะ” ปริ๊นซ์ดันกุญแจกลับเข้ามาในมือฉัน เขายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนลูกพี่ตัวเองไม่มีผิดก่อนเดินผิวปากออกไปอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ฉันกำกุญแจรถในมือแน่น ในอกเดือดปุด จะเอาแบบนี้ใช่ไหมฮาน ได้! ฉันกลับเข้ามาในบ้านด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “ใครมาเหรอนี” “นีจะไปข้างนอกนะแม่ ฝากดูตาหนูด้วย” ฉันพูดขณะเข้าไปเอาลังกระดาษในครัวออกมา แล้วเดินไล่เก็บของทุกชิ้นที่ได้รับมาจากพัสดุที่ไม่ระบุชื่อคนส่งลงลัง “เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” แม่มองฉันอย่างตามไม่ทัน “ภามแม่นีขอนะครับ” ฉันจับชุดนอนหมีที่วางพาดอยู่บนตักลูก ตาหนูส่งเสียงแย้งทันทีพลางสาวมือตามแต่ว่าฉันไวกว่า ยัดมันลงลังกระดาษเรียบร้อย “นีจะทำอะไรน่ะลูก” แม่เห็นหลานแล้วรู้สึกสงสาร หันมาจ้องฉันอย่างต้องการคำอธิบาย “นีจะเอาไปคืนค่ะ” ฉันบอก เดินออกมาอย่างเร่งรีบ อยากเอาของพวกนี้ไปให้พ้นสายตาลูกให้เร็วที่สุด “เดี๋ยวนี! เหลือไว้สักตัวไม่ได้เหรอ” “แม่!” คำพูดของแม่ทำให้ฉันหันขวับ มองตอบสายตาของแม่อย่างไม่เข้าใจ “นีจะเอาไปคืนใคร” “แม่ก็รู้ว่าใคร” “ไหนบอกว่าไม่รู้ไง” “ตอนนี้นีมั่นใจแล้ว” แม่มองลึกเข้ามาในตาฉันนิ่ง เหมือนอยากจะถามแต่ก็เป็นคำถามที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เสียงกริ่งหน้าบ้านเมื่อครู่คือต้นเหตุที่ทำให้ฉันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม่หันกลับไปมองหลาน แล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ ไม่สิแม่ขัดใจหลานไม่ได้มากกว่า “แม่ก็ไม่ชอบนักหรอกนะที่ผู้ชายคนนั้นทำตามอำเภอใจ แต่ภามท่าทางชอบชุดนั่นมากจริงๆ” น้ำเสียงของแม่กับแววตากลมแป๋วของลูกทำฉันใจอ่อนยวบ สุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหว หยิบชุดนอนหมีตัวนั้นออกมาคืนให้ลูก ทันทีที่เห็นตาหนูก็ยิ้มกว้างพลางเอื้อมมือมารับอย่างลิงโลด อะไรกัน ท่าทางระริกระรี้จนอดที่จะมันเขี้ยวไม่ได้ ขณะเดียวกันก็นึกโกรธที่ลูกชอบทุกอย่างที่ฮานหามาให้ทั้งๆ ที่ฮานไม่เคยอยู่กับพวกเราเลย สายใยพ่อลูกงั้นเหรอ เหอะ อย่าทำให้ขำหน่อยเลย ฉันไม่มีวันยอมรับเรื่องนั้นเด็ดขาด “นีไปนะแม่” “แล้วนีไม่เอารถไปเหรอ” แม่เหลือบมองกุญแจรถที่ยังห้อยอยู่ที่เดิม ขณะที่ฉันเดินมาถึงประตูบ้านแล้ว “เดี๋ยวนีนั่งแท็กซี่กลับ” ฉันบอกแค่นั้น สวมรองเท้าได้ก็รีบเดินออกมาขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้หน้ารั้วบ้าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD