8

3977 Words
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...บริษัทซานเตียนโน่ คอร์ปอเรชัน เวลา 16:07 น.หลังจากทำงานครบกำหนดตามที่บิดาตั้งไว้ สองหนุ่มก็ถูกเรียกเข้าไปคุยที่ห้องประชุมใหญ่ “พ่อดีใจนะ ที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาลูกทั้งสองตั้งใจทำงาน จนดีแลนเอ่ยปากชม” ลูคัสเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ‘แหม...ก็ลองไม่ชมดูสิ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้พี่รัญแทบจะไม่ได้ทำงานอะไรเลย’ ภาคินแอบตอบในใจ “เอาเป็นว่า...ไลอ้อนได้ไปคุมกิจการทางเหนือตามที่ขอ ส่วนไทเกอร์ได้คุมกิจการทางใต้ และสามปีต่อจากนี้...หากใครทำกิจการของพ่อขาดทุนก็เตรียมตัวกลับมาเป็นเลขาและเรียนรู้งานกับดีแลนใหม่” ลูคัสบอกบุตรชายทั้งสองอย่างเป็นทางการ “ครับ/ครับ” สองหนุ่มขานรับด้วยรอยยิ้ม “ไทเกอร์โอเคใช่ไหมที่ต้องไปคุมกิจการทางใต้” ลูคัสถามย้ำ “โอเคครับ” ภัคคินัยฉีกยิ้มให้บิดา “งั้นก็ไปพักผ่อนกันก่อนสักสองอาทิตย์ แล้วค่อยเริ่มงานกันต้นเดือนหน้า อ้อ! ใครว่างก็แวะไปเยี่ยมยายบ้างนะ บ่นคิดถึงใหญ่เลย” ลูคัสบอกพลางลอบสังเกตอาการของคนที่อยากจะไปคุมกิจการทางเหนือ “โอเค! งั้นผมจะกลับวันนี้เลยครับ” ภาคินรีบบอก “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” ลูคัสเอ่ยแซว “กะ...ก็ผมคิดถึงยายนี่ครับ” ภาคินตอบอย่างอายๆ “ใช่เหรอ?” ภัคคินัยกลอกตาอย่างรู้สึกหมั่นไส้ “ยุ่งน่า” ภาคินมองค้อนแฝดผู้น้อง “หึๆ พ่อจะพยายามเชื่อก็แล้วกันนะ อ้อ! แล้วนี่ไทเกอร์รู้หรือเปล่าว่า อีกสามวันหนูคาร่าจะเดินทางไปอังกฤษแล้ว” ลูคัสเอ่ยถามเรื่องสำคัญ “ยังครับ” ภัคคินัยขมวดคิ้วจนแทบจะพันกัน “น้องไวน์ไปด้วยไหมครับ” ภาคินรีบถามถึงสาวเจ้าอย่างใจคอไม่ดี “ไปสิ! เห็นว่าจะไปเรียนปรับพื้นฐานก่อน อ้าว! ไลอ้อนจะไปไหน” ลูคัสถึงกับตกใจเมื่อเห็นบุตรชายเดินออกห้องไปโดยไม่บอกไม่กล่าว “ผมจะไปหายายครับ” ภาคินหันไปตอบบิดาก่อนจะรีบเดินตรงไปที่ลิฟต์อย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไทเกอร์ตามไปดูไลอ้อนหน่อย” ลูคัสรีบบอกอย่างเป็นห่วง “ครับ” ภัคคินัยรีบตามไป พร้อมกับตะโกนเรียกแฝดผู้พี่ด้วยสีหน้าตื่นๆ “คิน! รอก่อน” “มึงจะตามกูมาทำไม?” ภาคินกลอกตาอย่างเซ็งเมื่อเห็นแฝดผู้น้องวิ่งตามเข้ามาในลิฟต์ “พ่อให้กูไปเชียงใหม่พร้อมกับมึง” ภัคคินัยรีบยกเอาบิดามาอ้าง “บ้า! มึงจะไปทำไม” ภาคินส่ายหน้า แล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล็อบบี “กูต้องไปส่งคาร่าขึ้นเครื่อง” คนมีข้ออ้างบอกยิ้มๆ ภาคินกลอกตาอย่างเซ็งๆ พลางนึกไปถึงวรันยาที่กำลังจะออกเดินทางไปอังกฤษในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เพราะตั้งใจว่าจะกลับไปใช้เวลากับสาวเจ้าให้หายคิดถึง แต่ก็เหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปดั่งที่ตั้งใจ เชียงใหม่...