ตอนที่ 5 ฮูหยินท่านเจ้าเมือง

4068 Words
  ตอนที่ 5 ฮูหยินท่านเจ้าเมือง                 ขบวนรถม้าเดินทางจากเมืองหลวงถึงเสียนหยางใช้เวลาเกือบสามวัน วันที่สามหลังเที่ยงไปแล้ว ขบวนเข้าประตูเมืองไป บ้านเมืองแม้ไม่มีระเบียบงดงามเหมือนในเมืองหลวงมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นเมืองที่ใหญ่พอประมาณ บ้านเรือนล้วนปลูกสร้างคล้ายในเมืองหลวง ถนนเส้นหลักกว้างกว่าห้าสิบเก้า รถม้าสามารถวิ่งสวนกันได้หลายคัน ผ่านป้อมประตูมาก็คึกคักเพราะมีร้านค้าเต็มสองข้างทาง             รถม้าค่อยๆ ขับผ่านถนนที่คึกคัก บ้านเรือนร้านค้ามากมาย และในที่สุดก็ขับผ่านที่ว่าการไปทางตะวันออก หลิวเต๋อหมิงบอกอู๋ชิวอิ่งไว้ก่อนแล้วว่าเขาไม่ได้พักยังจวนที่ว่าการ เป็นเพราะซูซื่อหรือหลิวฮูหยินไม่ชอบ บอกว่าแคบ อึดอัด หลิวเต๋อหมิงจึงซื้อคฤหาสน์ไว้อีกหลังหนึ่งเป็นที่พักอาศัย เรื่องนี้เขาไม่ต้องบอกนาง นางก็รู้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว แม่สามีผู้นี้ค่อนข้างเจ้าระเบียบและเอาแต่ใจ ซ้ำยังจิตใจคับแคบ แทนที่จะรั้งอยู่ในเมืองหลวงดูแลแม่สามี กลับวิ่งมาอยู่ข้างกายบุตรชายคอยบังคับเขาในหลายๆ เรื่อง จนบางทีคนเป็นบุตรชายก็อึดอัดไปด้วย แต่เพราะหลิวเต๋อหมิงมีแค่มารดาและพี่สาวที่เป็นม่าย เขาจึงถนอมน้ำใจของทั้งสองคนมาก หลิวเป่าหลิงนั้นไม่เคยสร้างปัญหาให้น้องชาย แต่มารดาเขากลับสร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวันจนอู๋ชิวอิ่งยังเหนื่อยใจแทน             ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง แม่สามีกับลูกสะใภ้ยังไม่ได้พูดกันสักคำ ยิ่งออกมาจากเมืองหลวงแล้ว ใบหน้าของหลิวฮูหยินยิ่งบึ้งตึง หมางเมินลูกสะใภ้อย่างไม่ไว้หน้าลูกชายเลยสักนิด แม้หยุดพักทานอาหารนางยังไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลย อู๋ชิวอิ่งไม่พูดไม่มอง ไม่เรื่องมากให้สามีหนักใจ แต่หลิวเต๋อหมิงกับหลิวเป่าหลิงกลับไม่พอใจมารดามาก เพียงแต่คิดว่ายังไม่ต้องพูดกันก่อนชั่วคราว             รถม้าจอดลงในที่สุด จวนท่านเจ้าเมืองเปิดประตูทั้งสามบานไว้ ทุกที่ถูกประดับตกแต่งโคมไฟ กระดาษ และอักษรมงคล บ่าวไพร่กำลังวิ่งวุ่นเตรียมงานเลี้ยงที่กำลังจัดขึ้นตามคำสั่งท่านเจ้าเมือง             อู๋ชิวอิ่งรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หลายปี ปีสุดท้ายของชีวิตร่างกายนางอ่อนแอมาก ถึงขนาดลงจากเตียงไม่ไหว อย่าพูดเลยว่าจะออกมาเดินเล่นนอกบ้านได้ นั่นนับเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น นางกวาดตามองการตกแต่งล้วนไม่แตกต่างจากชาติก่อนสักนิด นางแหงนหน้าขึ้นมองป้ายสีดำอักษรสีทองเหนือประตูบานใหญ่ ‘จวนเจ้าเมือง’ ดูเด่นตาน่าเกรงขาม อักษรพลิ้วไหวแต่คงความหนักแน่นมั่งคง