ตอนที่ 6 แม่ผัวเรื่องมาก
อู๋ชิวอิ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะตุบๆ แต่ที่มากกว่านั้นเห็นจะเป็นบั้นเอวที่ขยับเพียงนิดเดียวก็ราวกับร้าวระบบเอามากๆ นางเปิดเปลือกตาขึ้นมองหลังคาเตียงใหญ่ จากนั้นหันมองคนที่ยังนอนอิงแอบอยู่ข้างกาย แผ่นอกเปลือยเปล่านั้นมีรอยข่วนแดงอยู่หลายรอย นางรู้ว่าเป็นฝีมือตัวเองตอนที่อารมณ์ร้อนรุ่มพุ่งสูงจนควบคุมสติไม่อยู่จึงเผลอลงไม้ลงมือกับเขาไป
“ตื่นแล้วหรือ?” อยู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น เสียงเอ่ยถามงัวเงีย
“ไม่เช้าแล้ว ลุกขึ้นไปคารวะท่านแม่กันเถอะเจ้าค่ะ”
“หากเจ้าเหนื่อยก็นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ” เขาดึงนางมากอดกระชับไว้
“ค่อยกลับมานอนก็ยังได้” นางผลักอกเขาอย่างไม่ยินยอม จากนั้นหันไปหาเสื้อผ้า เห็นเสื้อนอนอยู่ปลายเตียงจึงรีบลุกขึ้นไปใส่ ดึงม่านเตียงเปิดด้วยใบหน้ายับย่นเพราะปวดเนื้อตัวไปหมด
“เช่นนั้นก็เรียกสาวใช้ยกน้ำเข้ามาเถอะ” หลิวเต๋อหมิงดึงกายขึ้นนั่ง เขาเองก็ใส่เสื้อแล้วแต่ไม่ได้ผูกเชือก สาบเสื้อจึงแบะออก นั่งรอให้สาวใช้ยกน้ำเข้าไปเติมในถัง สายตามองตามอู๋ชิวอิ่งที่เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวนุ่มลื่นถูกเจ้าตัวขมวดเป็นมวยสูงกลางศีรษะจากนั้นเดินกลับมาข้างกายเขาและเริ่มขมวดมวยผมให้เขาบ้าง
หลิวเต๋อหมิงลุกขึ้น จูงมือหญิงสาวเดินไปทางห้องอาบน้ำด้วยกัน ตอนนี้สาวใช้ทั้งสี่ของอู๋ชิวอิ่งเข้ามาเก็บเตียงและตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้นางแล้ว
ทั้งสองอาบน้ำพร้อมกัน เช็ดตัวแห้งแล้วก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ อู๋ชิวอิ่งเห็นอู๋เอ๋อเตรียมชุดสีฟ้าอมม่วงไว้ให้นางอย่างรู้ใจ ชุดเป็นแบบป้ายข้างแขนกว้าง ใช้แทบผ้ากว้างหนึ่งคืบรัดเอวขับเน้นให้เห็นเอวเล็กอ้อนแอ้นกับหน้าอกอวบอิ่มงามตา ลายปักที่กระโปรงเป็นกิ่งดอกจื่อถงหลัวด้วยด้านสีเงิน ก้านดอกยาวห้อยลงมาจากช่วงเอว ยิ่งขับเน้นให้กระโปรงสวยงามและอ่อนหวาน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนางนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้งให้อู๋ชิงเกล้าผมให้ ในบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งทั้งสี่คนนี้ อู๋ชิงมีฝีมือเกล้าผมดีงามที่สุดแล้ว
อู๋ชิงแบ่งผมสามช่อ เกล้ามวยใหญ่ไว้ตรงกลางเหนือศีรษะ อีกสองขมวดทบข้างอ้อมปลายไปเก็บไว้อีกด้าน อู๋ชิวอิ่งกำลังรับขี้ผึ้งหอมจากอู๋ซิวทาสองมือ อู๋ถงกำลังเปิดกล่องเลือกเครื่องประดับอยู่ด้านข้าง นางเลือกหยกประดับเอวและถุงหอมมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเปิดอีกกล่องหนึ่งเพื่อเลือกเครื่องประดับผม
หลิวเต๋อหมิงเดินเข้ามาหา เขาเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เป็นชุดสีขาวทั้งชุดแบบแขนกว้างคอเสื้อขลิบด้วยผ้าไหมสีเทาอ่อนปักลายเมฆ ผ้าคาดเอวแบบแคบสีเข้มประดับหยกขาวเข้าชุด ส่งให้ร่างสูงโปร่งดูน่ามองในทุกย่างก้าว เพียงแต่เขายังไม่เกล้าผม เขาเดินมาหานางพร้อมกับกวานหยกขาวในมือทำท่าจะให้พวกนางเกล้าผมให้
“ท่านพี่นั่งรอก่อน อีกสักครู่ข้าจะหวีผมให้”
หลิวเต๋อหมิงยิ้มให้นางแล้วไปลากเก้าอี้มานั่งลงข้างนาง อู๋ถงรีบถอยหลบอย่างรู้ที่ทางเมื่อเขายื่นมือไปดึงกล่องเครื่องประดับของอู๋ชิวอิ่งมาดู มองอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น “ไปหยิบกล่องลงรักแดงในตู้นั้นมา” เขาสั่งและชี้ไปยังตู้สามชั้นข้างตู้เก็บเสื้อผ้ากับอู๋ถง อีกฝ่ายรีบไปเอามาส่งให้ เขาเปิดกล่องดูและเลือกเครื่องประดับในนั้นออกมาชุดหนึ่ง เป็นดอกไม้ทองประดับหยก เข้ากับปิ่นทองสองขาอีกสองอันที่เป็นรูปผีเสื้อห้อยด้วยสร้อยสามเส้น ปลายสร้อยประดับเม็ดมุก เครื่องประดับชุดนี้งดงามประณีตและเหมาะกับชุดของนางมาก แม้เครื่องประดับจะเป็นทอง แต่ด้วยรูปแบบจึงดูแล้วเหมาะกับนางอย่างยิ่ง
รออู๋ชิงเกล้าผมให้นางเสร็จ หลิวเต๋อหมิงจึงติดดอกไม้ประดับให้นางพร้อมปักปิ่นทั้งสองให้ จากนั้นก็พิศมองนางอยู่ชั่วขณะก่อนกลับไปหยิบต่างหูออกมาเกี่ยวเข้าที่ติ่งหูเล็กของนาง กำไลหยกอีกสองวงก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“งามมาก” เขามองดูใบหน้างามที่แต่งแต้มแป้งบางเบากับริมฝีปากแดงฉ่ำยิ่งดูแล้วยิ่งงดงาม
สาวใช้ทั้งสี่ไม่กล้าส่งเสียงจึงได้แต่มองเจ้านายทั้งสองยิ้มๆ และจัดเก็บข้าวของอย่างเบามือ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากประตู คนทั้งหมดจึงหันไป เห็นจูอีซินในชุดสีชมพูอ่อนเนื้อผ้าดีพอประมาณกำลังเดินเข้ามา เมื่ออีกฝ่ายเห็นทุกคนมองมาจึงยอบกายคารวะแบบสาวใช้ทั่วไปก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“บ่าวมาเกล้าผมให้นายท่านเจ้าค่ะ”
“อาชิว” หลิวเต๋อหมิงเรียกขึ้นเสียงเบา
อู๋ชิวอิ่งลุกขึ้น ดึงเขาให้นั่งลงยังที่ของตนและรับหวีจากอู๋เอ๋อ “เจ้าถอยออกไปเถอะ ข้าจะหวีผมให้ท่านพี่เอง” นางเอ่ยไม่มองหน้าจูอีซินสักนิด ค่อยๆ สางผมที่นุ่มลื่นมืออย่างผิดคาดของสามี เห็นเงาสะท้อนในกระจกว่าเขากำลังส่งยิ้มให้นางอยู่ นางจึงยิ้มกลับแล้วตั้งใจหวีผมเกล้าเป็นมวยไว้กลางศีรษะให้อย่างเบามือและชำนาญมาก จากนั้นประดับกวานหยกให้ ประดับหยกและถุงหอมอีกเล็กน้อยทั้งสองก็พร้อมไปเรือนของหลิวฮูหยินแล้ว ก่อนเดินออกจากเรือนอู๋ชิวอิ่งเหลือบตามองจูอีซินที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังสาวใช้ทั้งสี่ของนางด้วยใบหน้าเรียบเฉยแล้วหันไปคล้องแขนสามี พากันเดินไปยังเรือนเซียวเซียง
เรือนเซียวเซียงอยู่ทางทิศเหนือของจวน ใช้เวลาหนึ่งเค่อกว่าจะถึง สาวใช้ที่รอต้อนรับอยู่ด้านนอกคือเหมยเหนียง นางเป็นสาวใช้วัยยี่สิบกว่าๆ ที่มีอำนาจรองลงมาจากซ่งมามาที่เป็นสาวใช้ข้างกายหลิวฮูหยิน อย่าเห็นว่าเหมยเหนียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาพูดน้อยยิ้มมาก แต่นางกลับเป็นพวกประจบคนมีอำนาจ แอบรังแกคนอ่อนแอ ชาติก่อนเหมยเหนียงก็ทำเรื่องไว้มากมายที่อู๋ชิวอิ่งต้องแก้ลำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเหมยเหนียงคือศัตรูตัวเล็กๆ ลำดับที่สองของอู๋ชิวอิ่งเช่นกัน
อู๋ชิวอิ่งยิ้มมุมปากขณะก้มหน้าน้อยๆ เมื่อเดินใกล้ถึงอีกฝ่ายนางเงยหน้าขึ้น ปล่อยแขนสามีและยิ้มให้เหมยเหนียง
“นายท่าน ฮูหยินน้อย ฮูหยินรออยู่ด้านในแล้วเจ้าค่ะ”
หลิวเต๋อหมิงโอบเอวอู๋ชิวอิ่งให้เดินเข้าไปพร้อมกัน ในโถงมีหลิวฮูหยินกับหลิวเป่าหลิงกำลังคุยกันอยู่ เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา หลิวฮูหยินยิ้มให้บุตรชายจากนั้นชายตามองสะใภ้และสะบัดหน้าจากไป
“ชิวอิ่งคำนับท่านแม่ พี่หญิง”
“เมื่อคืนงานเลี้ยงเลิกช้าแล้ว วันนี้พวกเจ้าน่าจะพักผ่อนอีกสักหน่อยนะ” เห็นสีหน้าอิดโรยเล็กน้อยของน้องสะใภ้ หลิวเป่าหลิงก็เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ การมาคำนับท่านแม่และพี่หญิงทุกเช้าเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
“ข้ารอเจ้าจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด มีที่ไหนให้ผู้อาวุโสต้องทนหิวอยู่อย่างนี้”
“ลูกสะใภ้ผิดไปแล้ว พรุ่งนี้จะไม่สายอีกเจ้าค่ะ” อู๋ชิวอิ่งตอบฉะฉานไม่ได้เกรงกลัวท่าทีของแม่สามีสักนิด
หลิวเต๋อหมิงมองอยู่เงียบๆ มิได้พูดอะไร จากนั้นก็ประคองมารดาเดินไปที่โต๊ะอาหาร หลิวฮูหยินนั่งลงแล้วก็ดึงบุตรชายให้นั่งลงด้านข้าง อีกข้างหนึ่งก็ให้บุตรสาวนั่ง หลิวเต๋อหมิงจึงพยักหน้าให้อู๋ชิวอิ่งนั่งลงข้างเขา นางก็นั่งลงอย่างว่าง่าย
“มิใช่เจ้าต้องปรนนิบัติข้าหรอกหรือ” น้ำเสียงประชดประชันดังขึ้น
หลิวเต๋อหมิงกำลังจะเอ่ยปากกลับมีมือข้างหนึ่งวางลงที่ต้นขาเขา จากนั้นมือเล็กขาวนั้นตบลงมาเบาๆ สองครั้ง เจ้าของมือก็ลุกขึ้น เดินอ้อมไปด้านหลังของหลิวฮูหยิน จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก หลังล้างมือเสร็จก็เริ่มกินอาหาร อู๋ชิวอิ่งรู้ความชมชอบของแม่สามีมาก่อน นางจึงมักคีบอาหารที่อีกฝ่ายกินบ่อยๆ
“ข้าเกลียดต้นหอม” ต้นหอมที่ว่านั้นคือต้นหอมที่ติดอยู่บนเนื้อหมูชิ้นเล็กที่ทำเป็นกับข้าวเครื่องเคียงกินกับโจ๊กข้าวฟ่าง
อู๋ชิวอิ่งคีบต้นหอมสองท่อนเล็กนั้นออกไป จากนั้นหันไปคีบเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่งวางในชามใบเล็กด้านข้างแม่สามี อีกฝ่ายเหลือบมองครั้งหนึ่ง “คำใหญ่เกินไป เจ้าจะให้ข้ากัดเสี่ยวลงเปาร้อนๆ อย่างนั้นหรือ ลวกปากพอดี”
อู๋ชิวอิ่งจึงใช้ตะเกียบคีบแบ่งเสี่ยวหลงเปาลูกนั้นเป็นสองคำทันที จากนั้นก็เริ่มตักน้ำแกงหวานร้อนๆ ให้แม่สามีใช้ล้างคออย่างทุกครั้งที่ทานอาหาร
หลิวฮูหยินกินไปอีกไม่กี่คำก็ดื่มน้ำแกง เช็ดปากดีแล้วก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ไม่ทันไรก็วางถ้วยลงดังกึก “เย็นแล้ว!”
