ตอนที่ 7 ความรู้สึกลึกๆ
เพราะอู๋ชิวอิ่งรู้ว่าสามีตัวเองเป็นคนยังไง นางจึงค่อยๆ จัดการสะสางเรื่องชวนปวดหัวในบ้าน อย่าลืมว่าหลิวเต๋อหมิงไม่รู้ว่าชาติก่อนนางเคยพานพบเรื่องเจ็บปวดใจจนตัวตาย แต่จะบอกว่าเขาร้ายใส่นางจนตายหรือ ก็ไม่ใช่ แม้สามีภรรยาจะห่างเหินกันบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับไม่พูดไม่มองหน้า เขายังถามไถถึงอาการป่วยของนางอยู่ตลอด
เขาเป็นบุรุษที่มีปณิธานก้าวไกล รักแว่นแคว้นรักพวกพ้อง บุรุษทุกคนย่อมอยากเอาชนะและชมชอบให้คนอื่นยกย่อง เขามีความกล้ามากกว่าสตรีที่ถูกขนบธรรมเนียมคอยฉุดรั้งความคิดความสามารถอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นอู๋ชิวอิ่งยังไม่ลงมือกับคนที่จะเป็นภัยกับตนอย่างจูอีซินหรือเหมยเหนียง แต่ที่นางต้องทำอันดับแรกคือดึงอำนาจจัดการดูแลในเรือนมาไว้กับตัวก่อน อย่างที่สองต้องวางคนให้สอดส่องเรือนเซียวเซียงหาต้นสายปลายเหตุว่าแม่สามีจะคอยวางยาไร้บุตรกับนางอย่างไร ชาตินี้นางจะไม่ไร้บุตร และจะคลอดบุตรให้หลิวเต๋อหมิงหลายๆ คน ให้แม่สามีปวดหัวไปเลย
“บ่าวชายสองคนนั้นมีวรยุทธ์ใช่หรือไม่” จริงๆ หลิวเต๋อหมิงดูออกตั้งแต่แรก อย่าหาว่าเขาเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อย่างไรเขาก็เคยฝึกยุทธ์มาก่อน ขี่ม้ายิงธนูเขาชำนาญ เพลงดาบก็มีอาจารย์มาสอนให้ตั้งแต่อายุสี่ขวบเพราะท่านลุงใหญ่ชมชอบให้ลูกหลานมีวิชาความรู้หลายแขนง จึงเชิญอาจารย์มาสั่งสอนบุตรหลานทุกคนในเรือน
อู๋ชิวอิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ว่าไม่อาจปิดบังเขาได้แล้วจึงไม่อ้ำอึ้งอีก “ไม่ปิดบังท่านพี่ สองคนนั้นพี่ใหญ่หามาให้คอยเป็นองครักษ์ประจำตัวของข้า”
“เช่นนั้นก็เรียกเขามาพบข้าสักหน่อย ไม่ต้องปกปิดฐานะของพวกเขาแล้ว จะออกไปไหนก็ให้เขาติดตามคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด”
นางพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ยังมีสาวใช้อีกสี่คนก็เป็นหมัดมวย ตั้งใจว่าจะให้สี่อู๋ของข้าฝึกหมัดมวยไว้บ้าง เว้นพ่อครัวไว้สักคนก็พอ”
หลิวเต๋อหมิงอมยิ้ม เขาเขี่ยปลายจมูกนางครั้งหนึ่ง “ข้าจะให้หลิวตงมาสอนพวกนางฝึกยุทธ์ทุกเช้า อย่างน้อยๆ ให้สามารถช่วยเหลือเจ้าในยามคับขันได้”
“ขอบคุณท่านพี่ แต่อย่าบอกใครจะดีกว่าว่าสาวใช้ของข้ากำลังฝึกยุทธ์”
“อือ เช่นนั้นให้พวกนางฝึกในลานเรือนนี้ก็ได้”
“สาวใช้ของข้าไม่เป็นไร แต่สาวใช้เดิมของท่านไว้ใจได้หรือไม่...”
