“คุณหนูลู่ มาหาองครักษ์เฉินกงหรือขอรับ” ทหารยามหน้าจวนอ๋องเอ่ยทักทายเยว่ชิงอย่าคุ้นเคย
“เจ้าค่ะ รบกวนท่านแจ้งขันทีฟ่งหรานให้ข้าทีเถิด” เยว่ชิงเองก็ตอบกลับทหารยามอย่างคุ้นเคยเช่นกัน ตั้งแต่ที่พี่ใหญ่ของนางได้รับแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ข้างกายท่านอ๋อง พี่ใหญ่ของนางก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องถาวร แม้จวนอ๋องจะมิห่างไกลเรือนสกุลลู่มากนัก แต่งานที่ล้นมือของท่านอ๋อง ทำให้เฉินกงต้องอยู่ช่วย จึงมิได้มีเวลากลับไปเยี่ยมเยือนที่เรือนบ่อยนัก
ฉะนั้นแล้ว…เยว่ชิงจึงอาสามาส่งอาหารและขนมที่ท่านแม่ทำมาให้พี่ใหญ่เองกับมือ จึงทำให้นางค่อนข้างคุ้นเคยกับคนในจวนอ๋องมากเลยทีเดียว แท้จริงแล้วเผิงจูจะมาด้วยทุกครั้ง แต่ทว่าวันนี้นางป่วยเยว่ชิงจึงได้มาเองตามลำพัง
“คำนับท่านขันทีเจ้าค่ะ ข้ามารบกวนหรือไม่เจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยอย่างนอบน้อมกับขันทีฟ่งหรานที่อายุอานามย่างเข้าห้าสิบหนาวแล้ว
“คุณหนูลู่ เชิญๆ ท่านองครักษ์นั่งสนทนาเรื่องทั่วไปกับท่านอ๋อง มิได้สำคัญอันใด ท่านเข้าไปร่วมพูดคุยด้วยได้” ขันทีฟ่งหรานเดินนำเยว่ชิงมาจนถึงศาลาริมสระที่ท่านอ๋องกับองครักษ์เฉินกงนั่งเล่นหมากล้อมอยู่ แต่ก่อนที่ขันทีฟ่งหรานจะเดินกลับออกไป เยว่ชิงจึงได้ยื่นขนมที่เตรียมมาให้กับขันทีฟ่งหราน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ นี่เป็นขนมที่ข้าฝึกทำกับท่านแม่ ท่านขันทีลองชิมดูนะเจ้าคะ อาจจะมิได้รสดีเหมือนห้องเครื่องในวัง แต่รับรองว่าทานแล้วไม่ตายแน่นอนเจ้าค่ะ” ขันทีฟ่งหรานได้ยินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ คุณหนูสกุลลู่ผู้นี้ทั้งงดงาม เฉลียวฉลาด แล้วยังมีอารมณ์ขัน
น่าเอ็นดูเหลือเกิน
แต่ไหนแต่ไรเยว่ชิงมิใช่ผู้ที่จะเอาใจผู้ใด แต่นางรู้ดีว่าแต่ละคนชอบแบบใด นางจึงได้ออดอ้อนเอาใจให้คนผู้นั้นยอมนางได้ อย่างลู่หวังเหล่ยและเฉินกงมักพ่ายแพ้ให้กับการออดอ้อนของเยว่ชิง หมิงยู่และลี่อินพ่ายแพ้น้ำตาของนาง ส่วนซูเมิ่งกับแม่นมลี่มักไม่ชอบที่เยว่ชิงเมินเฉย
“หึ ไม่แน่ว่าหากทานมากอาจจะตายได้ เจ้าระวังไว้เสียหน่อยก็ดีนะฟ่งหราน” หลิวหยางอดเอ่ยเย้าออกไปมิได้ นับวันเด็กน้อยผู้นี้ชักจะมีอิทธิพลกับฟ่งหรานมากขึ้นทุกวัน ทุกเช้าฟ่งหรานจะต้องเอ่ยนามของนางให้เขาได้ยิน บ้างก็ชม บ้างก็เอ่ยดุด้วยถ้อยคำที่เอ็นดูเหลือทน เฮ้อออ
“คารวะท่านอ๋องเพคะ คำนับองครักษ์เฉินกงเจ้าค่ะ” เยว่ชิงมิได้สนใจคำเย้าแหย่ของหลิวหยาง นางเพียงก้มคำนับแล้วนำขนมที่นางฝึกทำกับท่านแม่ออกมาจัดวาง
“เหตุใดจึงเรียกพี่เช่นนั้นเล่า” เฉินกงยกยิ้มเขิน เมื่อน้องสาวเอ่ยเรียกเขาเสียเต็มยศ
“ข้าอยากลองเรียกเหมือนผู้อื่นดูบ้าง” เยว่ชิงจัดขนมลงจานเสร็จแล้วจึงยกไปให้เฉินกงหนึ่งชุดและท่านอ๋องหนึ่งชุด
“เหตุใดของข้ามีแต่อันที่บิดเบี้ยว แต่ของเฉินกงกลับมีแต่อันที่ประณีตงดงาม” หลิวหยางยื่นหน้าไปมองขนมในจานของเฉินกง แล้วกลับมาดูขนมในจานของตนเองก็นึกสงสัยขึ้นมา
“ก็เพราะท่านแม่ฝากขนมมาให้พี่ใหญ่ ในจานของพี่ใหญ่จึงมีแต่ขนมที่ท่านแม่ทำเพคะ”
“แล้วจานของข้าคือ…” หลิวหยางขมวดคิ้วอย่างใคร่รู้
“ของท่านอ๋องเป็นขนมที่หม่อมฉันนำมาฝาก ดังนั้นในจานจึงมีแต่ขนมที่หม่อมฉันเป็นคนทำเองกับมือเพคะ” เยว่ชิงยกยิ้มภูมิอกภูมิใจ แต่หลิวหยางกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ถึงว่าจานของเขาจึงมีแต่อันที่บิดเบี้ยวเช่นนี้