อู๋ชิวอิ่งหันไปมองที่โต๊ะเล็กด้านหลัง เดินไปเทชาลงถ้วยใบใหม่ ยกขึ้นเป่าสองสามครั้งแล้วปิดฝานำมาส่งให้หลิวฮูหยิน อีกฝ่ายรับมาเปิดฝาดื่มไม่พูดอะไรอีก
หลิวเต๋อหมิงแตะที่ถ้วยชาที่ยังร้อนของตัวเองอยู่แล้วไม่พูดอะไร เพียงแต่อาหารมื้อนี้เขากินอย่างอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ทนจนจบมื้อ หลังจากมื้ออาหารหลิวเป่าหลิงกำลังประคองมารดาเดินจากไปแต่นางขืนตัวไว้
“ฟังว่าเจ้าไปวัดสือหลินกับแม่ของเจ้าบ่อยๆ คัดพระสูตรมาให้ข้าสักเล่มก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะใช้พระสูตรนั้นยามสวดมนต์” กล่าวจบก็กระตุกมือบุตรสาวให้ออกเดิน
หลิวเต๋อหมิงมองตามแผ่นหลังมารดาไป จากนั้นก็ก้มมองอู๋ชิวอิ่ง กำลังจะยกปากพูดนางก็จับมือเขาเสียก่อน “กลับไปกินมื้อเช้าเสร็จข้าจะคัดพระสูตรให้ท่านแม่ ท่านพี่ต้องเข้าไปที่จวนว่าการหรือไม่เจ้าคะ”
“วันนี้ไม่เข้า” เขาดึงมือออกจากมือเล็กนุ่มนิ่ม เปลี่ยนมาเป็นโอบเอวนาง พากันเดินกลับไปยังเรือนอี้ฮวน “รีบกลับเถอะ เจ้าหิวหรือไม่”
“ไม่เท่าไร”
“ท่านแม่ถูกตามใจจนเคยตัว ตั้งแต่เสียท่านพ่อไป ข้ากับพี่หญิงก็รู้สึกว่าท่านแม่อารมณ์แปรปรวนไปไม่น้อยจึงพยายามเอาใจใส่นางมากไปจนเหมือนตามใจนางจนนางคิดว่าทุกคนต้องเอาใส่นางเท่านั้น”
“ข้าเป็นลูกสะใภ้ เอาใจแม่สามีบ้างจะเป็นอะไรไป ข้ารู้ว่าท่านพี่อึดอัดใจ คนหนึ่งก็มารดา คนหนึ่งก็ภรรยา แต่ท่านอย่าได้คิดมากไปเลย ข้าจะทำให้เต็มที่ ท่านแม่ย่อมใจอ่อนเข้าสักวัน ข้าไม่เหนื่อย ข้าเต็มใจทำ จะดูแลท่านพี่ ปรนนิบัติท่านแม่ เอาใจใส่พี่หญิงและดูแลจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในเรือนอย่างดี นี่เป็นหน้าที่ของข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มอ่อนหวานให้สามี
หลิวเต๋อหมิงยิ้มรับ กระชับแขนโอบเอวนางให้แน่นขึ้น ฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นเพื่อจะให้นางได้กินมื้อเช้าเร็วสักหน่อย หลังถึงเรือนเขาให้พวกสาวใช้ตั้งสำรับและออกไปสั่งความกับสาวใช้ของนางแล้วกลับมานั่งเป็นเพื่อนนาง คอยคีบอาหาร ตักน้ำแกงให้ ดูแลจนนางกินเสร็จ จากนั้นก็พานางไปเดินย่อยอาหารในสวน ไม่นานก็พากันกลับมาในเรือน เดินเลยไปยังห้องหนังสือปีกข้าง
“ห้องนี้มีหนังสือไม่มาก เครื่องเขียนมีพร้อม เจ้าสามารถใช้ห้องนี้จัดการงานทุกอย่างได้”
“ท่านพี่ยกห้องนี้ให้ข้า?”