“สาวใช้ในเรือนเจ้าจัดการได้เต็มที่ คนไหนไม่เข้าตาบอกพ่อบ้านหลิวให้ย้ายหรือขายออกไปได้เลย เจ้าแค่สั่งสักคำพ่อบ้านหลิวย่อมจัดการได้เหมาะสม”
“อือ” อู๋ชิวอิ่งกอดกระชับเขาไว้แน่น ทั้งสองระเริงรักกันพักใหญ่ นอนไปหนึ่งตื่น จนตอนนี้ก็เต็มอิ่มแล้วจึงเรียกสาวใช้ให้ส่งน้ำเข้ามา หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพ่อบ้านหลิวมาขอพบ
ทั้งสองนั่งอยู่ในโถงหน้า พ่อบ้านหลิวก้าวเข้ามาคำนับ แล้วให้สาวใช้ที่เดินตามมาพร้อมกล่องใบหนึ่งไปส่งให้สาวใช้ของอู๋ชิวอิ่ง “เป็นบัญชีค่าใช้จ่ายในจวนขอรับ มีทั้งโฉนดที่ดินและร้านค้าทั้งในเมืองหลวงและในเสียนหยาง” เขาส่งกุญแจพวงหนึ่งให้สาวใช้ส่งต่อให้อู๋ชิวอิ่ง “นี่เป็นกุญแจห้องคลังกลางขอรับ ตอนนี้มีฮูหยินน้อยดูแลแล้วบ่าวก็เบาใจ”
“ข้าเพิ่งจะมา ท่านก็ส่งภาระให้เสียแล้ว” อู๋ชิวอิ่งหยอกเล่น
“ฮูหยินน้อยไม่ต้องเหนื่อยขอรับ ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง ฮูหยินน้อยอยากได้อะไรก็แค่บอกบ่าวมาสักคำ” หลิวหรงรู้ว่าฮูหยินน้อยไม่ได้ว่าเขาจริงจัง แต่เขาต้องดูแลฮูหยินน้อยอย่างเต็มที่
“ก่อนหน้านี้ก็ลำบากท่านแล้ว”
“ไม่ลำบากขอรับ” พ่อบ้านหลิวยังนอบน้อมเช่นเคย จากนั้นก็ถอยออกไป
อู๋ชิวอิ่งหันมองหลิวเต๋อหมิงที่กำลังดื่มชาอยู่ด้านข้าง “แม้ข้าอยากจะดูแลงานในเรือนแบ่งเบาภาระท่านแต่ก็ไม่ได้เร่งรีบเช่นนี้”
“ก่อนนี้ท่านแม่เป็นคนจัดการดูแล ท่านแม่เหนื่อยมามากแล้ว อายุก็ไม่น้อย ให้ท่านแม่พักเถอะ ฮูหยินต้องเหนื่อยแล้ว ต่อไปอำนาจจัดการเรือนทั้งหมดยกให้ฮูหยินแล้ว” เขาหยอกเย้านางด้วยการเชยคางเรียวขึ้น ยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตาวาวระยับ
“ท่านพี่วางใจข้าขนาดนี้ ข้าไม่มีทางทำให้ท่านพี่ผิดหวังแน่นอน”
“อือ ข้าวางใจ” เขาดึงนางขึ้นมานั่งบนตักและกอดกระชับ “ยังเหนื่อยหรือไม่?” เขาก้มลงหอมแก้มแดงเปล่งปลั่งของนางครั้งหนึ่ง สายตาไล่มองขนตายาวงอนที่กระพือเบาๆ ไล่ลงไปที่สันจมูกโด่งแต่เล็ก จากนั้นก็มองริมฝีปากอิ่มสีแดงฉ่ำ ไม่ว่ามองใกล้แค่ไหนก็ยังหาที่ติจากผิวพรรณของนางไม่ได้เลย เนื้อตัวนางนุ่มนิ่มจนเขาอดใจลูบไล้หลายครั้งไม่ได้
เช้าวันรุ่งขึ้นอู๋ชิวอิ่งส่งหลิวเต๋อหมิงไปจวนว่าการอย่างรีบเร่งแล้วก็ไปคารวะแม่สามี แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้นางเข้าไป จึงให้อู๋เอ๋อประคองกล่องใส่พระสูตรที่นางคัดไว้ให้เหมยเหนียงและพากันเดินกลับเรือนอี้ฮวน
ระหว่างทางอู๋เอ๋อเอ่ยปากขึ้นเบาๆ “แบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
“ในเมื่อนางไม่เห็นแก่หน้าบุตรชาย ไยข้าต้องไปตอแยนางอีก แม่สามีเช่นนี้บางทีก็ต้องตามใจ บางทีก็ต้องต่อต้าน แล้วแต่สถานการณ์ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าอีกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“จูอีซิน ท่าทางนางไม่สงบเสงี่ยมนัก แต่งกายดีเกินไป”
“บ่าวทราบแล้ว นายหญิงไม่ต้องห่วง” อู๋เอ๋อพยักหน้ารับ “แต่ว่าในเมื่อนายท่านยกหน้าที่จัดการดูแลในเรือนให้นายหญิงแล้ว เช่นนั้นย้ายนางออกจากเรือนไปดีหรือไม่เจ้าคะ” อู๋เอ๋อไม่ใช่ว่าไม่ติดใจเรื่องจูอีซิน แต่นางเป็นแค่สาวใช้ รอให้เจ้านายเอ่ย นางถึงจะลงมือทำอะไรๆ ได้
“เจ้าเองก็น่าจะรู้สึกบ้างว่าจูอีซินกับนายท่าน... เอาเถอะ ย้ายนางไปรับใช้ที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน ในเรือนนอนมีแค่พวกเจ้าสี่คนก็พอ สี่คนที่พามาก็ให้เป็นสาวใช้ชั้นสอง ส่วนสาวใช้เดิมของเรือนอี้ฮวนก็ให้ทำหน้าที่อย่างเดิมไป ให้คนของเราคอยจับตาดูไว้ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“พ่อครัวจางใช้ครัวเล็กมีปัญหาอะไรหรือไม่”
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ทางครัวใหญ่ส่งวัตถุดิบมาให้แล้ว มื้อเที่ยงนี้ก็สามารถทำอาหารส่งมาได้เจ้าค่ะ”
“ให้พ่อครัวจางระวังอาหารไม่สะอาดด้วย เจ้ารู้ว่าแม่สามีไม่ชอบข้า นิสัยนางก็ขึ้นๆ ลงๆ รอบคอบไว้ก่อนจะดีกว่า”
อู๋เอ๋อชะงักไป จากนั้นนางก็รู้แจ้ง “เจ้าค่ะ บ่าวจะกำชับพ่อครัวจางอีกที”
อู๋ชิวอิ่งชอบอู๋เอ๋อก็ตรงนี้ สาวใช้คนนี้ซื่อสัตย์และฉลาดทันคน อู๋ชิวอิ่งแค่แย้มพราย อีกฝ่ายก็รับรู้ได้ปรุโปร่งแล้ว ไม่นานทั้งสองก็เดินถึงเรือนอี้ฮวน อู๋ชิวอิ่งบอกหลิวเต๋อหมิงไว้แล้วว่านางจะออกจากจวนไปเดินในเมืองช่วงบ่าย ถึงตอนนั้นค่อยให้หลิวตงพาพวกนางออกไป ตอนนี้นางจึงนั่งลงในห้องโถง เรียกสาวใช้ทุกคนในเรือนมากันพร้อมหน้า นอกจากสาวใช้ที่นางพามา ในเรือนอี้ฮวนมีสาวใช้ขั้นหนึ่งถึงขั้นสามแปดคน สองคนเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง จูอีซินกับสาวใช้หน้ากลมๆ สาวใช้ขั้นสองสี่คน ดูแลงานทำความสะอาดในเรือน อีกสองคนดูแลงานในสวน
“ในเรือนอี้ฮวนมีสาวใช้ครบครันแต่เหมือนจะมากไปหน่อย เช่นนั้นข้าจะจัดการใหม่” นางมองไปทางจูอีซิน อีกฝ่ายยังก้มหน้าก้มตาท่าทางนอบน้อม การแต่งกายเหมือนจะเบาลงกว่าเมื่อวาน นับว่านางพอฉลาดอยู่บ้าง แต่อู๋ชิวอิ่งไม่ได้เห็นใจเพราะรู้ว่าจูอีซินคือจิ้งจอกห่มหนังแกะรอท่าขยำคนอื่นอยู่เมื่อมีโอกาส
“ในห้องหนังสือของนายท่านไม่มีสาวใช้ประจำอยู่ ให้จูอีซินรับใช้ประจำแค่ที่ห้องหนังสือไป” จากนั้นนางก็มองไปยังสาวใช้ขั้นหนึ่งอีกคน “ เจ้าชื่อว่าอะไร”