เวลา 18:01 น. หลังจากที่ภาคินกับภัคคินัยลงเครื่องเสร็จ ก็เดินออกมาเจอสิงขรรอรับอยู่ตรงประตูทางเข้า-ออกด้านหน้าสนามบิน “สวัสดีครับคุณคิน คุณนัย” สิงขรหัวหน้าคนงานในไร่ไปรยาเวศ เอ่ยทักทายหลานชายฝาแฝดของคุณหญิงกังศมาด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับพี่สิงห์ / สวัสดีครับ พี่สิงห์มาคนเดียวเหรอครับ” ภาคินกับภัคคินัยยกมือไหว้คนที่อายุมากกวาอย่างนับถือ เพราะสิงขรคุมงานในไร่มานานร่วมสิบกว่าปีแล้ว “ใช่ครับ คุณมาร์ติดละครเลยส่งผมมารับแทน” สิงขรเอ่ยหยอกพร้อมกับรับไหว้สองหนุ่ม ที่เห็นมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนกระทั่งเรียนจบและเตรียมจะเริ่มทำงานในฐานะผู้บริหารรุ่นต่อไปของไปรยาเวศและซานเตียนโน่ “เฮ้อ...นึกว่ายายจะคิดถึงผมกับไอ้นัยซะอีก” ภาคินตัดพ้อ “หึๆ จะกลับไร่เลย หรือว่าจะแวะที่ไหนก่อนไหมครับ” สิงขรหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของหนุ่มอารมณ์ขัน “กลับไร่เลยครับ ผมคิดถึงยาย” ภาคินรีบบอกเพราะกลัวว่าแฝดผู้น้องจะแวะที่อื่น “จริงเหรอ?” ภัคคินัยที่เงียบมานานเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้ากวนๆ “หึๆ” สิงขรหัวเราะลั่นอย่างเก็บไม่อยู่ เพราะรู้ดีว่าคนที่ภาคินอยากจะเจอมากที่สุดไม่ใช่คุณหญิงกังศมา แต่เป็นบุตรสาวของพ่อเลี้ยงสินชัยต่างหาก “รีบๆ ไสหัวขึ้นรถไปเลยไอ้นัย” ภาคินดันแผ่นหลังของแฝดผู้น้องให้เข้าไปนั่งในรถตู้สุดหรูด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะตามเข้าไปนั่งแล้วล้วงมือถือมากดเล่น กลบเกลื่อนอาการเขินอายที่มีแต่คนรู้ทัน หนึ่งชั่วโมงต่อมา...ภาคินรีบหันไปบอกสิงขร เมื่อรถขับมาจนเกือบจะถึงทางเข้ารีสอร์ตพรรณนารา “พี่สิงห์แวะที่บ้านอาสินก่อนนะครับ” “ไอ้คิน! ไหนแกบอกว่าคิดถึงยายไง” ภัคคินัยถามอย่างมึนงง “ก็ใช่! แต่ขอไปหาน้องไวน์ เอ๊ย! ขอไปหาอาสินก่อน” “บ้า! ไปหายายก่อนแล้วค่อยมาหาอาสิน” ภัคคินัยต่อว่าอย่างเพลียๆ “แต่ฉัน...” คนที่ทนความคิดถึงแทบไม่ไหว พยายามจะต่อรอง “ตรงไปที่ไร่เลยครับพี่สิงห์” ภัคคินัยบอกอย่างไม่ฟังเสียง “ครับ” สิงขรรับคำอย่างขำๆ ก่อนจะขับรถตรงไปยังไร่ไปรยาเวศ “เฮ้อ...” ภาคินจ้องมองทางเข้ารีสอร์ตพรรณนาราด้วยสายตาละห้อยอยากจะเปิดประตูแล้วกระโดดลงไปกลิ้งม้วนสักสามตลบ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาวิ่งตรงยังไปบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ท้ายรีสอร์ต แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสิงขรเหมือนจะอ่านใจของเขาออก ถึงได้เหยียบเร่งความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว เรือนใหญ่ไปรยาเวศ... กังศมาออกมานั่งรอรับหลานชายที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาเกือบปีอย่างรู้สึกตื่นเต้น ทันทีที่เห็นรถตู้แล่นเข้ามาจอดก็รีบเดินลงไปหาอย่างดีใจ “สวัสดีครับยาย” สองหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นยายก่อนจะเข้าไปกอด “ตาคิน! ตานัย!” กังศมาน้ำตาคลอ กอดหลานชายทั้งสองเอาไว้แน่น “คิดถึงยายจังเลยครับ” ภัคคินัยรีบหยอดคำหวานตัดหน้าแฝดผู้พี่ “ผมคิดถึงมากกว่าครับ” ภาคินเกทับอย่างรู้สึกหมั่นไส้ เพราะตนกำลังจะพูดคำๆ นั้นออกมา “ไม่จริง! เมื่อกี้ถ้าผมไม่ห้าม ป่านนี้ไอ้คินแวะหาน้องไวน์ไปแล้วครับ” ภัคคินัยรีบฟ้อง “หึๆ แวะก็คงไม่เจอหรอก” กังศมาบอกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เพราะ เมื่อครู่เธอก็แอบคิดว่าภาคินจะต้องแวะที่รีสอร์ตพรรณนาราก่อนเหมือนกัน “มะ...หมายความว่าไงครับ” ภาคินถามต่ออย่างใจคอไม่ดี กลัวว่าสาวเจ้าจะออกเดินทางไปอังกฤษก่อนกำหนด “น้องไวน์ไปงานวันเกิดหนูคาร่า” กังศมารีบบอกคนที่ทำหน้าซีดเหมือน ไก่ต้ม ก่อนจะหันไปบอกหลานชายอีกคนที่ยืนเงียบอยู่ “ตานัยเอาของขวัญไปให้ หนูคาร่าหน่อยสิ เป็นคู่หมั้นกันแล้ว จะได้ดูไม่น่าเกลียด” “ครับยาย” ภัคคินัยยิ้มรับบางๆ ก่อนจะมองไปยังกล่องของขวัญที่ ผู้เป็นยายเตรียมเอาไว้ให้ “ผมจะไปด้วยครับ” ภาคินรีบบอก “อย่าทำอะไรไม่น่ารักต่อหน้าผู้ใหญ่นะคิน” กังศมารีบเตือน “รับทราบครับ ว่าแต่รถของผมยังอยู่ดีไหมเอ่ย?” ภาคินพยักหน้ารับ ก่อนจะถามหา Audi R8 ของตน “อยู่สบายกว่าคนงานในไร่นี้อีก พ่อเราน่ะสั่งทำโรงจอดรถแบบติดกระจกและแอร์เอาไว้ให้ด้วย” กังศมาส่ายหน้าเบาๆ กับความเยอะของลูกเขย ไอ้รถแพงน่ะเธอก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่เปิดแอร์ให้รถนี่สิ บ้าบอจริงๆ “ว้าว! สวยเฉียบเหมือนเดิมเลย” ภัคคินัยรีบเดินตรงไปยังโรงจอดรถหลังจากที่สิงขรกดเปิดประตูไฟฟ้าผ่านรีโมทคอนโทรลให้ “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับยาย” ภาคินบอกก่อนจะรีบตามไปอย่างตื่นเต้น เพราะตอนที่ทำงานอยู่ทางใต้และกรุงเทพฯ. ตนกับแฝดผู้น้องใช้แต่รถของโรงแรมตลอด “ค่อยๆ ขับกันนะ” กังศมาบอกจบก็รีบกวักมือเรียกสาวใช้ให้เอากล่องของขวัญไปให้กับหลานชายทั้งสอง หนึ่งชั่วโมงต่อมา... ภาคินขับรถตามหลังรถของแฝดผู้น้องเข้าไปจอดที่ลานน้ำพุด้านหน้า จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปที่ด้านในบ้าน “อ้าว! ไทเกอร์ ไลอ้อน