“ห้องนี้ยกให้เจ้า” เขากดไหล่นางให้นั่งลงหลังโต๊ะทำงาน บีบบ่าบางของนางด้วยสองมือแล้วก้มลงไปหอมแก้มนาง “อาชิว หากเหนือบากกว่าแรง ข้าจะพูดกับท่านแม่ให้”
“ไม่ต้อง ข้าไม่อยากให้ท่านพี่กับท่านแม่มีปัญหากันเพราะข้า ท่านพี่วางใจเถอะ” นางดึงมือเขามากุมไว้แล้วเริ่มกวาดตามองบนโต๊ะ มีแท่นแขวนพู่กัน มีพู่กันหลายขนาด ล้วนเป็นของใหม่ แท่นฝนหมึกที่ไม่เคยผ่านการใช้ มีโถล้างพู่กันและสมุดเล่มหนึ่งพร้อมให้นางคัดพระสูตรแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ข้าสั่งให้สาวใช้ของเจ้ามาจัดให้เมื่อสักครู่ ขาดเหลืออะไรก็ถามเอาจากจูอีซิน ในห้องทำงานของข้ามีทุกอย่าง... จูอีซินนางเป็นสาวใช้ที่ติดตามข้ามาจากเมืองหลวง รับใช้ข้างกายข้ามาหลายปีแล้ว”
“อือ” อู๋ชิวอิ่งหลุบตาและพยักหน้าเบาๆ
จูอีซิน!
จากนั้นช่วงเช้าของอู๋ชิวอิ่งก็หมดไปกับการคัดพระสูตรหนึ่งเล่ม จริงๆ พระสูตรเล่มนี้นางคัดไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว วันที่นางออกเรือนก็คิดไว้แล้วว่าหลังแต่งงานต้องเจออะไรบ้าง แล้วก็ไม่ผิดจากชาติที่แล้วสักนิด มีสามียังเรื่องมากและคอยหางานมาให้นางทำไม่เลิกรา หนึ่งในนั้นคือการคัดพระสูตร นางพยายามหาเวลาว่างอันน้อยนิดในช่วงเข้าหอกับสามีมาแอบคัดพระสูตรเล่มนี้ไปได้กว่าครึ่งแล้ว สาวใช้ทั้งสี่ของนางไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดความตั้งใจของนาง
“ดีที่นายหญิงเริ่มคัดพระสูตรมาหลายวันแล้ว ไม่เช่นนั้นจะคัดพระสูตรภายในวันเดียวเสร็จได้อย่างไรกัน” อู๋ถงหน้าบึ้งมาตั้งแต่รู้ว่าหลิวฮูหยินไม่ยอมให้นายหญิงของตนร่วมโต๊ะอาหารด้วยแล้ว
“เหมือนหลิวฮูหยินจะไม่ชอบนายหญิงหรือเจ้าคะ” อู๋ซิวก็หน้าบึ้งไม่ต่างกัน
“นายหญิงของเราดีขนาดนี้หลิวฮูหยินมีอะไรไม่ชอบอีก” เป็นอู๋ชิงคนปากหวานเอ่ยอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน
อู๋เอ๋อที่กำลังฝนหมึกอยู่เหลือบตามองทั้งสามคน จากนั้นก็มองนายหญิงของตนที่ก้มหน้าก้มตาคัดพระสูตรอย่างตั้งใจ “พวกเจ้าเงียบเสียงหน่อยเถอะ อย่าทำลายสมาธินายหญิง หากนายหญิงเขียนผิดไปสักตัวก็ต้องเริ่มเขียนใหม่ พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเสีย”
ทั้งสามมองนายหญิงของตนครั้งหนึ่ง เห็นกำลังตั้งใจคัดพระสูตรโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจก็ไม่กล้าปากมากอีก พากันถอยไปนั่งปักผ้าเช็ดหน้าและถุงหอมอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องหนังสือนั้นเอง
“อู๋เอ๋อคนดี เจ้าอย่าได้ตำหนิพวกนางมากไปเลย พวกนางอายุน้อยกว่าเจ้า สายตาไม่ได้ยาวไกลและไม่ได้ฉลาดเช่นเจ้าหรอกนะ แต่พวกนางเป็นแบบนี้สิที่ข้าชอบ แน่นอนว่าชอบเจ้ามากด้วย”