“เยว่ชิงทำเช่นนี้ได้อย่างไร กระหม่อมขอประทานอภัยแทนเยว่ชิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทานอันที่เยว่ชิงทำเอง ท่านอ๋องลองทานอันที่ท่านแม่ของกระหม่อมทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกงหน้าเสียรีบยื่นมือออกไปหมายจะสลับจานของเขากับท่านอ๋อง แต่ก็ถูกนายเหนือหัวเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน
“มิเป็นไร ข้าทานอันนี้ได้ แต่หากข้าตายขึ้นมา เจ้าต้องจับนางเข้าคุกหลวงอย่าเว้นโทษเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่ หึๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะลงโทษนางสถานหนักแน่นอน”
“โถ่! พี่ใหญ่~” เยว่ชิงทำหน้าหงิกงอใส่พี่ชายตนเอง แต่จู่ๆ ก็มีทหารเข้ามาเอ่ยขอให้เฉินกงช่วยเข้าไปแก้ไขงานที่พวกเขาทำมิได้
“เยว่ชิง พี่ต้องไปทำงาน เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้พี่จะหาเวลาแวะเข้าไปหาที่เรือน” เฉินกงออกปากไล่ให้เยว่ชิงกลับไปก่อน เขามิอยากให้เยว่ชิงอยู่รบกวนท่านอ๋อง แม้ท่านอ๋องจะมิเอ่ยสิ่งใด ทั้งยังดูใจดีกับเยว่ชิงดั่งน้องสาวของพระองค์เอง แต่อย่างไรท่านอ๋องก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ จะให้น้องสาวล่วงเกินท่านอ๋องมากไปคงมิเป็นการดี
“เจ้าค่ะ…” เยว่ชิงทำหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัด กว่านางจะหาข้ออ้างมาพบหน้าท่านอะ- เอ่อ ท่านพี่เฉินกงได้นั้นยากเย็นนัก แต่อยู่เพียงไม่นานก็ต้องกลับเสียแล้ว
“ให้นางรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ หากเจ้ากลับมาเร็วจะได้สนทนากันต่อ แต่หากนานแล้วเจ้ายังไม่กลับ ข้าจะให้คนไปส่งนางให้” เยว่ชิงได้ยินก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับที่หลิวหยางกล่าว
“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เยว่ชิงอย่าได้รบกวนท่านอ๋องเล่า”
“พี่ใหญ่สบายใจ ข้าไม่รบกวนท่านอ๋องแน่” เมื่อน้องสาวตอบรับอย่างหนักแน่น เฉินกงจึงได้รีบตามทหารผู้นั้นไปทันที
เยว่ชิงที่เห็นว่าทางสะดวกแล้ว จึงขออนุญาตท่านอ๋องและย้ายตนเองมานั่งแทนที่เฉินกง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหลิวหยาง มีเพียงโต๊ะวางกระดานหมากกั้นกลางระหว่างพวกเขา เยว่ชิงที่ยอมรับตามตรงว่าหลงไหลในรูปโฉมของท่านอ๋องก็ยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะ นั่งเท้าคางจดจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั่นไม่วางตา
“อะแฮ่ม!” หลิวหยางกระแอมไอออกมาอย่างขัดเขิน แม้จะเห็นนางเป็นดั่งน้องสาว แต่มานั่งจ้องกันเช่นนี้ผู้ใดจะมิขัดเขิน ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนเยว่ชิงมาบอกว่านางชมชอบเขา ซึ่งเขาเองก็ได้เอ่ยปฏิเสธไปว่ารู้สึกเอ็นดูนางในฐานะน้องสาวเท่านั้น วันข้างหน้านางจะได้พบเจอชายที่ดีกว่าเขาอีกนับไม่ถ้วน แต่นางกลับเอ่ยว่า
“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันเพียงชมชอบรูปโฉมของท่านอ๋องเท่านั้น ขอเพียงได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
คำตอบนี้ของนางทำเอาหลิวหยางแทบกุมขมับ เมื่อนางเอ่ยดังนั้นเขาจึงปล่อยเลยตามเลย นางเองก็ปฏิบัติตนเหมาะสมมิได้ล้ำเส้นเขามากเกินไป
“รสดีหรือไม่เพคะ” เยว่ชิงที่เห็นว่าหลิวหยางหยิบขนมเข้าปากอันแล้วอันเล่า จึงได้เอ่ยถาม
“อืม แม้รูปลักษณ์จะมิได้งดงาม แต่รสชาติดีไม่น้อย”
“อืม…หม่อมฉันรูปลักษณ์งดงาม ทั้งรสชาติก็ดีไม่น้อย ท่านอ๋องจะลองชิมดูหรือไม่เพคะ”
“แค่กๆ” หลิวหยางได้ยินดังนั้นก็สำลักขนมทันที มือใหญ่เอื้อมไปคว้าเอาม้วนกระดาษมาเคาะศีรษะเล็ก
โปก!
“โอ๊ยยยยยย ม้วนกระดาษหนาถึงเพียงนั้น หากหม่อมฉันตาย จะมาหลอกหลอนท่านอ๋องคนแรกเลยเพคะ”
“หึ เจ็บก็ดี จะได้จำเสียบ้างว่าตนเองเป็นหญิง เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมามิควรเป็นอย่างยิ่ง…เยว่ชิง เจ้าเป็นหญิงอย่าได้แสดงกริยาเช่นนี้ต่อหน้าชายอื่น อีกอย่าง อย่าได้อยู่ใกล้ชิดกับชายอื่นเช่นนี้ จะให้ดียืนห่างจากชายพวกนั้นสักสิบก้าวเข้าใจหรือไม่เด็กน้อย” หลิวหยางกล่าวสอนเด็กน้อยตรงหน้าพลางใช้มือลูบเบาๆ บริเวณที่ตนเองเอาม้วนกระดาษตีลงไป หวังให้นางได้คลายเจ็บ
“มิใช่เด็กน้อยเสียหน่อย อีกแปดเดือน หกวัน หม่อมฉันก็จะพ้นวัยปักปิ่นแล้วนะเพคะ”
“อืมๆ เข้าใจแล้ว หึ” หลิวหยางหัวเราะในลำคอ จะมิให้เขาเรียกนางว่าเด็กน้อยได้อย่างไร ในเมื่อนางอายุห่างกับเขาตั้งสิบหนาว
เด็กหนอเด็ก
หลังจากที่ไปจวนอ๋องครานั้นก็ผ่านมาเกือบเจ็ดวันแล้ว ที่เยว่ชิงมิได้ไปเยี่ยมเยือนจวนอ๋อง ด้วยว่านางวุ่นวายอยู่กับการฝึกการบ้านการเรือนและพามูมู่ไปเที่ยวเล่น
“มูมู่ วันนี้เยว่ชิงต้องเข้าไปดูร้านเสียหน่อยนะ พรุ่งนี้เยว่ชิงสัญญาว่าจะมาเล่นกับมูมู่ เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้ห้ามมูมู่ขู่บ่าวรับใช้ในเรือนเข้าใจหรือไม่” เยว่ชิงทั้งลูบทั้งหอมศีรษะใหญ่ของเจ้าเสือขาว
“ฮื่อ โฮรก~” ลิ้นสากเลียตามกรอบหน้าของเยว่ชิง ถือเป็นการตอบรับคำสั่ง
“ดีมากๆ เยว่ชิงต้องไปแล้ว มิเช่นนั้นพี่รองต้องบ่นเป็นแน่” เยว่ชิงที่ได้รับคำตอบรับจากเจ้าเสือขาวแล้ว จึงรีบโบกมือลาและเข้าไปช่วยงานที่ร้านทันที ช่วงหลายปีมาแล้วที่เยว่ชิงและหมิงยู่มิได้ออกไปต้อนรับลูกค้า พวกเขาเพียงทำบัญชีและจัดการเกี่ยวกับการหาบริการใหม่ๆ มาให้ลูกค้า
เยว่ชิงและเผิงจูเดินเข้าทางหลังร้านเพื่อจะเข้าไปในห้องทำงานได้สะดวก โดยมิต้องผ่านโต๊ะนั่งของลูกค้า แต่เมื่อเข้าไปในห้องทำงานแล้วกลับพบว่าพี่รองและพี่สามของนางกำลังทำสีหน้าเคร่งเครียดกันอย่างหนัก
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ เหตุใดทำหน้าตาบึ้งตึงกันเช่นนั้น”
“เยว่ชิง…กิจการของเราถึงคราต้องล่มจมแล้ว”