“บ่าวอีเหอเจ้าค่ะ”
“รั้งอยู่ในเรือนนอนเช่นเดิม”
“สาวใช้ขั้นสองให้รั้งตำแหน่งเดิม เพิ่มสาวใช้ของข้าเข้าไปอีกสี่คน ให้พวกเจ้าผลัดเวรกันไปช่วยงานในครัวเล็กคอยรับคำสั่งพ่อครัวจางอีกที”
“ที่เหลือก็ทำงานอย่างเดิม” อู๋ชิวอิ่งชายตามองจูอีซินครั้งหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดคำใดสักคำ “อู๋ชิง”
อู๋ชิงเตรียมพร้อมอยู่แล้ว นางถือถาดที่ด้านบนวางถุงเงินใบเล็กแต่การเย็บปักประณีตเดินลงไปหาสาวใช้ทั้งหลาย “เป็นของขวัญพบหน้าจากฮูหยินน้อย พวกเจ้ารับไว้เถอะ”
“ขอบคุณฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” สาวใช้ยอบกายคำนับพร้อมเพรียง หน้าตายิ้มแย้มและหยิบถุงเงินคนละใบ ไม่มีใครกล้ากะน้ำหนักดูแต่รู้ว่าในถุงเล็กนี้มีน้ำหนักพอดู อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะหนึ่งตำลึงเงิน พวกสาวใช้ที่ตำแหน่งขั้นหนึ่งยังได้เงินเดือนแค่หนึ่งตำลึงเงิน สาวใช้ที่เหลือไหนเลยจะเคยได้จับเงินหนึ่งตำลึงมาก่อน
พวกสาวใช้ถอยออกไป แต่ฝีเท้าของจูอีซินเหมือนจะเร่งรีบกว่าใคร อู๋ชิวอิ่งพยักเพยิดให้สาวใช้ขั้นสองของนางที่มีวิชาหมัดมวยตามไปดูห่างๆ ไม่นานนางก็กลับมารายงาน
“นางไปเรือนเซียวเซียงเจ้าค่ะ” รายงานจบก็ถอยออกไป
“พวกเจ้าเห็นหรือไม่ จูอีซินไม่ธรรมดา ซ้ำยังมีแม่สามีที่เลอะเลือนคอยหนุนหลัง” อู๋ชิวอิ่งยิ้นน้อยๆ
“มิน่า กลับมาข้าจะจัดการเอง”
“ใจเย็นก่อน รอดูท่าทีนายท่านไปก่อน เจ้าใจร้อนทำงานเกินหน้าที่ไปแล้ว เด็กโง่”
อู๋ชิงผลักอู๋ถงเบาๆ นางเองก็เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว คิดว่านายหญิงกับอู๋เอ๋อไม่มีทางไม่เห็นเรื่องผิดปกตินี้เพราะฉะนั้นพวกนางต้องรอคำสั่งเจ้านายก่อนถึงจะลงมือจัดการคนได้ มิน่าเล่าจูอีซินถึงถูกย้ายจากหน้าที่เดิมเพียงแค่คนเดียว
อู๋ชิวอิ่งมองพวกสาวใช้ยิ้มๆ เห็นสีหน้าข่มอารมณ์ของอู๋ถงกับอู๋ซินแล้วก็หัวเราะ เพราะทั้งสองอายุน้อยที่สุด แค่สิบสี่ปี จึงเก็บอารมณ์ไม่เก่งเท่าอู๋เอ๋อกับอู๋ชิง แต่เห็นพวกสาวใช้เป็นห่วงนาง อู๋ชิวอิ่งรู้สึกอุ่นใจมาก ชาติก่อนทั้งสี่ก็อยู่ข้างกายนางตลอด เพียงแต่นางมีนิสัยอ่อนแอ สาวใช้จึงไร้อำนาจตามไปด้วย
หลังมื้อเที่ยง พักอีกเล็กน้อยนางก็พาสาวใช้ทั้งสี่ออกจากเรือนอี้ฮวน ก่อนไปก็ส่งสายตาให้สี่สาวใช้หมัดมวยของตนดูแลเรือนให้ดี เดินยังไม่ทันถึงประตูหน้าจวนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาอย่างเร่งรีบ
“เกือบไม่ทันแล้ว” แม้จะเหนื่อยหอบเล็กน้อยแต่ก็เร่งฝีเท้ามาทัน
“พี่หญิง?”
“เต๋อหมิงบอกว่าเจ้าจะออกไปเดินเล่นในเมือง ข้าจะไปเป็นเพื่อน”
อู๋ชิวอิ่งคลี่ยิ้มเบิกบานทันที “ได้พี่หญิงไปด้วยย่อมดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ดี ไปกันเถอะ มื้อเย็นเราไปกินอาหารบนเรือร่องทะเลสาบหลิงถงกัน เต๋อหมิงจองที่นั่งไว้ให้พวกเราแล้ว”
อู๋ชิวอิ่งแปลกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้บอกนางไว้ แต่นางไม่ได้ติดใจอะไรจึงพากันเดินผ่านประตูไป หลิวตงรออยู่แล้ว เขาโค้งคำนับทั้งสองและถอยออกไปรอข้างม้ากำยำตัวหนึ่ง ด้วยเพราะหลิวเป่าหลิงนั่งมาด้วย สาวใช้ของนางจึงไปนั่งรถม้าอีกคันพร้อมสาวใช้ของอู๋ชิวอิ่ง รถม้าเล่นออกจากหน้าจวนไปช้าๆ องครักษ์สองคนของนางตามไปด้วย ในเมื่อหลิงเต๋อหมิงบอกนางว่าไม่ต้องปิดบังไว้ เช่นนั้นก็ทำอะไรโจ่งแจ้งไปเลย
“น้องสะใภ้ เจ้าอย่าได้ถือสาท่านแม่เลย ไว้ข้าจะคอยเตือนนางบ่อยๆ”
“พี่หญิงอย่าได้กังวลเลย เดิมข้าก็รู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ไม่ชอบข้า รออีกสักหน่อย รู้จักกันดีขึ้นท่านแม่ย่อมใจอ่อนลงบ้าง”
“ท่านแม่นิสัยอ่อนแอ ใจคอคับแคบ นางวาดหวังอยากให้ญาติผู้น้องแต่งเข้ามา แต่ท่านลุงกับท่านย่าไม่ชอบญาติผู้น้องคนนั้น พวกท่านจึงมีปากเสียงกันบ้าง ข้าเองก็ไม่สนิทกับญาติฝั่งบ้านเดิมท่านแม่นัก แต่นับว่ารู้จักนิสัยและหน้าตาฝ่ายนั้นมาบ้าง ถ้าจะให้ข้าเลือก ข้าเลือกเจ้าดีกว่า น้องสะใภ้ ขอโทษที่ข้าพูดตรงๆ เจ้าอย่าได้ยินยอมให้ท่านแม่มากนักล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการรับภัยเข้ามาทำร้ายตัวเอง”
“พี่หญิง ข้าเองก็ไม่ขอปิดบัง ท่านพี่ฐานะสูงส่ง หน้าที่การงานดี ชาติตระกูลดี อายุก็ยังน้อย ไหนเลยข้าจะไม่กังวลเช่นกัน เพียงแต่ข้าพยายามทำหน้าที่ตัวเองให้ดีย่อมไม่มีใครว่าข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าก็อยากจะเห็นแก่ตัวให้ท่านพี่มีข้าเพียงคนเดียวเช่นกัน”
“เจ้าจะเห็นแก่ตัวสักหน่อยก็ช่างปะไร ข้าเองก็ยังคิดเลยว่าหากบุรุษหลายใจ จะไปสนใจเขาทำไม หากจัดการไม่ได้ไม่สู้ถอยออกมาจะดีกว่า ตอนนี้เต๋อหมิงยังไม่มีสตรีอื่น เจ้าระวังไว้ย่อมเป็นการดี พี่สาวเอาใจช่วยเจ้า” หลิวเป่าหลิงดึงมืออู๋ชิวอิ่งไปกุมไว้ ลูบๆ จับๆ รู้สึกว่านุ่มดีจึงจับไม่ยอมเปล่า
“ขอบคุณพี่หญิง”
ทั้งสองพูดคุยเปิดอกกันตลอด หลิวตงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ไหนเลยเขาจะไม่ได้ยินคุณหนูใหญ่กับฮูหยินน้อยคุยกัน เขาคงต้องรายงานนายท่านสักเล็กน้อย ไม่รู้นายท่านจะทำหน้าอย่างไรที่พี่สาวให้ท้ายภรรยาเขาเช่นนี้ แต่หลิวตงสังเกตมาสักพักแล้ว นับว่านายท่านสนใจในตัวฮูหยินน้อยมาก ไม่แน่วันหน้าฮูหยินน้อยอาจเป็นหนึ่งไม่มีสอง ตัวเขาเองก็ไม่อาจล่วงเกินฮูหยินน้อยได้เช่นกัน