อู๋เอ๋อถอนใจคราหนึ่งแล้วฉีกยิ้มให้นายหญิงจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก นายบ่าวทำงานของตัวเองไปเงียบๆ จนกระทั่งเที่ยงวันแล้วอู๋ชิวอิ่งถึงวางพู่กันลง พระสูตรเสร็จสิ้นในที่สุด อู๋เอ๋อเป่าหมึกให้แห้งและนำไปเก็บลงในกล่องแกะสลักลงรักที่ด้านในบุผ้าไหมต่วนสีม่วงไว้
อู๋ชิวอิ่งบิดขี้เกียจอยู่หลายครั้งก่อนจะล้างมือและรับผ้าที่ชุบน้ำอุ่นบิดหมาดจากมืออู๋ชิงมาซับใบหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้น พาสาวใช้ทั้งสี่เดินออกจากห้องหนังสือไปยังห้องส่วนหน้า นั่งลงที่ตั่งตัวใหญ่ริมหน้าต่าง อู๋ถงรีบไปชงชามาหนึ่งกา จิบชาไปอึกหนึ่งอย่างผ่อนคลาย
“จะให้ตั้งสำรับเลยหรือไม่เจ้าค่ะ”
“รอท่านพี่ก่อน” นางหันมองไปนอกหน้าต่าง นี่ก็กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศไม่ร้อนอบอ้าวอีก ข้างหน้าต่างเห็นใบไม้เหลืองแห้งปลิดปลิวสู่พื้นดินใบแล้วใบเล่า ไม่นานหลิวเต๋อหมิงก็เดินเข้ามา ด้านหลังมีจูอีซินตามมาด้วย ในอ้อมแขนนางมีกล่องใบหนึ่ง คาดว่าเป็นกล่องเครื่องประดับ เขารับกล่องใบนั้นมายื่นให้นางและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกันบนตั่ง
“เจ้าเปิดดูสิ”
อู๋ชิวอิ่งเปิดกล่องดู ด้านในมีทับทิมแวววาวเต็มกล่องนอนนิ่งให้คนเชยชม
“ชอบหรือไม่”
“ชอบ ขอบคุณท่านพี่”
หลิวเต๋อหมิงมองรอยยิ้มของนางแล้วก็ยิ้มตาม ขณะที่รับถ้วยชาจากอู๋เอ๋อแล้วก็ดื่มไปอึกหนึ่ง เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วหันมองอู๋เอ๋อ “สาวใช้ของอาชิวชงชาได้ดี”
“ล้วนเป็นนายหญิงสอนพวกเราทั้งสี่ชงชาเจ้าค่ะ หากจะยกความดีก็ต้องยกให้นายหญิงแล้ว” อู๋เอ๋อตอบอย่างนอบน้อม
เพราะอู๋ชิวอิ่งรู้ว่าเขาชอบชาหลงจิ่นมาก ยิ่งเป็นใบชาที่เก็บก่อนหน้าฝนเขาจะยิ่งชอบ วิธีชงชาเขาก็เป็นคนสอนนางเองเมื่อชาติก่อน
อู๋ชิวอิ่งหยิบทับทิมขึ้นมาดูและเล่นมันเงียบๆ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับพองาม ผิวขาวผ่องใส ใบหน้าอ่อนเยาว์ ทั้งกลิ่นหอมติดกายอ่อนๆ ล้วนเป็นสิ่งที่หลิวเต๋อหมิงชมชอบนัก นางรู้ และรู้ดีมาก ทับทิมกล่องนี้เขาคงเอาออกมาจากห้องคลังส่วนตัวเพื่อปลอบใจที่นางถูกมารดาของเขากดดันเป็นแน่
“รอให้ว่างก่อนข้าจะเอาทับทิมนี้ไปทำเครื่องประดับใส่ตอนปีใหม่ ท่านพี่ว่าเป็นอย่างไร”
“ได้ ไปพรุ่งนี้ก็ได้ ข้าต้องเข้าไปที่จวนว่าการแล้ว แต่จะทิ้งหลิวตงไว้ให้พาเจ้าไปทำความรู้จักที่ทางในเมืองไว้”
“ขอบคุณท่านพี่” นางลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างเขาและหอมแก้มเขาครั้งหนึ่ง