มากันได้ไงเนี่ย?” อัสลานจ้องมองสองหนุ่มฝาแฝดที่เป็นบุตรชายของเพื่อนรักและเป็นว่าที่ลูกเขยอย่างรู้สึกอึ้ง “สวัสดีครับอาอัสลาน ผมกับไลอ้อนเพิ่งจะมาถึงเมื่อชั่วโมงก่อน พอดี คุณยายบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของน้องคาร่าก็เลยแวะเอาของขวัญมาให้ครับ” ภัคคินัยยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยท่าทีสุภาพ “สวัสดีครับ” ภาคินยกมือไหว้ตามแฝดผู้น้อง พร้อมกับกวาดสายตามองหาสาวที่อยากจะเจอหน้ามากที่สุด “สวัสดีๆ เชิญด้านในกันดีกว่า” อัสลานรับไหว้ก่อนจะชวนสองหนุ่มเข้าไปร่วมแจมปาร์ตี้วันเกิดของบุตรสาวที่จัดขึ้นริมสระว่ายน้ำหลังบ้าน “ครับ/ครับ” ภาคินกับภัคคินัยขานรับ แล้วเดินตามหลังผู้ใหญ่ไป “ทุกคน...ดูซิว่าใครมา” อัสลานบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ทุก ๆ คนที่กำลังคุยกันสนุกๆ หันไปมองตามๆ กัน “พี่คิน” วรันยามองใบหน้าหล่อเหลาของจอมทะลึ่ง ที่หายเงียบไปนานเกือบปีอย่างตกใจ “พี่นัย” คาร่าเผลอเรียกชื่อออกมาอย่างลืมตัว คิดไม่ถึงว่าคนที่มีสถานะคู่หมั้น (ปลอมๆ) จะโผล่มาร่วมงานวันเกิดของเธอได้ “สวัสดีครับ ขอร่วมวงด้วยคนนะครับ” ภาคินแจกยิ้มหวานให้กับสาวๆ ในงาน ก่อนจะจ้องมองสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ในหัวใจ “สวัสดีครับน้าชบา” ภัคคินัยยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีจ้ะ” ชบารับไหว้ว่าที่ลูกเขยอย่างรู้สึกเขินๆ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกบุตรสาวให้เข้าไปหา “สวัสดีค่ะพี่นัย” คาร่ายกมือไหว้เก้ๆ กังๆ กลัวว่าเพื่อนๆ ที่มาร่วมงาน วันคล้ายวันเกิดจะรู้สถานะของตนเองกับอีกฝ่าย “นี่ครับของขวัญ” ภัคคินัยส่งกล่องของขวัญไปให้คู่หมั้นวัยทีน “ขอบคุณค่ะ” คาร่ารับมาถือมือไม้สั่น “สวัสดีครับคาร่า นี่ของขวัญจากพี่ครับ” ภาคินส่งให้สาวทอมที่วันนี้เปลี่ยนเป็นสาวสวยน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ “ขอบคุณค่ะ เชิญพี่คินกับพี่นัยตามสบายนะคะ” คาร่าส่งยิ้มบางๆ ให้ สองหนุ่ม พร้อมกับส่งของขวัญให้พี่เลี้ยงที่อยู่ใกล้ๆ เอาไปวางรวมกับของขวัญ ชิ้นอื่นๆ “ครับ” ภาคินพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ คนที่ทำเป็นเมินใส่ตน “ไง! ได้ข่าวว่าเกรดเฉลี่ยสวยไม่เบานี่” “ค่ะ” วรันยาอยากจะลุกหนีแต่ก็ถูกจอมทะลึ่งนั่งขวางทางออกเอาไว้ “จะเดินทางไปเรียนปรับพื้นฐานวันไหนครับ?” ภาคินยิงคำถามต่อขณะที่แฝดผู้น้องเลือกที่จะเข้าไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ แทนการมาร่วมวงกับสาวๆ สิบกว่าคน ที่เอาแต่จ้องมองใบของหน้าตนราวกับคนไม่เคยพบเห็น “อีกสามวันค่ะ” วรันยาตอบก่อนจะยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาจิบ รู้สึกร้อนผ่าว ที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนึกไปถึงเรื่องเก่าๆ ของเธอกับอีกฝ่าย “พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหม?” ภาคินอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้างามแดงระเรื่อ ขึ้นมานิดๆ “เอ่อ...