สิงโตหินสูงครึ่งตัวคนตั้งเด่นอยู่คู่หนึ่ง นางก้าวเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ รับการคำนับจากบ่าวชายเฝ้าประตูและพ่อบ้านหลิวหรงซึ่งก็คือบิดาของหลิวตงบ่าวคนสนิทของหลิวเต๋อหมิง สองคนนี้ตามมาจากสกุลหลิวที่เมืองหลวง พ่อบ้านหลิวก็เคยติดตามรับใช้บิดาของหลิวเต๋อหมิงมาก่อน จึงนับว่าเป็นคนใกล้ชิดและไว้ใจได้ พ่อลูกคู่นี้ให้เกียรติอู๋ชิวอิ่งมาตลอดไม่เคยเปลี่ยน นับว่าเป็นบ่าวที่ดีมาก             “ยินดีต้อนรับฮูหยินขอรับ” หลิวหรงเดินเข้ามาค้อมกายประสานมือให้นายหญิงคนใหม่ ใบหน้ากลมผ่องใสยิ้มกว้างให้นาง             “ฮึ หน้าใหญ่จริงนะ” เสียงนี้คือหลิวฮูหยินเอง นางกวาดตามองอู๋ชิวอิ่งและพ่อบ้านหลิว จากนั้นชักเท้าเดินผ่านทุกคนไป             “ท่านแม่คงเหนื่อยจากการเดินทาง เจ้าสองคนก็ไปล้างหน้าล้างตากันก่อนเถอะ วันนี้มีงานเลี้ยงรออยู่ ไม่รู้จะได้พักอีกทีตอนไหนนะ” หลิวเป่าหลิงเอ่ยขึ้นและรีบตามมารดาไป ก่อนไปนางยังยิ้มปลอบใจน้องสะใภ้ อู๋ชิวอิ่งยิ้มตอบนางไป             “ท่านแม่คงเหนื่อยแล้วจริงๆ” หลิวเต๋อหมิงมองตามหลังมารดาที่ยังเห็นอยู่ไกลๆ เขาโอบเอวอู๋ชิวอิ่งให้แนบกายตนและพานางออกเดินก้าวเข้าประตูไป จากนั้นหันไปหาพ่อบ้านหลิว “เตรียมงานเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่”             “เรียบร้อยแล้วขอรับ อีกสักหนึ่งชั่วยามแขกเหรื่อคงเริ่มทยอยกันมาแล้ว ท่านแม่ทัพหยางก็แวะมาถามข่าวตั้งแต่เช้า ตอนเที่ยงก็มาอีกครั้งขอรับ”             “อือ” หลิวเต๋อหมิงพยักหน้าแล้วให้พ่อบ้านหลิวกลับไปดูแลงานต่อ ตัวเขาพาอู๋ชิวอิ่งเดินทอดน่องต่อไปยังเรือนชั้นใน ด้านหลังมีหลิวตงและเหล่าสาวใช้บ่าวไพร่ที่อู๋ชิวอิ่งพาติดตามมาด้วยเป็นขบวน             “เลี้ยงฉลองงานแต่งทางนี้สักหน่อย ยังไงก็มีขุนนางท้องถิ่นหลายคนที่นับถือกันอยู่ วันนี้เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”             “นี่เป็นเรื่องสมควรแล้ว” อู๋ชิวอิ่งไม่ได้พูดมาก นางหันไปยิ้มให้สาวใช้บ่าวไพร่ที่เดินผ่านและหลีกทางให้ก่อนจะคำนับพวกตนอย่างนอบน้อม             “พวกเราพักที่เรือนอี้ฮวน ก่อนหน้านี้พี่หญิงก็มาช่วยดูแลสั่งเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ใหม่ทั้งหมดแล้ว เจ้าลองดูว่ามีอะไรอยากเพิ่มเติมบ้างหรือไม่”             “เจ้าค่ะ”             ผ่านกำแพงบังตาเข้ามาก็เห็นลานเรือนที่ไม่ใหญ่มากแต่มีสวนล้อมรอบ ต้นไม้ใบหญ้าล้วนถูกจัดแต่งอย่างเอาใจใส่ มีศาลานั่งเล่นหลังเล็กหนึ่งหลังที่แขวนผ้าม่านโปร่งสีเขียวใบบัวไว้ เรือนอี้ฮวนนี้แม้มีลานเรือนไม่ใหญ่แต่กลับมีมุมนั่งเล่นเงียบสงบมากมาย ทั้งในศาลาเล็ก ใต้ต้นไหวใหญ่ที่วางโต๊ะหินเอาไว้ และข้างสระน้ำเล็กๆ ที่เลี้ยงปลาทองไว้ มีโต๊ะหินอีกชุดหนึ่ง ถัดจากสระน้ำเลี้ยงปลาทองเป็นต้นบ๊วยที่ออกลูกดกทุกปี นางจำได้ว่าพวกสาวใช้ชอบเก็บลูกบ๊วยไปดองกัน ลูกมันดกจนกิ่งแทบหัก แล้วนางก็ให้สาวใช้ยกตั่งนอนออกมานอนเล่นใต้ต้นบ๊วยตรงนี้เป็นประจำ             เดินเข้าตัวเรือนใหญ่ เจอโถงหน้าก่อน เดินลึกเข้าไปจึงเป็นห้องนอนใหญ่ที่จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยไว้ดิบดี มีห้องสวนหน้า ตั้งโต๊ะกินข้าวไว้ เดินลึกเข้าไปมีประตูสองฝั่งซ้ายและขาว ด้านขวาคือห้องหนังสือ ชาติก่อนหลิวเต๋อหมิงยกให้นางไว้ใช้เป็นห้องหนังสือส่วนตัว ทางด้านขวาคือห้องอาบน้ำใหญ่             เรือนทางปีกซ้ายขวาเป็นห้องนอนเล็ก เรือนด้านหลังห่างไปจากเรือนใหญ่เป็นห้องพักของสาวใช้เรือนอี้ฮวนทั้งหมด มีเรือนเล็กแยกอีกเรือน เป็นห้องหนังสือส่วนตัวของหลิวเต๋อหมิง หากเขาจะทำงานก็จะทำที่นี่ ในจวนนี้ไม่มีห้องทำงานที่เรือนชั้นนอกอีก เพราะหากเขาไม่ทำงานอยู่ที่นี่ก็ยังมีห้องทำงานใหญ่ที่จวนว่าการอีก ด้านหลังจวนว่าการที่จัดให้เป็นที่พักท่านเจ้าเมืองและครอบครัวนั้นหลิวเต๋อหมิงดัดแปลงมาเป็นเรือนรับรองแทน และหากงานยุ่งจริงๆ เขาก็จะพักที่นั่น ส่วนหน้าจะเป็นโถงว่าการ อีกฝั่งหนึ่งคือบ้านพักของพวกมือปราบและเจ้าหน้าที่ประจำจวนว่าการอีกหลายคน             “เหนื่อยหรือไม่?” เขาก้มนางมองนาง             “ไม่เท่าไร” นางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา หลิวเต๋อหมิงจึงเร่งฝีเท้าพานางเดินเข้าไปในห้องนอน             “ไปเตรียมน้ำอาบ” เขาหันไปสั่งสาวใช้ที่เป็นสาวใช้ในเรือนอี้ฮวนอยู่ก่อนแล้ว “พาสาวใช้ของฮูหยินไปจัดหาที่พักด้วย”             “เจ้าค่ะ” เสียงตอบไม่ดังไม่เบาแต่ทำให้อู๋ชิวอิ่งถึงกับชะงัก             จูอีซิน!             จูอีซินเป็นสาวใช้ห้องข้างของหลิวเต๋อหมิง ศัตรูลำดับแรกของนาง! อู๋ชิวอิ่งหันมองอีกฝ่ายที่แม้จะถอยออกไปแล้วแต่ยังแอบเหลือบมองหลิวเต๋อหมิงอยู่เป็นระยะ             เมื่อมองเห็นสายตาของอู๋ชิวอิ่ง จูอีซินถึงกับรีบก้มศีรษะเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาทันที             ชาติก่อนอู๋ชิวอิ่งพลาดเพราะไว้ใจสาวใช้คนนี้ ชาตินี้ก็คอยดูเถอะ จูอีซิน ข้าจะค่อยๆ ให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานที่สองตาเห็นแต่ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจแอบกินเหมือนชาติก่อนอีก!             หลิวเต๋อหมิงไม่ทันได้สนใจสีหน้าของนาง เขากำลังช่วยนางคลายผ้ารัดเอว จากนั้นถอดเสื้อตัวนอกให้ นางจึงหยุดมือเขาไว้ แล้วช่วยปลดเข็มขัดที่ทำจากผ้าต่วนประดับโมรา ปักลายเมฆมงคลฝีเข็มละเอียดงดงามไร้ที่ติ จากนั้นแหวกสาบเสื้อสีน้ำเงิน ถอดมันออกไปพ้นร่างเขา             “ฮูหยินอยากกินเต้าหู้[1]สามีหรือ?”             “ท่านพี่ อีกสักครู่งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วนะเจ้าคะ จะกินเต้าหู้อะไรก็ให้เสร็จงานก่อนสิ” นางย่นจมูกใส่เขา             “ได้ รองานเลี้ยงเลิกก่อนเป็นดี” เขากระซิบบอกเสียงแหบพร่าเล็กน้อย ลมหายใจที่อุ่นจัดเป่ารดพวกแก้มนางโดยไม่ตั้งใจ แต่อู๋ชิวอิ่งรู้ว่าเขาเริ่มมีอารมณ์อีกแล้ว               งานเลี้ยงเริ่มแล้ว อู๋ชิวอิ่งนั่งลงยังโต๊ะเดียวกับสามีที่ตำแหน่งประธาน แม่สามีบอกว่าไม่สบาย จึงไม่ได้ปรากฏตัวในงาน หลิวเป่าหลิงที่เป็นม่ายก็ไม่เหมาะจะมาปรากฏตัวที่งาน นางอยู่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่ด้านหลังให้ตลอดงาน             “ฮูหยินเจ้าเมืองหลิวนับว่าไม่เลว ข้าหยางจิ่นขอคารวะด้วยสุราหนึ่งจอก ยินดีกับท่านเจ้าเมืองและฮูหยิน มีลูกหลานสืบสกุลให้มากๆ เล่า” แม้น้ำเสียงใหญ่กระโชกโฮกฮากไปสักหน่อย แต่ท่าทางกลับเป็นท่าทางหยอกเล่นของสหายสนิทเหมือนที่ผ่านๆ มา คนในเมืองเสียนหยางรู้กันทั่วว่าท่านเจ้าเมืองกับแม่ทัพเฝ้าประตูเมืองสนิทกันราวพี่น้อง             “ขอบคุณท่านแม่ทัพหยาง” อู๋ชิวอิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มหนึ่งจอก ก่อนหน้านี้หลิวเต๋อหมิงกระซิบแนะนำให้รู้จักบ้างแล้ว แต่ถึงแม้ไม่แนะนำนางก็รู้จักคนในงานเลี้ยงนี้เกือบทุกคนแล้ว             อู๋ชิวอิ่งเป็นผู้น้อยในงานเลี้ยง ซ้ำยังเป็นคนสำคัญในงาน ย่อมต้องดื่มรับการทักทายและอวยพรของแขกเหรื่อ จนกระทั่งนางหน้าแดงก่ำกำลังจะดื่มสุราจอกต่อไป หลิวเต๋อหมิงเห็นแล้วจึงคว้าจอกไปได้ทัน             “ฮูหยินข้าอายุยังน้อย ซ้ำดื่มสุราไม่เก่ง จอกนี้ข้าขอดื่มแทนนางก็แล้วกัน” พูดจบก็ยกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมด             “ฮ่าๆ ห่วงภรรยาหรือ เหมือนข้าสมัยหนุ่มๆ ไม่มีผิด รออีกสักหน่อยเถอะ” พูดแล้วก็ยกจอกตัวเองดื่มบ้าง             อู๋ชิวอิ่งเหลือบตามองคนพูดโดยที่หลายๆ คนไม่ทันได้เห็น นางมองชายวัยสามสิบปีผู้นั้นเขม็ง เขาคือนายอำเภอเซียว เป็นอีกตัวการที่ส่งสาวงามเข้าจวนเจ้าเมืองมาหลายคน ในชาติก่อนนางไม่ชอบขี้หน้าคนผู้นี้นัก ในชาตินี้ก็ย่อมไม่ชอบเช่นกัน ซ้ำอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ในงานเลี้ยงของตนกับสามี มีหรือนางจะยอมได้             “รออะไรอีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ” นางถามออกไปโดยไม่ต้องคิด คนที่ฟังนายอำเภอเซียวพูดอยู่เมื่อสักครู่ก็ว่าแล้วว่าคำของเขาไม่เหมาะนัก ตอนนี้ถูกฮูหยินท่านเจ้าเมืองเอ่ยสวนกลับเสียได้             “ก็รอให้ความงามโรยรา... อุบ” คนที่นั่งข้างเคียงกระทุ้งศอกใส่ครั้งหนึ่งเพราะเห็นสีหน้าท่านเจ้าเมืองไม่ใคร่พอใจนัก             