พูดคุยกันอีกพักทั้งสองก็กินมื้อเที่ยงกันและเข้าไปงีบหลับยามบ่าย อู๋ชิวอิ่งคิดว่าจะได้นอนเอาแรงดีๆ กลับถูกสามีผู้เร่าร้อนทาบทับเสียได้ พวกสาวใช้ออกไปหมดแล้ว ประตูปิดสนิท ม่านเตียงทั้งสี่ด้านถูกปลดตามด้วยเสื้อผ้าของทั้งสอง ร่างเปลือยเปล่าเย็นชืดของนางร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
“ท่านพี่จะทำอีกแล้วหรือ”
เขายิ้ม ไม่ตอบและลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดึงนางขึ้นมานั่งคร่อมตักเขา อู๋ชิวอิ่งคล้องคอเขาไว้ด้วยสองแขน มองใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่กำลังก้มมองเต้าอวบอิ่มของนาง อู๋ชิวอิ่งจึงแนบลำตัวกับแผ่นอกเขา บดเบียดเต้าอวบสองข้างกับผิวเนื้อแข็งตึงนั้นอย่างยั่วเย้า “ท่านพี่ชอบหรือไม่”
“อือ” เขาขานตอบเสียงหนึ่งแล้วเริ่มซุกใบหน้ากับซอกคอนาง ริมฝีปากขบเม้มเนื้อลำคอ ไต่ขึ้นมาถึงติ่งหู ดูดดึงจนมันแดงก่ำและแลบลิ้นเลียเข้าไปในรูหู ลมหายใจอุ่นจัดเริ่มเปลี่ยนจังหวะเป็นถี่เร็ว
อู๋ชิวอิ่งรับรู้ได้ถึงท่อนเนื้อที่แข็งขึงอยู่ที่สะโพก นางจึงเอื้อมมือไปด้านหลัง คว้าหมับท่อนลำ กุมมันไว้แล้วเริ่มสาวรูดเบาๆ จนได้ยินเสียงครางแหบต่ำของเขา
เขาเองก็ไม่ยอมแพ้นาง เลื่อนมือผ่านเอวคอดกิ่วลงไปยังสะโพกลื่นมือ ต่ำลงไปหาทางรักที่ฉ่ำแฉะเล็กน้อย หยอกเย้ามันจากทางด้านหลัง ปลายนิ้วก็เริ่มเปียกชื้นขึ้นมาทันใด เขาสอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางอุ่นจัดนั้นตื้นๆ ดึงนิ้วเข้าออกไม่นานก็รู้สึกว่าไม่สะใจจึงดันกายนางให้ออกห่างเล็กน้อย ก้มลงอ้าปากครอบยอดอกสีชมพูระเรื่อ ดูดดุนด้วยความเร่าร้อน เสียงดูดเลียดังจ๊วบจ๊าบฟังแล้วหยาบโลนไม่น้อย
“อาชิว จับมันใส่เข้าไป” เขาสั่งเสียงแหบต่ำ อู๋ชิวอิ่งรู้ดีว่าเขามีอารมณ์มาก นางจึงทำตามที่เขาสั่ง ค่อยๆ จับท่อนลำตั้งตรงและทิ้งสะโพกนั่งทับ เสียงครางสองเสียงจึงดังขึ้น
อู๋ชิวอิ่งเห็นเขาเอาแต่ฟ้อนแฟ้นสองเต้าของนางอย่างเมามัน นางก็เลยเริ่มขยับสะโพกเสียเอง ตอนแรกก็ติดขัดอยู่บ้าง แต่เมื่อทำไปหลายครั้งเข้านางกลับพลิ้วไหวเอวอ่อนเสยสะโพกรับท่อนเนื้ออย่างชำนิชำนาญ จังหวะเริ่มถี่เร็วจนหลิวเต๋อหมิงรู้สึกเสียวซ่านต้องปล่อยปากออกจากเต้ามาส่งเสียงครางสั่นพร่า
สองเต้าที่ได้อิสระกระเด้งกระดอนยั่วตาเขาอย่างจัง ใบหน้าเขาเคลิ้มลอยและสองมือกุมเอวเล็กอ่อนนุ่มไว้มั่น เขาปล่อยให้นางควบขี่ได้อย่างใจ อยู่นิ่งๆ เป็นผู้รับอย่างเต็มที่ “อาชิว เร็วอีกได้หรือไม่”
“อือ อา” อู๋ชิวอิ่งเร่งจังหวะ สองมือนางวางอยู่บนบ่าเขาเพื่อช่วยพยุงกาย สองเข่าหยัดมั่นข้างตัวเขา สะโพกพลิ้วไหวเสยไปด้านหน้าจังหวะถี่เร็ว เสียงโหนกเนื้อกับท้องน้อยของเขากระทับกันดังพับๆ ไม่หยุด
น้ำหวานหลั่งรินเปื้อนต้นขาของคนทั้งสอง กลิ่นชะมดเริ่มอบอวลในม่านมุ้ง เหงื่อซึมจนกายชื้น แต่กระนั้นก็ไม่อาจห้ามปรามการขยับโยกกายของร่างงามได้ นางตั้งใจทำเต็มที่ แม้จะออกแรงจนเหนื่อยหอบแต่ที่ได้มาคือความกระสันเสียวในท้องน้อยวูบวาบไปหมด ทั้งบุปผาเร้นลับก็เสียดสีกับท่อนเนื้อให้ความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่หมดแต่มันรู้สึกดีมาก จึงยิ่งขยับสะโพกให้ถี่เร็วขึ้นไปอีก สองมือเปลี่ยนมาโอบรอบคอเขา ใช้สองเท้ายันที่นอนแทน ทำท่าคล้ายลิงน้อยโหนอยู่บนตักมารดา แต่ที่ตามมาคือจังหวะกระแทกใส่รัวเร็ว
“อาชิว อา แบบนั้น เด็กดี โอว” หลิวเต๋อหมิงครางกระเส่า เขารู้สึกดีมากจนเผลอบีบเอวนางไปหลายครั้ง เนื้อนวลขึ้นสีแดงเรื่อมาทันใด
อามรมณ์เตลิดไปไกลเกินกู่กลับ เขาประคองสะโพกนางไว้ด้วยสองมือ ช่วยออกแรงให้นางขยับโยกจังหวะได้เร็วและรุนแรงขึ้น อู๋ชิวอิ่งก็พอใจมากที่เขาให้ความร่วมมือ นางยิ่งเร่งเร้าจังหวะตอกอัดร่องรักลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถึงกับหน้าหงายเด้งสะโพกขึ้นรับจังหวะรัวเร็วของนางไม่หยุด ความสุขสมใกล้เข้ามาแล้ว
“อูย อาชิว เร็วเข้า เร็วอีก อือ” เขาเสียงสั่นหอบหายใจหนักพร้อมเสยสะโพกขึ้นรับรัวเร็วพร้อมกับสองมือขยำสะโพกนุ่มราวก้อนเต้าหู้อ่อนไว้แน่น
“อา อือ” อู๋ชิวอิ่งกายสั่นกระตุก ใบหน้าฉายชัดคล้ายเจ็บปวดรุนแรง สองมือกำเป็นหมัด ตัวเกร็งแน่นหายใจพะงาบๆ คล้ายจะทานทนไม่ไหว สุดท้ายจึงกรีดร้องเพราะสุขสมถึงขีดสุด ภายในร่องรักกระตุกตอดถี่ยิบ พร้อมกับเสียงครางอาๆ ดังลากยาว
หลิวเต๋อหมิงเองก็เสยสะโพกขึ้นหนักหน่วงหลายครั้งและกดเอวนางให้แนบติดต้นขาเขาไว้แน่น ธารอุ่นจัดถูกปลดปล่อยเข้าไปในบุปผาเร้นลับ มันฉีดพุ่งเข้าไปรุนแรงคล้ายถูกกักเก็บมานาน ทั้งอุ่นจัด ทั้งมากจนล้นเลอะต้นขาตัวเองและนาง กลิ่นอบอวลขุ่นข้น
สองร่างกอดกันเนิ่นนาน ลมหายใจหอบหนักค่อยๆ สงบลง สองกายชื้นเหงื่อยังอิงแอบแนบชิด อู๋ชิวอิ่งวางศีรษะไว้กับบ่าเขารับสัมผัสจากมือเขาที่ยังลูบไล้แผ่นหลังนางแผ่วเบาอยู่หลายครั้ง ใบหน้าเขาก้มลงมาถูไถกับไหล่เล็กของนางอยู่ครู่ใหญ่ เขายกใบหน้าขึ้น มองใบหน้างามหวานล้ำที่ซบเขา นางกำลังพริ้มตาหลับ ริมฝีปากสีระเรื่อเผยอน้อยๆ เขาอดใจไม่ไหวก้มลงไปจุมพิต บดเคล้าริมฝีปากเข้าด้วยกัน ปลายลิ้นแทรกเข้าไปตวัดกวาดต้อนความหอมหวานในปากนาง จุมพิตนี้ไม่ได้เร่าร้อน แต่หวานละมุนค่อยๆ คลอเคล้ากันอยู่เนิ่นนาน
เขาถอนปากออกอย่างแสนเสียดาย “อาชิวเก่งเหลือเกิน” สองมือประคองใบหน้านางไว้ หัวแม่มือลูบแก้มนางหลายที ตาสองคู่ประสานกัน ประกายตาวาวฉ่ำยังอยู่ในอารมณ์รักอันหอมหวาน