ไวน์ต้องเตรียมตัวค่ะ” วรันยาตอบพลางหันไปมองเพื่อนๆ ที่ดูจะเงียบและคุยกันเบาเสียงลงไปกว่าตอนที่สองหนุ่มมาอย่างลิบลับ “ใจร้ายจัง เราไม่ได้เจอกันมาตั้งปีหนึ่งนะ” “เป็นหนึ่งปีที่ไวน์มีความสุขที่สุดเลยค่ะ” “เหรอ? แต่สำหรับพี่เป็นหนึ่งปีที่โคตรจะทรมานเลย” “ไม่จริง! เห็นมีข่าวกับสาวตั้งหลายคน” วรันยาเบ้ปากนิดๆ กับความตอแหลของจอมทะลึ่งที่มีข่าวกับดารา-นางแบบไม่แพ้หิรัญ “คนไหนก็ไม่เท่าคนนี้หรอกน่า” ภาคินฉีกยิ้มที่รู้ว่าสาวเจ้าเองก็ติดตามข่าวคราวของตน ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนอย่างที่เป็นข่าวเลยสักนิด “หึ! ใครเชื่อก็บ้าแล้ว” วรันยาเบ้ปากนิดๆ อย่างรู้สึกหมั่นไส้ “พี่พูดจริง” คนที่รักเดียวใจเดียวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ที่ผ่านมาจะมีนอกลู่นอกทางไปบ้างตามประสาผู้ชาย แต่ก็เป็นการซื้อกินแค่ครั้งคราว ส่วนข่าวที่มีกับดารา-นางแบบก็แค่ทักทายกันทั่วๆ ไปเท่านั้น เพราะการทำงานกับดีแลนเป็นอะไรที่เข้มงวดมาก หากวันไหนที่เข้างานสายก็จะถูกสั่งให้ไปทำหน้าที่แทนพนักงานรับรถทั้งวัน และนั่นทำให้มีนักข่าวมาจับภาพตอนที่ตนกับน้องชายฝาแฝดเปิดประตูรถให้นางแบบดัง แล้วเอาไปเขียนข่าวใหญ่โต โคตรจะไร้สาระสิ้นดี “ขยับออกไปนั่งห่างๆ หน่อยสิ ไวน์ร้อนแล้วก็อึดอัดด้วย” วรันยาบอกพร้อมกับขยับหนีไปจนชิดผนัง “แต่พี่หนาว” ภาคินส่งสายตาสื่อความหมายไปให้ ‘ให้ตายสิ! อยากจะดึงน้องไวน์เข้ามากอดแรงๆ ให้หายคิดถึงจัง’ “พี่คิน!” วรันยาถลึงตาใส่คนหน้ามึนที่ขยับตามมานั่งใกล้เธอ ‘บ้าจริง! นี่ไม่รู้หรือไงว่าสายตาของทุกคนในงานกำลังมองมาที่เขา’ “จ๋า” คนที่ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากสาวตรงหน้า ขานรับเสียงหวาน “อี้...ขนลุก” วรันยายกมือขึ้นลูบแขนทั้งสองข้างไปมาเบาๆ เพื่อยืนยันถึงสิ่งที่เอ่ย “คิกๆๆ” ทำเอาคาร่ากับเหล่าสาวๆ พากันหัวเราะอย่างอดไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินการสนทนาของทั้งสองมาได้สักพัก ภาคินหัวเราะตามสาวๆ วัยทีนอย่างรู้สึกเขินนิดๆ ก่อนจะตีเนียนทำเป็นยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม จากนั้นก็ลุกไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ที่โต๊ะร่วมกับภัคคินัย วรันยาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จอมทะลึ่งยอมย้ายที่นั่ง เพราะเธอรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเพื่อนๆ ที่เต็มไปด้วยคำถาม ซึ่งอาจจะไม่มีใครกล้าถามเธอในตอนนี้ แต่เชื่อว่าในแชตไลน์กลุ่มที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์เมาท์มอยกันอยู่นั้น คือเรื่องของเธอกับภาคิน 100% เวลา 23:07 น. วรันยาเอ่ยร่ำลาผู้ใหญ่กับคาร่าเสร็จก็เตรียมจะเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตของภัคคินัย แต่กลับถูกภาคินเดินมาโอบไหล่แล้วพาไปที่รถของตัวเอง “ปล่อยนะ! ไวน์จะกลับกับพี่นัย” วรันยารีบบอกเพราะไม่ไว้ใจจอมทะลึ่ง “บ้า! ไอ้นัยเป็นคู่หมั้นของคาร่านะ ทำแบบนั้นผู้ใหญ่อาจจะคิดมากได้” ภาคินหยิบยกเหตุผลขึ้นมาอ้างพร้อมกับดันสาวเจ้าให้เข้าไปนั่งข้างในรถของตน “แต่ว่า...” วรันยาพยายามจะเอ่ยท้วง “เข้าไป” ภาคินตัดบทด้วยสายตาดุๆ “ก็ได้ค่ะ” วรันยากลอกตาก่อนจะก้มลงไปนั่งในรถสปอร์ตสุดหรูด้วย สีหน้าเซ็งๆ “กลับก่อนนะครับ” ภาคินยกมือไหว้ผู้ใหญ่ แล้วหันไปโบกมือให้สาวๆ วัยทีนที่พากันเอาแต่จ้องมองตนกับแฝดผู้น้องตาละห้อย จากนั้นก็เดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วหันไปเอ่ยถามคนที่ปกติจะนอนไม่เกินสามทุ่ม “ง่วงหรือเปล่าครับน้องไวน์?” “นิดหน่อยค่ะ” วรันยาพยักหน้ารับเบาๆ “งั้นก็หลับไปเลย เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะปลุก” ภาคินบอกก่อนจะกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ “ไม่ค่ะ ไวน์พอไหว” วรันยากดลดกระจกลง แล้วโบกมือให้เพื่อนๆ “หึๆ กลัวพี่ไม่พากลับรีสอร์ตหรือไง?” ภาคินถามยิ้มๆ “ถ้าพี่คินไม่กลัวพ่อฆ่าตายก็ลองดู” เธอขู่กลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ‘อะไรกัน! ไม่เจอเกือบปีอีตาบ้านี่ยังทะลึ่งไม่เลิกอีก “เชื่อสิ! อาสินไม่ฆ่าพี่หรอก” คนที่พกความมั่นใจมาเกินร้อย บอกพร้อมกับเตรียมจะออกรถ แต่แฝดผู้น้องขับรถเข้ามาตีคู่ซะก่อน “ฉันมีธุระในเมือง แกพาน้องไวน์กลับบ้านดีๆ นะ” ภัคคินัยบอกหลังจากที่ลดกระจกลง “เออๆ รู้แล้วน่า” คนที่หาโอกาสงามๆ ได้อยู่กับสาวสองต่อสอง รีบขานรับอย่างดีใจ “น้องไวน์ถึงแล้วไลน์บอกพี่ด้วยนะครับ” ภัคคินัยส่งยิ้มไปให้สาวเจ้าที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถของแฝดผู้พี่อย่างรู้สึกเอ็นดู “ค่ะพี่นัย” วรันยาส่งยิ้มตอบบางๆ “พี่ไปก่อนนะ” ภัคคินัยรับคำก่อนจะขับรถแยกไปอีกทาง “พี่นัยเขาไปไหนเหรอคะ” วรันยาหันไปถามจอมทะลึ่งอย่างอยากรู้ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไรตอนดึกๆ ดื่นๆ “ไม่รู้เหมือนกัน” “แล้วพี่คินไม่เป็นห่วงเหรอ” “ห่วงทำไม มันไม่ใช่เด็กสักหน่อย” “แต่นี่มันดึกแล้วนะคะ” “พี่นั่งหัวโด่อยู่นี่ทั้งคน อย่าพูดเรื่องคนอื่นได้ไหม” ภาคินตัดพ้อ “คนอื่นที่ไหนกัน” วรันยากลอกตาอย่างเพลียๆ กับคำตอบที่วกไปวนมา เหมือนจงใจปกปิดบางอย่าง ‘หวังว่าพี่นัยคงไม่ได้แอบไปหาสาวที่ไหนหรอกนะ ไม่งั้นจะฟ้องคาร่าให้ดู’ เอี๊ยดดดด “เป็นบ้าอะไรเนี่ย” คนที่กำลังเคร่งเครียดเรื่องของเพื่อนสาวถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เหยียบเบรกกระทันหัน “บอกมาก่อนว่าคิดถึงพี่ไหม?” ภาคินจอดพร้อมกับดึงเบรกมือขึ้น แล้วหันไปถามสาวเจ้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมไวน์ต้องคิดถึงพี่คินด้วย?” วรันยาถามอย่างไม่เข้าใจ “ก็เพราะพี่คิดถึงเราทุกลมหายใจเข้าออกเลยน่ะสิ” ภาคินบอกความลับที่อยู่ในใจ ก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มอย่างโหยหา “อะ...อื้อ” วรันยาตกใจ พยายามดันคนตัวโตออก แต่ก็ไม่เป็นผล “อืม...หวานจัง” ภาคินถอนจูบพร้อมกับครางเบาๆ อย่างสุขล้นในหัวใจ “ไอ้พี่คิน” วรันยาผลักอีกฝ่ายทันทีที่เป็นอิสระ “กล้าเรียกพี่ว่าไอ้เหรอ!” ภาคินดึงสาวเจ้าเข้ามากอดและลูบไล้ไปตามสัดส่วน “กรี๊ดดดดด” วรันยากรีดร้องอย่างโมโหเมื่อมือหนาเลื่อนมาจับที่หน้าอกของเธอและหยุดค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น เธอจึงจัดการ ตบ! ทุบ! ตี! และกัดเข้าที่แขนของอีกฝ่าย เพียะ! ผัวะ! ตุบ! ตุบ! “โอ๊ย! เป็นหมาหรือไงฮะเรา” ภาคินต่อว่า ก่อนจะลูบตรงรอยกัดที่ต้นแขนแล้วซูดปากเบาๆ เพื่อระบายความเจ็บปวด ‘บ้าจริง! เลือดออกหรือเปล่าวะ’ “หึ! ถ้าลวนลามอีกทีล่ะก็ เจอดีแน่” วรันยาบอกพลางชูกำปั้นน้อยๆ ขึ้นตั้งการ์ดพร้อมสู้ “โธ่! พี่ขอชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้” ภาคินมองค้อนแม่สาวจอมแก่น “ชื่นใจบ้าน่ะสิ มาจับหน้าอกหนูทำไม” วรันยาตอกกลับอย่างโมโห ไม่คิดว่าจอมทะลึ่งจะพัฒนาการถึงเนื้อถึงตัวเพิ่มขึ้นมาอีกระดับ “แหม...พี่แค่อยากรู้ว่ามันใหญ่จริงๆ หรือว่ายัดฟองน้ำเอาไว้เท่านั้นเอง” คนหน้ามึนอมยิ้มที่มุมปาก กับความอวบหยุ่นที่เต็มไม้เต็มมือเมื่อครู่ “กรี๊ดดดด ไอ้คนบ้า” วรันยากรีดร้องแล้วรัวกำปั้นใส่อย่างบ้าคลั่ง ตุบ! ตุบ! ผัวะ! “โอ๊ย! นี่คนนะไม่ใช่กระท้อน ทุบเอาๆ อยู่นั่นแหละ” ภาคินรีบรวบข้อมือของสาวเจ้าเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะช้ำในตาย “ไปส่งหนูกลับบ้านเดี๋ยวนี้” วรันยาสะบัดมือออกจากการจับกุม “หอมแก้มพี่ก่อน แล้วจะพี่ขับรถไปส่งน้องไวน์โดยไม่แวะจอดข้างทางอีก” ภาคินยื่นข้อเสนอสงบศึกชั่วคราว “พี่คิน!” วรันยาแว้ดกลับด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ขอแค่นี้ให้ไม่ได้หรือไง” ภาคินบอกด้วยน้ำเสียงนอยด์ๆ “ถ้าหอมแล้ว รีบออกรถเลยนะ” วรันยากลั้นใจถาม เพราะกลัวว่าจะถูกลวนลามแบบเมื่อครู่อีก “ตามนั้น” ภาคินฉีกยิ้มทันทีที่คำขอเป็นผล ‘เอาน่าไวน์! คิดซะว่าหอมแก้มไอ้ด่างแล้วกัน’ วรันยาปลอบใจตัวเองก่อนจะหันไปบอก “เอียงแก้มมาใกล้ๆ สิ” “อะ...อื้อ” เธอตกใจ! ส่งเสียงครางท้วงเมื่อถูกขโมยจูบอีกครั้ง “อืม...” ภาคินครางเสียงกระเส่าก่อนจะถอนจูบที่เนิ่นนานออก “คะ...คนบ้า คอยดูนะไวน์จะฟ้องคุณมาร์กับคุณพ่อ” วรันยาผลัก คนหน้ามึนออกห่างจากตัว ขณะที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมากองบนตัก “ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่กลัว” ภาคินฉีกยิ้มเมื่อเห็นสาวเจ้าสั่นเทาไปทั้งเนื้อทั้งตัว จึงล้วงกล่องกำมะหยี่ที่อยู่ในช่องลับข้างพวงมาลัยออกมา “อ๊ะ! จะ...จะทำอะไร” วรันยารีบปัดมือหนาที่กำลังจะเอื้อมมาออก “พี่จะใส่ของขวัญวันเรียนจบให้ครับ” ภาคินขำกับท่าทีของสาวเจ้า “...” วรันยาขืนตัวและมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ “ขอโทษนะครับพี่ติดงาน เลยมาร่วมยินดีกับเราไม่ได้” ภาคินบอกขณะ ยื่นมือไปคล้องสร้อยพร้อมจี้เพชรรูปหัวใจ “ขอโทษทำไม ไม่ได้รอสักหน่อย” วรันยาบอกก่อนจะปัดมือหนาออก “ไม่ได้รอพี่จริงเหรอ?” ภาคินเอ่ยหยอกเย้า “จริง! ทีนี้ก็ออกรถได้แล้ว” วรันยาขยับไปติดประตูรถ แล้วหันไปมอง ข้างทาง “ครับคุณนายซานเตียนโน่” คนที่โลกทั้งใบกำลังเป็นสีชมพู หัวเราะเบาๆ ก่อนจะขับรถไปตามทาง “ไม่มีทาง” สาวเจ้าตอกกลับทันทีที่ได้ยินประโยคขัดหู “พรุ่งนี้ 9 โมงเช้าพี่จะมารับน้องไวน์ไปเที่ยวในเมืองนะ” “ไม่ ไวน์จะ...” “อย่าดื้อสิ อีกเดี๋ยวเราก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว ตามใจพี่หน่อยไม่ได้หรือไง” ภาคินอ้อนเสียงอ่อน “ก็แล้วทำไมไวน์ต้องตามใจพี่คินด้วยล่ะ” วรันยาถอนหายใจอย่างรู้สึกอึดอัด เพราะพรุ่งนี้เธอนัดกับคาร่าเอาไว้ว่าจะไปซื้อชุดชั้นในด้วยกัน “อ้าว! ก็เราเป็นแฟนพี่ไงจำไม่ได้เหรอ?” คนหน้ามึนขมวดคิ้วถามก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปในรีสอร์ตพรรณนารา “อี๋! ขี้ตู่ชะมัด” สาวเจ้าทำท่ายี้ใส่ “หึๆ สรุปพรุ่งนี้ไปเที่ยวด้วยกันนะ” ภาคินขับรถไปจอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเดาว่าตอนนี้สินชัยน่าจะหลับไปแล้ว “ไม่รู้ไม่ชี้” วรันยาตอบกวนๆ ก่อนจะลงจากรถแล้ววิ่งตรงเข้าบ้าน “ยัยเด็กบ้า!” ภาคินกลอกตา แล้วขับรถกลับไร่ไปรยาเวศด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนิดๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมสาวเจ้าถึงได้เอาแต่วิ่งหนีตน ทั้งๆ รู้อยู่แล้วว่าหนียังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD