วันต่อมา...เวลา 04:20 น. กังศมาที่ตื่นนอนแต่เช้ามืด รีบโทร.หาคนสนิท ให้ขับรถพามาส่งที่รีสอร์ต พรรณนารา พอมาถึงเธอก็ล้วงกุญแจสำรองที่สินชัยให้ไว้มาเปิดประตูบ้าน ก็พบว่าหลานชายตัวดีนอนห่มผ้าอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้านล่าง จึงสะกิดเรียกเบาๆ
“คิน! คิน! ตื่น”
“อื้อ...ยาย!” ภาคินลืมตาขึ้นมอง พอเห็นว่าใครมายืนเรียกอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจจนแทบช็อก
“ก็ยายน่ะสิ คิดว่าใครงั้นเหรอ” กังศมาต่อว่าพร้อมกับจุ๊มือที่ปากเตือนหลานชายให้พูดเบาๆ เพราะไม่อยากให้วรันยาหรือนารีตกใจตื่นขึ้นมาในตอนนี้
“มาทำไมแต่เช้าครับ” ภาคินถามอย่างรู้สึกมึนงงไม่หาย
“ยายต้องถามเรามากกว่าว่ามานอนที่นี่ทำไม?” กังศมาย้อนศร
“ผมมาดูบอลครับ” ภาคินตอบเสียงเบาหวิวอย่างรู้สึกอายๆ
“ที่บ้านเราไม่มีทีวีงั้นเหรอ?” กังศมาเลิกคิ้วถามพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของหลานชายนิ่ง
“มีครับ แต่เสียงดนตรีมันดัง ผมดูบอลไม่รู้เรื่อง”
“บ้า! ห้องดูหนังที่บ้านยายเป็นห้องเก็บเสียงนะคิน”
“จริงด้วยสิ! ผมลืมไปเลย” ภาคินทำหน้าแทบไม่ถูก
“นารีอยู่ไหน?” กังศมาถามหาคนกลางอย่างรู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้นอนที่นี่
“นอนกับน้องไวน์ที่ห้องครับ” ภาคินรีบบอก
“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น?” กังศมาแกล้งถามทั้งๆ ที่ได้ฟังความจริงจากปากของภัคคินัยไปหมดแล้ว
“เฮ้อ...ผมได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างๆ พูดถึงน้องไวน์ ก็เลยโกรธน่ะครับ” ภาคินถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“สิ่งที่คินแสดงออกเมื่อคืนน่ะ รู้ไหมว่าทำให้แม่เราเดือดขนาดไหน” กังศมาบอกเรื่องที่ทำให้เธอนอนไม่หลับมาทั้งคืน
“ผมพอจะเดาออกครับ” คนมีความผิดติดตัวพยักหน้ารับเบาๆ
“งั้นเดาออกไหมว่าจะต้องย้ายไปคุมกิจการทางใต้แทนนัย”
“โธ่! ยายก็รู้ว่าหัวใจของผมอยู่ที่นี่”
“น้องไวน์อายุแค่ 17 นะคิน ต้องให้ยายย้ำเรื่องนี้อีกสักกี่ครั้งกันฮะ” กังศมาบอกอย่างรู้สึกหงุดหงิด เพราะเธอและภัคคินัยเตือนแล้วเตือนอีก แต่ภาคินก็ยังทำหน้ามึนไม่เลิก
“ผม...” คนที่พยายามคิดหาข้อแก้ตัว
“ถ้าหากยังทำตัวแบบนี้อีกแค่ครั้งเดียว อย่าหาว่ายายใจร้ายแล้วกัน”
“ผมขอโทษครับ สัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ภาคินบอกเสียงอ่อน
“ยายฟังคำนี้มาหลายครั้งแล้วนะ” กังศมากลอกตาอย่างเพลียๆ
“ผมเสียใจจริงๆ ครับยาย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป พอรู้สึกตัวอีกที ทุกอย่างมันก็ดูแย่ไปหมด”
“ไปตั้งสติ แล้วทบทวนการกระทำของตัวเองใหม่ คินไม่ใช่เด็กที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ต้องรู้จักคำว่าอะไรควรและอะไร ไม่ควร”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ดี! งั้นก็กลับบ้าน”
“เอ่อ...แล้วคุณพ่อกับคุณแม่...” ภาคินเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
“ยายจะช่วยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” กังศมาถอนหายใจก่อนจะรับปากกางปีกปกป้องหลานชายตัวดี
“ขอบคุณครับ ผมรักยายที่สุดเลย” ภาคินโผเข้ากอดผู้เป็นยายอย่าง ซาบซึ้งใจ
“ไม่ต้องมากอดเลย รีบๆ ตามมา” กังศมาดันร่างสูงใหญ่ออก ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูหน้าบ้าน
ภาคินยิ้มก่อนจะรีบก้มลงไปเก็บผ้าห่มที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาพับแล้ววางไว้ที่โซฟา จากนั้นก็รีบตามผู้เป็นยายออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เรือนใหญ่ไปรยาเวศ...ทันทีที่กังศมาและภาคินเดินเข้าไปด้านในบ้าน ก็เจอดาหลากำลังเดินลงบันไดมาพอดี
“ออกไปตามหาหลานชายตัวดีมาเหรอคะคุณแม่?” ดาหลาเอ่ยดักทาง เพราะรู้ว่ามารดาออกไปกับคนขับรถตั้งแต่เช้า
“ปะ...เปล่า? แม่กำลังจะออกไปตลาด แต่บังเอิญลืมกระเป๋าตังค์น่ะ” กังศมาบอกอย่างรู้สึกเซ็งๆ ‘ตกลงใครเป็นแม่ ใครเป็นลูกกันแน่เนี่ย?’
“แล้วมากับตาคินได้ไงคะ” ดาหลาจ้องมองหน้าบุตรชายนิ่ง
“อ๋อ! เพิ่งเจอกันข้างนอกบ้านเมื่อกี้เอง” กังศมาที่รู้ว่าโกหกไม่เนียน แต่ก็อยากจะแถให้ถึงที่สุด
“เอ่อ...ผมขอตัวก่อนนะครับ” คนที่มีความผิดติดตัวเตรียมจะชิ่งหนี
“เดี๋ยว! แม่ว่าเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะคิน” ดาหลาดึงแขนของบุตรชาย ที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดให้หันกลับมา
“เฮ้อ...เมื่อคืนผมหวงน้องไวน์ไปหน่อย ก็เลยขาดสติไป คุณแม่อย่าโกรธผมนะครับ สัญญาเลยว่าจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีก” ภาคินสวมกอดมารดาอย่าง ออดอ้อน เพราะกลัวว่าจะได้ย้ายไปทำงานทางใต้จริง หากทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าเขาไม่สมควรจะอยู่ที่นี่
“โอเคๆ แต่หวงน่ะให้มันมีขอบเขตหน่อย เราเป็นแค่พี่ชายนะไม่ใช่แฟนหรือว่าพ่อของน้องไวน์” ดาหลาเตือน เพราะคิดว่าบุตรชายเมาแล้วสวมวิญญาณของพี่ชายที่หวงน้องสาวก็เท่านั้น
“เอ่อ...ครับ” ภาคินขานรับเบาๆ อย่างโล่งอก ‘! โชคดีที่แม่มองความรู้สึกของเราไม่ออก ไม่งั้นซวยแน่’
“แล้วนี่เมื่อคืนไปไหนมา” ดาหลาถามเรื่องที่สงสัย
“ไปนั่งดื่มกับพี่สิงห์ที่บ้านพักมาครับ” ภาคินรีบหาข้ออ้าง ขณะที่กังศมาเกือบหลุดขำออกมาเพราะเมื่อคืนสิงขรก็ดื่มอยู่ในงานจนกระทั่งงานเลิก
“ทำคนอื่นเขาตามหาไปซะทั่ว ตัวเองเป็นเจ้าของงานนะคิน” ดาหลาต่อว่าด้วยสีหน้าไม่พอใจที่บุตรชายทำตัวเหมือนคนไม่รู้จักกาลเทศะ
“ครับ ขอโทษด้วยครับ” ภาคินเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“เอ่อ...แม่ขอตัวไปนอนก่อนนะ” กังศมาเห็นสองแม่ลูกปรับความเข้าใจกันได้ เลยตีเนียนรีบเดินหนีขึ้นบันได
“อ้าว! ไหนว่าจะไปตลาดไม่ใช่เหรอคะคุณแม่” ดาหลามองตามหลังมารดาอย่างรู้สึกมึนงง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ภาคินยิ้มแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมกับผู้เป็นยาย
“ตาคิน!” ดาหลาส่ายหน้าอย่างรู้สึกเซ็งๆ ที่ถูกทั้งแม่และบุตรชายตัวแสบ ชิ่งหนี จึงเดินออกไปดูลานด้านหน้าเรือนใหญ่ที่คนงานกำลังเริ่มเก็บโต๊ะและเก้าอี้กันอย่างขยันขันแข็ง
หลังจากที่ภาคินเดินแยกย้ายกับผู้เป็นยายเสร็จ ก็ตรงมาที่ห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ตกใจจนแทบช็อก ที่เห็นแฝดผู้น้องนอนอยู่บนเตียง
“นัย! แกมาทำอะไรที่ห้องฉัน?”
“ก็มารอแกน่ะสิ” ภัคคินัยตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง
“รอทำไม?” ภาคินถามทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจว่าคงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืน
“แกจำเรื่องที่รับปากกับฉันเอาไว้ได้ใช่ไหม” ภัคคินัยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับของฆาตกรโรคจิต เอ๊ย! ตามแบบฉบับหนุ่มมาดขรึม
“จำได้ และฉันก็เพิ่งจะถูกแม่กับยายสวดมาเมื่อสองนาทีก่อน” ภาคินตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ‘อะไรวะ? ตื่นมาก็เจอยาย ต่อด้วยแม่ แล้วยังต้องมานั่งตอบคำถามงี่เง่าจากไอ้นัยอีกงั้นเหรอ’
“แกจะเข้าไปคุยกับพ่อเอง หรือว่าจะให้ฉันเข้าไปคุย” ภัคคินัยถามแฝดผู้พี่ที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งที่คนในบ้านต่างพากันเครียดไปตามๆ กัน
“คุยเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องที่แกจะย้ายไปดูแลกิจการทางใต้ไงล่ะ”
“ไม่! จะไม่มีใครไปคุยกับพ่อเรื่องนี้ เพราะฉันเคลียร์กับยายและแม่จบไปแล้ว” ภาคินหน้าตึงขึ้นมาทันใด ที่แฝดผู้น้องหยิบยกเรื่องนี้มาขู่
“กูจะรอดูว่ามึงจะตัวเอาตัวรอดไปได้อีกกี่ครั้ง” ภัคคินัยจ้องมอง แฝดผู้พี่ด้วยสายตาเหยียดๆ
“หึ! อย่างน้อยกูก็ไม่ได้แก้ผ้านอนกอดกับน้องไวน์ เหมือนที่มึงทำกับคาร่า” ภาคินสวนกลับคนปากดีอย่างเต็มไปด้วยความอิจฉา ที่ไม่สามารถหมั้นหมายกับ วรันยาได้เหมือนที่ใจอยาก
“ไอ้คิน!” ภัคคินัยเอ่ยเรียกอย่างไม่พอใจ
“เราต่างก็โตๆ กันแล้ว ต่อไปนี้กูจะทำอะไร มันก็เรื่องของกู ส่วนมึงจะทำอะไร ก็เรื่องของมึง!” ภาคินบอกอย่างรู้สึกรำคาญ แกมน้อยใจที่แฝดผู้น้อยไปนอนแก้ผ้ากอดสาวที่อายุเพิ่งจะครบ 18 ปี แต่พ่อกับแม่ของเขาก็ทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร แถมยังเห็นดีเห็นชอบให้หมั้นหมายกันเอาไว้ก่อน แต่พอเป็นเขากับวรันยา ทุกคนต่างพากันห้าม อ้างความเหมาะสม อะไรควรไม่ควร น้องไวน์อย่างนั้น น้องไวน์อย่างนี้ บลาๆๆ ทั้งๆ ที่วรันยาเองก็อายุเท่าๆ กับคาร่า แบบนี้มันสองมาตรฐานชัดๆ
“ได้!” ภัคคินัยตอบก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าตึงๆ พร้อมกับปิดประตูห้องกระแทกตามหลังเสียงดังสนั่น
“หึ! ทำเป็นสอนคนอื่น ทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะทำเลวมาหมาดๆ นี่ถ้าคาร่าไม่ใช่ลูกสาวของอาอัสลานล่ะก็ ป่านนี้ไม่ติดคุกไปแล้วเหรอวะ” ภาคินส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนบนเตียงอย่างรู้สึกหงุดหงิด
10 วันต่อมา...หลังจากที่วรันยากับกังศมาเดินทางไปเที่ยวอังกฤษ โดยมี ดาหลาอาสาพาทัวร์ พอกลับมาถึงประเทศไทย วรันยาก็ไปเรียนพิเศษกับคาร่าและ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไร้เงาของจอมก่อกวนอย่างภาคิน
โรงแรมซานเตียนโน่ (ภูเก็ต)
“พ่อครับ ทำไมผมต้องมาดูงานที่นี่ด้วย” ภาคินถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ต้องศึกษางานเอาไว้ทั้งเหนือและใต้น่ะสิ อนาคตคือสิ่งไม่แน่นอนใช่ไหมครับพ่อ” ภัคคินัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง
“ถูกต้อง พ่อจะยังไม่ยกกิจการให้ใคร จนกว่าลูกทั้งสองจะพิสูจน์ได้ว่าคู่ควรจะรับช่วงต่อ” ลูคัสพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะตอนที่หิรัญมาเรียนรู้งานต่อจากตน ก็เรียนรู้ทั้งกิจการทางเหนือกับทางใต้ และสำนักงานใหญ่ ก่อนจะขึ้นคุมตำแหน่งประธานใหญ่ของซานเตียนโน่ ที่ตอนนี้กำลังจะขยายไปอีกหลายๆ ประเทศ ในแถบเอเชีย
“แต่พ่อบอกว่า...” ภาคินใจเสียขึ้นมาทันทีทันใด ‘บ้าจริง! ถ้าเกิดไอ้นัยได้คุมกิจการทางเหนือขึ้นมา เราก็ไม่ได้อยู่กับน้องไวน์นะสิ’
“หลังจากเข้าดูแลกิจการสามปี ใครทำกิจการของพ่อขาดทุน เตรียมตัวไปเป็นผู้ช่วยเลขาของดีแลนได้เลย” ลูคัสยื่นคำขาด
“โอ้!” ภาคินกลอกตา เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแฝดผู้น้อง
“ตอนนี้ลูกหมดเวลาเที่ยวสนุกแล้วนะไลอ้อน ไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ สนุกหรือไม่สนุก มีแต่คำว่างานและความรับผิดชอบเท่านั้น” ลูคัสเอ่ยเตือนบุตรชาย
“ครับ” ภาคินพยักหน้ารับเบาๆ อย่างจำยอม
“ลูกทั้งสองจะเรียนรู้งานที่นี่หกเดือน จากนั้นก็ไปต่อที่กรุงเทพฯ. อีกหกเดือน อ้อ! แล้วระหว่างทำงานก็เตรียมเขียนรายงานให้พ่ออ่านด้วยนะ ส่วนงานทางเหนือก็เหมือนกับที่นี่ จะมีเพิ่มเติมก็แค่ไร่องุ่นกับสวนส้ม ซึ่งหากใครได้ไปประจำอยู่ที่นั่นก็ต้องศึกษางานกับยายเอาเอง โอเค้?”
“ครับ/ครับ” สองแฝดขานรับพร้อมๆ กัน
“งั้นวันนี้ก็แยกย้ายกันไปพักก่อน พรุ่งนี้แปดโมงเช้าเจอกันที่ห้องทำงาน ของพ่อ”
“ครับ/ครับ” สองหนุ่มขานรับก่อนจะเดินออกห้องไปด้วยกัน
“แกจะไปไหน?” ภาคินเอ่ยถามหลังจากที่ปิดประตูห้องให้บิดาเสร็จ
“ไปเดินสำรวจรอบๆ โรงแรม” ภัคคินัยหันไปตอบแฝดผู้พี่อย่างเสียไม่ได้
“เอ่อ...ขอโทษที่วันนั้นพูดแรงไป ทั้งๆ ที่ฉันเป็นต้นเหตุทำให้แกต้องหมั้นกับคาร่า” ภาคินบอกอย่างรู้สึกผิดนิดๆ
“ช่างมันเถอะ ไปเปิดหูเปิดตากันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเริ่มงานกันแล้ว” ภัคคินัยถอนใจหายใจกับนิสัยของแฝดผู้พี่ที่ชอบพูดไม่คิด สุดท้ายก็ต้องมาเอ่ยคำขอโทษและขอคืนดี เพราะกลัวว่าจะได้มาคุมกิจการทางใต้
“หึๆ ก็ว่าจะชวนอยู่เหมือนกัน” ภาคินหัวเราะเบาๆ อย่างดีใจที่อีกฝ่ายยอมดีด้วย จึงเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องงานที่จะต้องดูแลต่อ
หนึ่งปีต่อมา...
วรันยาเรียนจบชั้นมัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย 3.99 ขณะที่คาร่าคว้าอันดับหนึ่งของรุ่นไปครองด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 สองสาวกอดคอกันกรีดร้องอย่างดีใจ เตรียมพร้อมจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยกัน
กังศมาและสินชัยน้ำตาคลอ ประกาศจัดงานเลี้ยงฉลองที่เรือนใหญ่ ไปรยาเวศ โดยให้สองสาวชวนเพื่อนๆ ร่วมชั้นมางานปาร์ตี้
“ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะเรียนจบกันแล้ว” คาร่ามองดูเหล่าเพื่อนๆ ที่เดินทางมาร่วมงานกันอย่างหนาแน่น จากชั้นสองของเรือนใหญ่ไปรยาเวศ
“อืม! นั่นสิ เวลาผ่านไปเร็วจังเนาะ” วรันยาบอกอย่างรู้สึกใจหาย
“ใช่! ว่าแต่พี่ภาคินหายหน้าไปเกือบปีเลยนะเนี่ย?” คาร่าถามถึงคนที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเธอเป็นทอม จนออกอาการหึงเว่อร์อย่างน่ากลัว
“ดีแล้ว! ถ้าอยู่นะป่านนี้คงจะหาเรื่องแกล้งเราอีกแน่ๆ” วรันยาทำทีเป็นไม่สนใจ ทั้งที่จริงแล้วก็แอบคิดถึงจอมป่วนอยู่นิดๆ
“เราว่าพี่เขาอาจจะชอบ...” คาร่าพยายามจะออกความเห็น
“แล้วพี่นัยโทร. หาเธอบ้างหรือเปล่าคาร่า” วรันยาชิงตัดบท
“ไม่โทร. แค่ส่งข้อความมาถามนิดๆ หน่อยๆ”
“เช่น...” วรันยาอยากรู้ความคืบหน้าของเพื่อนสาวกับคนที่รักดุจพี่ชายแท้ๆ ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไปกันถึงขั้นไหนแล้ว
“กินข้าวหรือยัง เรียนหนักไหม แค่นี้แหละ” คาร่าบอกตามตรง
“แล้วเธอตอบพี่นัยว่ายังไง”
“ค่ะ! คำเดียว”
“คิกๆๆ” วรันยาหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ‘เฮ้อ...แบบนี้คงไม่ไปถึงไหนแล้วล่ะ พี่นัยก็เงียบเกิน ส่วนคาร่าก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากการเรียน’
“แต่งตัวกันเสร็จหรือยังคะ เพื่อนๆ มากันแล้วนะ” นารีเข้ามาเตือน
“ค่ะ/ค่ะ” สองสาวขานรับ ก่อนจะพากันลงไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน เพราะช่วงที่ผ่านมาทั้งเรียนหนักและทำกิจกรรมจนแทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่น หรือพักผ่อนที่ไหนเลย แถมเสาร์-อาทิตย์ก็ยังต้องมาจับกลุ่มติวเข้มกัน พอสอบเสร็จก็เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก แต่ขณะเดียวกันก็แอบใจหายที่จะต้องแยกย้ายไปเรียนต่อยังสถาบันแห่งใหม่ที่กว้างและใหญ่กว่าเดิม
โรงแรมซานเตียนโน่...กรุงเทพฯ.
ภาคินกับภัคคินัยย้ายมาทำงานต่อที่บริษัทใหญ่ในกรุงเทพฯ. กับหิรัญ ทั้งสองพากันโหมงานหนักจนแทบจะลืมวันลืมคืน เพราะพี่ใหญ่ของตระกูลเข้มงวดสุดๆ
“อีกหนึ่งอาทิตย์ก็ครบกำหนดแล้วนะ” ภาคินยกเบียร์ที่เหลืออยู่ครึ่งกระป๋องขึ้นดื่ม
“ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีว่ะ” ภัคคินัยโยนกระป๋องเบียร์ที่ดื่มแล้วหมดลงถังขยะด้วยสีหน้าเพลียๆ
“นั่นสิ พี่รัญใช้งานโหดอย่างกับเราเป็นลูกเมียน้อยของพ่องั้นแหละ” ภาคินโยนกระป๋องเบียร์ที่ดื่มแล้วหมดลงถังขยะตาม
“ฮ่าๆๆ มึงก็ช่างเปรียบนะ” ภัคคินัยหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ได้กับคำเปรียบเปรยของแฝดผู้พี่
“ก็มันจริงนี่ อ๊ะ! วันนี้ยายจัดงานเลี้ยงฉลองเรียนจบให้น้องไวน์กับคาร่าด้วย” ภาคินบอกหลังจากที่ล้วงมือถือมาเปิดดู แล้วเห็นโพสต์ของผู้เป็นยายในเฟซบุ๊ก ซึ่งลงรูปบรรยากาศในงานปาร์ตี้เอาไว้หลายรูป
“ว้าว! น้องไวน์น่ารักจัง” ภัคคินัยหันมองพร้อมกับเอ่ยชม
“ไอ้บ้า! ฉันให้แกดูคาร่าต่างหาก” ภาคินต่อว่าแฝดผู้น้องที่ชอบกวนอารมณ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนน่ะหวงวรันยา
“ทำไมเหรอ?” ภัคคินัยตีหน้าซื่อถาม
“ก็ผมยาวแล้วน่ะสิ” ภาคินจ้องมองใบหน้างดงามของวรันยา ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งตนแทบจะจำไม่ได้
“อืม!” ภัคคินัยขานรับ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
“อืมนี่คืออะไรวะ?” ภาคินเลิกคิ้วถามอย่างมึนงง
“ก็อืมไง” หนุ่มมาดขรึมตีหน้าตายต่อ
“แล้วมึงจะไปไหน?” ภาคินมองแฝดผู้น้องที่ทำท่าจะออกเดิน
“ก็ไปอาบน้ำนอนนะสิ พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นเช้าไปเป็นทาสรับใช้ของท่านประธานใหญ่ต่อ” ภัคคินัยบอกด้วยสีหน้าสุดเซ็ง เพราะพี่ชายสุดที่รักไม่เคยให้อภิสิทธิ์ใดๆ นอกเหนือไปจากพนักงานคนอื่นๆ แถมยังใช้งานหนักจนแทบจะคลานกลับห้องพักทุกวัน
“แหม...ว่าจะชวนไปเที่ยวสาวสักหน่อย” ภาคินเอ่ยหยอก
“หึ! ต่อให้มีสาวมานอนแก้ผ้ารออยู่บนเตียง กูก็ไม่มีอารมณ์ เชิญมึงตามสบายเถอะ” ภัคคินัยบอกก่อนจะหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ในตู้แช่ส่งให้แฝดผู้พี่ จากนั้นก็หยิบอีกกระป๋องติดมือแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง
ภาคินหัวเราะตามหลังแฝดผู้น้อง ก่อนจะเปิดเบียร์กระป๋องใหม่มาดื่ม แล้วเข้าไปแอบส่องไอจีของวรันยาต่อ ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้กลับไปหาผู้เป็นยายที่ไร่ ไม่ว่าจะเทศกาลใด ก็ยังคงทำงานไม่หยุด เพื่อเตรียมตัวเข้ารับตำแหน่งใหญ่ในปีหน้า แม้ว่าภายในใจจะเอาแต่คิดถึงใบหน้างามของวรันยาจนอยากจะกลับไปหา อยากเดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลัง แล้วแอบขโมยหอมแก้มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง
แต่ก็ต้องห้ามใจเพราะคำว่า...ความรับผิดชอบมันค้ำคออยู่ จึงต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ก่อน เพื่อที่อนาตคจะได้ไปอยู่ดูแลกิจการทางเหนืออย่างถาวร