ถึงร้านเครื่องประดับเทียนเป่า อู๋ชิวอิ่งส่งทับทิมสีเลือดนกให้ผู้ดูแลร้าน เลือกแบบแล้วกำชับให้เร่งทำเครื่องประดับออกมาชุดหนึ่ง ด้วยเพราะหลิวเป่าหลิงไปด้วย หลงจู๊จึงรู้ว่าอู๋ชิวอิ่งคือฮูหยินท่านเจ้าเมือง ทับทิมงามทั้งกล่องก็เป็นท่านเจ้าเมืองมอบให้ฮูหยินไว้ทำเครื่องประดับใส่ตอนปีใหม่ เขาจึงนอบน้อมและระมัดระวังมากขึ้น
หลิวเป่าหลิงพานางเดินเล่นในตลาด แวะร้านผ้า ร้านน้ำชาและอีกมากมายจนเกือบจะค่ำก็พากันขึ้นรถม้าตรงไปยังท่าเรือที่ทะเลสาบหลิงถง ริมฝั่งประดับด้วยเสาขนาดเท่าโคนขา แขวนโคมประดับไว้สวยงาม มีเรือลำใหญ่สองชั้นสองลำจอดรอรับแขก ในเรือจุดโคมไฟแล้ว ทั้งสองลำประดับไว้หรูหรา เรือสองลำนี้เป็นกิจการของหอฝูไหล มีกิจการโรงเตี๊ยมและเรือท่องทะเลสาบ
ที่ท่าเรือมีบุรุษสูงโปร่งคนหนึ่งแต่งกายชุดสีน้ำเงินทั้งชุดเนื้อผ้าดีสะอาดสะอ้านกับบุรุษสูงใหญ่ร่างหนากว่าใส่ชุดรัดกุมแต่ก็มองออกว่าเขามาจากสกุลใหญ่ สองคนนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นหลิวเต๋อหมิงกับแม่ทัพหยางจิ่น
หลิวเป่าหลิงลงจากรถม้าไปก่อน อู๋ชิวอิ่งตามหลัง ยังไม่ทันที่เท้าจะแตะพื้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมารวบเอวนางไว้ จากนั้นก็ยกนางลง ค่อยๆ วางนางลงกับพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นหลิวเต๋อหมิง
“รีบขึ้นเรือกันเถอะ”
อู๋ชิวอิ่งหันมองหลิวเป่าหลิงที่กำลังยอบกายคารวะแม่ทัพหยาง อีกฝ่ายผายมือเชิญนางเดินนำไปก่อน จะว่าไปแล้วทั้งสองคนคล้ายกันตรงที่เป็นม่าย แต่คนหนึ่งขอหย่าสามี คนหนึ่งภรรยาตายตอนคลอดบุตรเมื่อหลายปีก่อน จะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็โดดเดี่ยวแต่กลับมีนิสัยร่าเริงเปิดเผยไม่ต่างกัน
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” หลิวเต๋อหมิงเห็นนางก้มหน้าไม่พูดไม่จาจึงกระซิบถามขณะก้าวไปบนแผ่นไม้พาดระหว่างเรือกับฝัง
“เหตุใดถึงมากินอาหารที่นี่เล่า”
“จริงๆ วันนี้มีงานเลี้ยงเล็กๆ ระหว่างสหายสนิทกัน ข้าจึงเหมาเรือทั้งลำไว้”
อู๋ชิวอิ่งพยักหน้าเข้าใจ คนทั้งสี่เดินขึ้นไปชั้นบนที่เป็นลานโล่งเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้ รอบด้านทั้งสามเป็นโต๊ะตัวเตี้ยและเบาะรองนั่งโต๊ะละสี่ที่ มีคนมานั่งกันหลายโต๊ะแล้ว หลิวเต๋อหมิงเดินนำไปนั่งที่โต๊ะตัวใหญ่สุดและข้าวของก็งดงามกว่าโต๊ะอื่นเล็กน้อย หลังแนะนำตัวกันเสร็จก็นั่งลง สาวใช้ยกสุราอาหารขึ้นโต๊ะทันที อู๋ชิวอิ่งกับหลิวเป่าหลิงนั่งด้านในชิดกับราวกั้น แค่ชะโงกหน้านิดหน่อยก็เห็นผิวน้ำทะเลสาบแล้ว
“พวกบุรุษยังร่ำสุราก็ชั่งปะไร พวกเรากินให้อิ่มก่อนเถอะ” ว่าแล้วหลิวเป่าหลิงก็คีบเนื้อปลาหิมะทอดจนเหลืองกรอบราดด้วยน้ำปรุงรสหวานอมเปรี้ยวให้อู๋ชิวอิ่ง
“คุณหนูใหญ่ชอบกินปลาทอดราดน้ำเปรี้ยวหวานแล้วเหตุใดต้องบังคับคนอื่นให้กินด้วย”
“ข้าเองก็ชอบ นับว่ามีรสนิยมการกินเหมือนพี่หญิงแล้ว” อู๋ชิวอิ่งเอ่ยขึ้นก่อนแล้วคีบปลาชิ้นนั้นเข้าปาก นางเหมือนจะจับความอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่เหตุใดชาติก่อนนางไม่ได้สังเกตนะว่าท่านแม่ทัพหยางกับหลิวเป่าหลิงสนใจกันอยู่ เช่นนั้นชาตินี้นางควรส่งเสริมพวกเขาถึงจะถูก หลิวเป่าหลิงจะได้ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยว แม่ทัพหยางก็จะได้มีคู่ชู้ชื่นที่ถูกใจ
หลังงานเลี้ยงสามีภรรยากลับมาถึงจวนเจ้าเมือง กำลังอิงแอบแนบชิดกันบนเตียง เพราะงานเลี้ยงนี้มีแต่สหายสนิทของหลิวเต๋อหมิง บางคนนางรู้จักมาก่อนและพอจะรู้นิสัยคนเหล่านั้น รวมทั้งหลิวเป่าหลิงไปร่วมงานด้วย นางจึงนึกครึ้มใจดื่มสุรากับหลิวเป่าหลิงไปหลายจอก คนคออ่อนอย่างนางมีหรือจะไม่เมา
“ข้าไม่ชอบสาวใช้ห้องข้างของท่าน”
อยู่ๆ อู๋ชิวอิ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ แต่ทำให้หลิวเต๋อหมิงถึงกับชะงักไป สาวใช้ห้องข้าง? หมายถึงจูอีซินกระมัง เขาดันกายนางให้นอนลงใต้ร่างเขา ก้มมองใบหน้าแดงเรื่อกับนัยน์ตาฉ่ำวาวแดงก่ำ ไม่รู้เพราะเมาหรือเพราะกำลังจะร้องไห้
“จริงๆ แล้วนางปรนนิบัติข้ามาสามครั้งเท่านั้น”
“ข้าไม่ชอบ”
ท่าทางราวกับเด็กเอาแต่ใจของนางทำให้เขาอมยิ้ม อดที่จะก้มลงไปจุมพิตนางสักครั้งไม่ได้ “ได้ เจ้าไม่ชอบ ข้าก็ไม่ชอบเช่นกัน” เขาเลื่อนมือลูบหน้าอกอวบอิ่ม เคล้าคลึงอยู่ครู่ใหญ่ก็สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อแล้วดันมันออกมายังรอยแยกของเสื้อ เผยอกอวบอิ่มเต่งตึงขึ้นมา เขาก้มลงไปกัดเบาๆ ที่เนินเนื้อขาวผ่องจนนางครางเสียงหนึ่งแล้วจึงเข้าครอบครองปลายยอดเล็กสีชมพู ดูดเลียตะกละตะกลามละเลงน้ำลายจนมันเปียกชุ่มทั้งสองข้าง
“หากสามีจัดการนางออกไป อาชิวจะให้รางวัลสามีหรือไม่”
“อยากได้อะไร”
“อยากได้ตรงนี้ของอาชิว” เขาทาบฝ่ามือกับเนินเนื้อหลังเต่าที่ถูกเปลื้องผ้าไปจนหมดแล้ว บุปผากลีบงามกำลังผลิตน้ำหวานออกมาเปียกชุ่มปลายนิ้วเขา
“อือ” นางตอบรับในลำคอ แต่ไม่ได้ขยับกาย คล้ายกำลังมึนงง แต่พอเขาสอดปลายนิ้วเข้าไปในบุปผาร้อนรุ่มนางถึงกับลุกขึ้นมานั่งคร่อมบนต้นขาเขา ขยับเอวถูไถความเปียกแฉะกับลำเนื้อจนเขาแทบล่มปากอ่าว “ชอบหรือ”
“ชอบมาก” หลิวเต๋อหมิงกุมเอวเล็กของนางไว้ ขยับสะโพกไปพร้อมกับนาง เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว
อู๋ชิวอิ่งมึนๆ งงๆ แต่นางก็ทำให้เขาพอใจด้วยการจับท่อนลำสอดเข้าไปในทางแคบของนางแล้วนั่งทับลงมาเต็มแรง ทั้งสองถึงกับครางเสียงแหบต่ำ จากนั้นนางจึงยันมือสองข้างไปด้านหลังบนเข่าของเขา ยกสะโพกเริ่มขยับกายครอบครองท่อนเนื้ออวบใหญ่แข็งผงาด หลังจากตอกย้ำอยู่หลายครั้งก็เกิดน้ำหลากจากการเสียดสีช่วยบรรเทาความฝืดเคืองตามธรรมชาติของร่างกาย นางจึงโยกด้วยจังหวะรัวเร็วขึ้นคล้ายสติหลุด อาจเพราะสุราทำให้เมามายขาดสติไปแต่นางกลับเผยตัวตนอีกด้านหนึ่งให้เขาได้เห็น สะโพกตอกย้ำดังตับๆ ตับๆ ร่างชื้นเหงื่อ กลางกายเสียวซ่านแต่ไม่อาจหยุดยั้งการขยับโยกได้ สองเต้ากระดอนเล็กน้อยเพราะถูกเสื้อรั้งไว้ หลิวเต๋อหมิงจึงดึงทึ้งเสื้อของนางหลุดออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงเปลือยเปล่าเหมือนกันแล้ว คราวนี้สองเต้ากระดอนขึ้นลงยั่วตามากจนเขาต้องเอื้อมมือไปบีบเคล้นมันอย่างหนัก ทั้งยังหยัดสะโพกรับการตอกย้ำของนางตลอด
“อาชิว อา” เสียงครางแหบต่ำของเขาดังลั่น
“ดีหรือไม่ ว่าอย่างไร ข้าเก่งหรือไม่ ตอบมาสิ ท่านจะมีผู้หญิงอื่นอีกหรือไม่ ข้าดีกว่านางนะ ดีกว่าใช่หรือไม่ ท่านอย่าทิ้งข้าไปหานางอีกนะ อย่าทิ้งข้านะ” เสียงแหบแห้งสั่นพร่า ทั้งขาดห้วงแทบฟังไม่รู้เรื่อง แต่เพราะเขาตั้งใจฟังก็รู้แล้วว่านางกำลังพูดอะไรอยู่ สักพักก็เห็นนางหลั่งน้ำตาไหลผ่านสองข้างแก้ม มวยผมหลุดลุ่ย สภาพของนางตอนนี้ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสารจับใจ
หลิวเต๋อหมิวใจหายวาบ รีบลุกขึ้นมากอดนางไว้ แต่อู๋ชิวอิ่งไม่ได้หยุดขยับกาย นางดันอกเขาออก เร่งเร้าจังหวะรัวเร็วกว่าเดิม แม้นางจะร้องไห้แต่ก็ครางออกมาเสียงสั่นพร่า “อา อือ ดีหรือไม่ อา” นางยังพูดคำเดิมๆ คล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ดี อาชิวดีมาก ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้ารักอาชิว ได้ยินหรือไม่ ข้าจะไม่มีใครอื่นทั้งนั้น” หลิวเต๋อหมิงกอดกระชับนางไว้แต่ก็หยัดสะโพกช่วยให้ทั้งสองร่วมจังหวะขยับกาย เขามีความสุขมาก แต่ก็รู้สึกข่มฝาดในคอเพราะสงสารนาง เขาคิดว่านางคงจะกลัดกลุ้มอยู่มากถึงได้ใช้สุรามาย้อมใจเพื่อจะได้พูดความในใจออกมา
“อา เร็วอีก อือ อา” อู๋ชิวอิ่งหดกายตัวเกร็งจนหลิวเต๋อหมิงเป็นคนคุมจังหวะเองนางถึงกับหงายหน้ากรีดร้องเสียงดังลั่น กายกระตุก บุปผาเร้นลับในส่วนลึกบีบรัดถี่เร็ว นางสุขสมนำไปแล้ว น้ำรักไหลหลากจนเปื้อนต้นขาของทั้งสองคน แต่หลิวเต๋อหมิงกลับไม่หยุด เขากอดนางไว้แน่น เร่งขยับสะโพกรัวเร็วจนเตียงแทบหัก กลิ่นชะมดเชียงอบอวลทั้งห้อง สุดท้ายเขาก็ทานทนไม่ไหวพลิกกายให้นางนอนใต้ร่างเขา โจนจ้วงสะโพกไปเต็มกำลังและปลดปล่อยออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำขาวขุ่นไหลทะลักเข้าไปในกายนางจนหมดเกลี้ยง ทั้งสองหอบหายใจรัวเร็ว ก่ายกอดกันแน่นไม่ยอมแยกจาก เขาพลิกกายลงไปนอนด้านล่างทั้งที่ยังสอดประสานกายติดกันอยู่ นางจึงขึ้นมานอนอยู่บนตัวเขา
“อาชิว อย่าคิดมากอีกนะ”
“อือ ไม่ อึก...” เหมือนนางจะพูดอะไรบางอย่างแต่หลิวเต๋อหมิงฟังไม่เข้าใจ รับรู้แค่ว่าน้ำตาของนางยังไหล เขาจึงลูบหลังนางไปด้วย กอดนางไปด้วย
เขารู้สึกเสียใจมากที่ทำให้นางต้องหลั่งน้ำตา