เดิมทีหลิวเต๋อหมิงไม่คิดจะต่อความกับนายอำเภอเซียว แต่ในเมื่อฮูหยินของเขาติดใจ เขาก็ไม่พอใจขึ้นมามากแล้วเช่นกัน เขาเห็นสีหน้านางแล้ว ซ้ำก่อนหน้านี้นางยังพูดอีกว่านางไม่อยากให้เขารับอนุเสียเต็มปากเต็มคำขนาดนั้นด้วย             “ท่านพูดเช่นนี้ในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของท่านเจ้าเมืองกับข้า คิดว่าเหมาะสมหรือไร”             “ฮูหยินน้อยไยต้องคิดมากเล่า เก่าไปใหม่มาเป็นเรื่องปกติ อีกไม่นานท่านเจ้าเมืองย่อมต้องรับอนุอีกมากมายขยายบารมีให้ดูน่าเกรงขามอย่างไรเล่า”             ในโถงงานเลี้ยงเงียบกริบ แม้แต่นางรำกับเสียงดีดสีตีเป่าก็พลอยเงียบไปด้วย นายอำเภอเซียวถึงค่อยหันมองไปรอบๆ เห็นสายตาผู้คนในโถงจัดเลี้ยงมองเข้าเป็นตาเดียว             “ข้าพูดผิดหรือ?”             แม่ทัพหยางวางจอกสุราดังกึก! กำลังจะอ้าปากตวาดแต่เสียงหวานละมุนดังขึ้นเสียก่อน             “ท่านพูดไม่ผิด บุรุษมีสามภรรยาสี่อนุไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่บุรุษไม่จำเป็นต้องมีสตรีไว้มากมายเพื่อไว้เพิ่มบารมีให้ดูน่าเกรงขาม ถ้าทุกคนล้วนคิดเช่นนั้นดูเหมือนจะเป็นการที่บุรุษเกาะชายกระโปรงสตรีไต่เต้าเสียมากกว่า จะนับว่ามีบารมีน่าเกรงขามที่ไหนได้ มิใช่หรือ” เสียงนี้ฟังเหมือนกำลังเอื้องเอ่ยปกติ แต่มีความกดดันอยู่ในน้ำคำ แม้แต่หลิวเต๋อหมิงก็ต้องหันมองนางให้เต็มตาสักครั้ง เห็นสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง แต่นัยน์ตานางวาววับประดุจแววตาพยัคฆ์กำลังจ้องเหยื่อ จากนั้นมุมปากเขาค่อยๆ ขยายกลายเป็นยกยิ้มเต็มที่             ฮูหยินของเขาขี้หึงจริงๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วแหละ             แต่เขากลับรู้สึกกระชุ่มกระชวยไปทั้งร่างทีเดียว มีฮูหยินขี้หึงออกหน้าออกตาเช่นนี้เขาชอบ นางกล้าแสดงออกถึงสิ่งที่นางต้องการอย่างหัวชนฝา นับว่ามีความกล้า             “แม้คำพูดของท่านจะไม่เหมาะกับเวลาและสถานที่นัก แต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของข้ากับท่านเจ้าเมือง ตัวข้าเองก็เพิ่งมาที่นี่ ยังนับว่าเป็นผู้น้อยไม่รู้ที่ทาง ขอทุกท่านอย่าได้ถือสาวาจาไม่สุภาพของข้า ทุกท่านกินดื่มกันต่อเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอใช้สุราจอกนี้ขอบคุณท่านทั้งหลายทีเมตตา” นางรินสุราลงจอกของตนและยกขึ้นดื่มทันที             นับว่าคำพูดของอู๋ชิวอิ่งหาทางลงให้ทุกคนแล้ว โดยเฉพาะนายอำเภอเซียวที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตลอด เขาเหลือบมองแม่ทัพหยางที่ทำเสียงฮึ่มๆ ด้วยความไม่พอใจครั้งหนึ่ง ก่อนมองท่านเจ้าเมืองที่นั่งยิ้มไม่ใช่สีหน้าเหมือนก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็ผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แต่มือในโต๊ะกำลังกำแน่นพลางเหลือบมองฮูหยินท่านเจ้าเมืองผู้อ่อนเยาว์ เขาไม่เคยถูกผู้น้อยที่เป็นสตรีพูดว่าเขาเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน นับว่าวันนี้เขาเสียหน้ามาก!             “ฮูหยินของข้าพูดสิ่งใดผิดหรือนายอำเภอเซียว” หลิวเต๋อหมิงมองอยู่ตลอด แล้วก็รู้ว่าฮูหยินของตนทำให้อีกฝ่ายเพ่งเล็งแล้ว เขาจำต้องปรามอีกฝ่ายไว้ก่อนจะคิดทำอะไรไม่ดีกับฮูหยินของตนสักหน่อย             “ไม่ผิดๆ” นายอำเภอเซียวกล่าว ยิ้มให้ทุกคนแล้วยกจอกสุราดื่ม เพียงแต่ไม่มองหน้าใครอีก นั่งเงียบๆ จนงานเลี้ยงเลิก               เพิ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาก็ถูกหลิวเต๋อหมิงดันไปชิดผนัง เขาปิดประตูลงดาลแน่นหนาแล้ว ตอนนี้กำลังกดฮูหยินของเขาไว้แน่น จุมพิตเร่าร้อนและรุนแรงจึงเริ่มขึ้น ริมฝีปากบดเคล้าอย่างหนัก ลิ้นดุนดันเข้าไปในโพรงปากหวานหอมสุรารสเลิศ เขาแทบจะกลืนกินลิ้นนางไปแล้ว ลมหายใจเริ่มถี่เร็วกลายเป็นหอบหนัก เสียงดูดดุนของริมฝีปากดังจ๊วบจ๊าบพร้อมกับเสียงสวบสาบเพราะเขากำลังปลดเปลื้องอาภรณ์สีกลีบบัวของนาง             “อือ ท่านพี่”             อู๋ชิวอิ่งตกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกเขากดร่างแนบผนังและจุมพิตเร่าร้อนเช่นนี้ แต่นางไม่ได้ต่อต้าน ตอนนี้เขาผละริมฝีปากออกไปซุกไซ้ใบหน้าอยู่กับซอกคอนางแล้ว ทั้งแลบลิ้นออกมาเลีย ทั้งขบกัดลงแรงหนักๆ คล้ายหยอกคล้ายลงโทษ             “ท่าน ท่านไม่พอใจข้าหรือ” นางเอ่ยถามเสียงหอบสั่นเพราะถูกเขารุกรุนแรงจนแทบหายใจไม่ทัน             “พอใจ สามีพอใจฮูหยินมาก” เสียงเขาแหบต่ำขณะเลื่อนใบหน้าลงต่ำไปหาหน้าอกอิ่มที่ถูกเขาแหวกสาบเสื้อไปพ้นทางแล้ว เขาเข้าครอบครองปลายยอดสีชมพูชูชันจนมันตั้งแข็งขึ้นมาทันตา จากนั้นดูดเลียยิ่งกว่าทารกกระหายน้ำนม เสียงดูดเสียงเลียลงลิ้นรัวดังไม่หยุด อู๋ชิวอิ่งถึงกันแอ่นอกให้ แหงนหน้าออกมาส่งเสียงครางด้วยความหลงใหลมัวเมาไปด้วย             รสเสน่หาของกันและกันยิ่งเพิ่มพูนจนอากาศขุ่นข้นร้อนอบอ้าวตามไปด้วย หลังจากดูดดื่มเต้าอวบไปจนพอใจเขาเลื่อนกายต่ำลงไปอีก ถลกกระโปรงนางขึ้น ดึงทึ้งอาภรณ์ปิดกายท่อนล่างทิ้งไปจนหมดและแนบหน้าลงกับท้องน้อยนาง ปลายนิ้วลูบไล้และเริ่มขยี้ที่เนินกระสันนวลเนียนหนักมือ             “ท่านพี่” อู๋ชิวอิ่งครางเรียงชื่อเขาเพราะถูกเขาทำให้อารมณ์เตลิดไปแล้ว ลมหายใจอุ่นจัดของเขาเป่ารดอยู่ที่ต้นขานาง ทำให้นางสยิวกายขึ้นมาคราหนึ่ง             อาจเป็นเพราะดื่มสุราร้อนแรงไปหลายจอก อารมณ์ของทั้งสองจึงจุดติดได้ง่ายและเร่าร้อนจนแทบคุมไม่อยู่ ปลายนิ้วแข็งสอดแทรกเข้าหาช่องทางคับแคบที่ร้อนจัดไม่ต่างกับลมหายใจของเขา แต่มันมาพร้อมกับความเปียกแฉะที่ถึงขนาดไหลรินอาบอุ้งมือเขาแล้ว             “อาชิว อยากให้สามีปรนเปรอเจ้าใช่หรือไม่” เสียงนั้นฟังอู้อี้อยู่สักหน่อย แต่จะมีใครสนใจเล่า             “อือ” อู๋ชิวอิ่งตอบรับไปตรงๆ             เขาจึงชักนิ้วเข้าออกในช่องทางคับแคบนั้นทันที อีกมือหนึ่งยกขาข้างหนึ่งของนางพาดบ่าตัวเอง จากนั้นเริ่มซุกหน้าเข้าหาบุปผาเร้นลับที่มีกลิ่นหอมรุนแรงเป็นตัวเร่งเร้าให้เขายิ่งขยับทั้งนิ้วและปลายลิ้น             “อา ท่านพี่ เร็วอีก อือ” อู๋ชิวอิ่งครางเสียงสั่น กระดกก้นไปข้างหน้าเล็กน้อยและแยกขาออกอีกนิดให้สามีเข้าไปปรนเปรอนางสะดวกขึ้น             หลิวเต๋อหมิงดึงนิ้วออกแล้วฝังใบหน้าลงไปแทน เขาบดจูบกับกลีบบุปผาหอมหวานด้วยท่าทางตะกรุมตะกรามอยู่สักหน่อยแต่ก็ทำให้หญิงสาวกายสั่นเสียวซ่านจนเข่าอ่อนยวบ ดีที่เขาช้อนสะโพกนางไว้ได้ทัน จากนั้นจึงเริ่มใหม่อีกครั้งด้วยการดูดดื่มกับบุปผาน้อยต่อไป ปากประกบจูบและดื่มกินฝนวสันต์อย่างเอร็ดอร่อย             อู๋ชิวอิ่งกายสั่นเทิ้ม สองมือวางอยู่ที่บ่าของเขา พริ้มตาหลับรับความกระสันเต็มที่ นางครวญครางไม่หยุด จนกระทั่งความซ่านขึ้นสูง แผ่ไปทั่วทั้งร่าง เสียงกรีดร้องจึงดังขึ้นติดๆ กัน กายสั่นเกร็งกระตุกไม่หยุด ลำตัวงองุ้ม สองแขนกอดรัดศีรษะเขาไว้มั่น “ท่านพี่ ท่านพี่ ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน ท่านพี่” เสียงครางกระเส่าดังลั่นและตามด้วยการทรงกายไม่อยู่ หลิวเต๋อหมิงลุกขึ้นมารับนางไว้ทัน เขาตวัดร่างนางขึ้น อุ้มเดินเร็วรี่ไปทางห้องนอน เตียงหลังใหญ่ มีเสาทั้งสีผูกม่านแดงประดับประดาคล้ายห้องหอในคืนแต่งงานของทั้งสองไม่มีผิด             “อาชิว วันนี้ถือว่าพวกเราเข้าหอกันอีกครั้งเถอะนะ” เขาค่อยๆ วางนางลงยังเตียงนอน กระชากเสื้อผ้าตัวเองทิ้งไปจนหมด ร่างเปลือยเปล่าสูงโปร่ง แต่กลับมีลอนเนื้อนูนเด่น กล้ามเนื้อแน่นตึง ผิวกายขาวผ่องกับท่อนลำที่ผงาดจนแทบชี้ฟ้าแล้ว มันเด่นตาอยู่ในดงพุ่งพฤกษ์             สองสามวันที่เดินทางนี้เขาเหมือนจะเรียกนางว่าอาชิวจนติดปากไปแล้ว แต่อู๋ชิวอิ่งไม่มีอะไรติดขัดเพราะคนในครอบครัวก็เรียกนางเช่นนี้             “อือ” นางตอบรับเขาเสียงหนึ่งและเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองบ้าง ไม่นานสองร่างเปล่าเปลือยก็ได้แนบชิดแปะติดกันแน่นแล้ว             ผมหลุดลุ่ยของเขาปัดผ่านปลายจมูกนางไป หยดเหงื่อสองสามหยดของเขาที่แก้มนางไหลลงไปยังหมอนใต้ศีรษะ เรือนกายสูงง้ำอยู่ด้านบนกำลังออกแรงขยับโยกอย่างบ้าคลั่งตอกอัดลำเนื้อใส่บุปผางามรัวเร็วรุนแรงเป็นพิเศษ เตียงหลังใหญ่ที่นับว่าแข็งแรงมากยังส่งเสียงลั่น             อู๋ชิวอิ่งหัวหมุนไปหมด นางมึนเมากับรสรักของเขาจนโง่หัวไม่ขึ้น กายชื้นเหงื่อ หายใจหอบหนัก แอ่นอกให้เขาดูดเลีย เด้งสะโพกรับแรงโยกรัวเร็ว สองมือกอดศีรษะเขาไว้แน่น ใบหน้าแหงนหงายครวญครางไม่หยุดจนเสียงแหบแห้ง             “อาชิว ใกล้แล้ว ข้าจะปลดปล่อยแล้ว”             “ท่านพี่ ทำตามใจท่านเลยข้าก็ไม่ไหวแล้ว อือ”             หลิวเต๋อหมิงยกตัวขึ้น สองแขนยันข้างตัวนาง เร่งสะโพกบดอัดเต็มที่ ท่อนเนื้อของเขาถูกบุปผางามของนางตอดรัดจนเจ็บไปหมด เขาต้องเร่งเร้าจังหวะอย่างสุดกำลัง เหงื่อไหลไคลย้อยราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อากาศในห้องร้อนอบอ้าว อบอวลไปด้วยกลิ่นชะมดเชียงเข้มข้น             บุปผาเร้นลับหลั่งรินน้ำหวานเปียกเปื้อนที่นอนแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งท่อนลำกระทุ้งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าในจังหวะหนักหน่วงจนนางเจ็บบั่นเอวไปหมด นางกำลังลอยขึ้นสู่ที่สูงด้วยกายเบาหวิวอีกครั้ง เรือนกายหดเกร็ง จนมาได้ยินเสียงครางทุ้มต่ำของเขา นางจึงทิ้งร่างลงกระตุกสั่นราวเจ้าเข้า สองเท้าเหยียดเกร็ง สองมือกุมต้นแขนเขาไว้แน่น ใบหน้างามเคลิ้มลอย ริมฝีปากเผยอส่งเสียงคราง หน้าท้องหดเกร็ง อกอิ่มเต่งตึงกระเพื่อมรุนแรง นางปลดปล่อยไปแล้วและรุนแรงด้วย             หลิวเต๋อหมิงเองก็ไม่ต่างกัน เข้าขยับสะโพกหนักๆ อีกหลายครั้งและหยุดลงทันใด สายน้ำอุ่นจัดฉีดพุ่งเข้าไปในบุปผาเร้นลับ ความอุ่นร้อนและน้ำรักที่มากล้นทำให้อู๋ชิวอิ่งครางไม่หยุด             ผ้าปูที่นอนยับย่นและเลอะเทอะไปหมด แต่ทั้งสองไม่สน เขาโน้มตัวลงมากอดนาง จุมพิตริมฝีปากฉ่ำด้วยความเร่าร้อนอยู่พักใหญ่เขาจึงสงบลง ร่างกายคล้ายได้รับการปรนนิบัติ ผ่อนคลาย สุขสมและอิ่มเอม แต่ก็ยังรู้สึกวูบวาบหลังเอวไม่หาย เขาจึงโจนจ้วงสะโพกใส่บุปผางามอีกหลายครั้ง จนอู๋ชิวอิ่งตัวเกร็งไปหมด จากนั้นเขาจึงสงบลงแล้วจริงๆ เขาทิ้งตัวลงนอนทาบทับคนใต้ร่าง ช้อนศีรษะนางไว้ขณะกอดกระชับกัน นางเองก็โอบกอดแผ่นหลังเขาไว้ ตัวแนบติดเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อเปียก             หลังจากลมหายใจหายจากหอบเหนื่อยแล้ว เขายกใบหน้าขึ้นจากซอกคอนาง เปลี่ยนมาขบเม้มติ่งหูเล็กนุ่มนิ่ม “อาชิว สามีจะมีเจ้าเพียงคนเดียว”             อู๋ชิวอิ่งได้ยินแต่นางไม่ตอบสนองและก็ไม่มีอารมณ์จะไปคิดมาก นางเหนื่อยแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียก เรี่ยวแรงถูกเขาทำให้ถดถอยไปนานแล้ว ตอนนี้เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง สติรับรู้เลือนรางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกอย่างเงียบลงไปและนางก็หลับไปด้วยความรวดเร็ว   [1] กินเต้าหู้ เปรียบเปรยถึงการแต๊ะอั๋งนั่นเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD