“ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้าก็เป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ บิดาของกระหม่อมนามว่าลู่หวังเหล่ย เป็นขุนนางขั้นห้าในกรมการคลังพ่ะย่ะค่ะ” ลู่หวังเหล่ยที่ได้ยินบุตรชายเอ่ยถึงตน จึงรีบลุกขึ้นคำนับต่อองค์จักรพรรดิ
“ใต้เท้าลู่ ท่านเลี้ยงดูบุตรได้ดี”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“แล้วนั่นบุตรของท่านทั้งหมดเลยหรือ” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าที่นั่งสกุลลู่ยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ถึงสามคน
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ลู่ซูเมิ่งฮูหยินของกระหม่อม ส่วนลู่หมิงยู่ ลู่ลี่อิน และลู่เยว่ชิงเป็นบุตรของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งซูเมิ่ง หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงต่างก้มคำนับแต่องค์จักรพรรดิ
“อืม รูปโฉมงดงามทั้งบุตรชายบุตรสาว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วพยักหน้าพลางเอ่ยชมรูปโฉมของบุตรสกุลลู่
“นั่นสิเพคะ บุตรสาวสกุลลู่งดงามทั้งรูปโฉมทั้งกริยา ยังมิมีแม่สื่อจากสกุลใดมาทาบทามหรือ” ฮองเฮาไป่หนิงหลี่ที่นั่งอยู่เอ่ยถามขึ้น เพราะรูปโฉมที่งามโดดเด่นทำให้องค์ฮองเฮาอดที่จะสงสัยมิได้
“ทูลฮองเฮา หม่อมฉันลู่เยว่ชิง ยังมิพ้นวัยปักปิ่นเพคะ” สิ้นเสียงตอบรับของเยว่ชิง ผู้คนก็ฮือฮากันไม่น้อย เพราะดูอย่างไรบุตรสาวสกุลลู่ก็ดูงามสะพรั่งดั่งหญิงสาวโตเต็มวัย
“เช่นนั้นหรอกหรือ งดงามตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นเช่นนี้ เห็นทียามพ้นวัยปักปิ่นสกุลลู่คงได้รับเทียบหมั้นอย่างล้นหลาม”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่เอ่ยชมเพคะ” เยว่ชิงค่อมคำนับอย่างนอบน้อม แต่ทว่าตากลมของเยว่ชิงก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา
“เช่นนั้น ให้คุณหนูสกุลลู่ร่วมแสดงความสามารถให้ผู้คนได้ชมดีหรือไม่เพคะ คุณหนูลู่งดงามถึงเพียงนี้ คงมีความสามารถด้านการแสดงไม่น้อย” เยว่ชิงยิ้มค้าง จะมิให้นางตกใจได้อย่างไร เมื่อนางมิได้เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย
“ที่คุณหนูสกุลลอู๋เอ่ยก็น่าสนใจไม่น้อย เจ้าเชี่ยวชาญด้านใดเล่าคุณหนูลู่ จะร่ายรำหรือบรรเลงดนตรี หากเจ้าทำได้ดีข้าจะมอบรางวัลให้” ฮองเฮาไป่ส่งยิ้มมาเยว่ชิงอย่างอ่อนโยน
คุณหนูสกุลอู๋งั้นหรือ นางคงเป็นอู๋เซียงอี๋ น้องสาวของอู๋จางหมิ่น ในนิยายอู๋เซียงอี๋นางมักร่วมมือกับฮูหยินเอกของอู๋จางหมิ่นกลั่นแกล้งลู่เยว่ชิงอยู่เสมอ
หึ!!! ยังตามจองล้างจองผลานกันไม่เลิกสินะ
“เอ่อ หม่อมฉันคงจะทำให้ฮองเฮาผิดหวังแล้วเพคะ หากถามถึงความเชี่ยวชาญแล้ว พี่ใหญ่ของหม่อมฉันแข็งแกร่งเชี่ยวชาญเรื่องรบ พี่รองช่างเจรจาเชี่ยวชาญเรื่องการค้า พี่สามอ่อนโยนเก่งกาจเรื่องศาสตร์ดนตรี แต่ทว่าตัวหม่อมฉันมิได้เชี่ยวชาญสิ่งใด การบ้านการเรือนพอทำได้มิขายหน้าสกุล ดนตรี ร่ายรำก็มิได้เก่งกาจ มิอาจเทียบเคียงคุณหนูสกุลใหญ่ คงจะมีเพียงเพลงดาบ ยิงธนูเท่านั้นที่พอจะโอ้อวดได้” เยว่ชิงพยายามเลือกใช้คำพูดสวยหรู ให้ผู้คนได้รับรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ได้สั่งสอนบุตรทุกคนมาเป็นอย่างดี เพราะหากเอ่ยไปว่าไม่เชี่ยวชาญดนตรี ร่ายรำ แต่กลับเชี่ยวชาญเพลงดาบ ยิงธนู ผู้คนคงได้เอ่ยตำหนิท่านพ่อและท่านแม่ของนางเป็นแน่
“ฮ่าๆ เจ้าจะบอกว่าเจ้าเชี่ยวชาญเพลงดาบกับการยิงธนูงั้นหรือ เช่นนั้นก็แสดงให้ข้าดูทีเถิด ทหาร! นำธนูเข้ามา” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วที่มิค่อยได้เห็นบุตรสาวขุนนางมาแสดงเพลงดาบ ยิงธนู จึงให้ความสนใจ เพราะไม่ว่าจะมีงานเลี้ยงใดจัดขึ้น บุตรสาวสตรีต่างมาร่ายรำ บรรเลงดนตรีจนนานวันเข้า พระองค์เองก็เริ่มเบื่อหน่ายเต็มทน
เมื่อทหารตั้งเป้าธนูและจัดเตรียมคันธนูมาให้กับเยว่ชิง นางจึงเข้าไปยืนประจำตำแหน่งทันที
“หากเจ้ายิงเข้าตรงเป้าทั้งห้าครั้ง ข้าจะมอบสิ่งที่เจ้าต้องการให้” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางเอ่ยท้าเยว่ชิง เด็กหญิงวัยเพียงสิบสามสิบสี่หนาวยิงเข้าเป้าเพียงสองในห้าถือว่าเก่งกาจแล้ว
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เยว่ชิงตั้งท่าง้างธนูจนสุด ตากลมมองตรงไปที่เป้า กะระยะเล็งลูกธนูให้ตรง จากนั้นจึงปล่อยลูกธนูออกไป
ปัก!
“เข้าเป้า สิบแต้ม” เยว่ชิงกะระยะได้แล้วก็ยกยิ้มกริ่ม มือบางดึงผ้าคาดผมของตนเองมาปิดตา
“นั่นนางจะทำอันใดกัน คิดจะปิดตายิงธนูอย่างนั้นหรือ” เสียงพูดคุยดังขึ้นหนาหู แต่เยว่ชิงกลับมิได้ใส่ใจ นางพยายามตั้งสติให้มั่น มือเรียวหยิบลูกธนูขึ้นมายิงตรงไปที่เป้าจนครบทั้งห้าครั้งตามที่องค์ฮ่องเต้รับสั่ง
ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!
“…”
“ขะ เข้าเป้าสิบแต้มทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ” มิใด้มีเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ตื่นตกใจ แม้แต่หลิวหยางที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ก็ยังทึ่งไม่น้อย ยิ่งเข้าเป้าทั้งที่ปิดตาอยู่งั้นหรือ อีกทั้งมิใช่ธนูที่คุ้นมือ แต่กลับยิงไม่พลาดเป้าเลยสักครั้ง ดูเบามิได้เลย
“ฮ่าๆ ดีๆ เจ้าอยากได้สิ่งใด กล่าวมาเถิด ข้าจะให้” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะดังลั่น พระองค์คงดูเบาเด็กสาวผู้นี้เกินไป
“หม่อมฉันมิได้ต้องการสิ่งใดเพคะ เพียงแต่อยากทราบถึงการเลื่อนตำแหน่งของท่านพ่อเท่านั้น ท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางตงฉิน ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานที่ทำ แต่กลับต้องทำงานอยู่ตำแหน่งเดิมมากว่ายี่สิบหนาวแล้ว ทั้งที่ทำผลงานให้กับกรมการคลังมากมาย หม่อมฉันจึงอยากทราบว่าเสนาบดีกรมคลังได้มองเห็นผลงานของท่านพ่อหม่อมฉันบ้างหรือไม่” เยว่ชิงใช้โอกาสนี้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับท่านพ่อของนาง ไม่ว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่ ก็มิเป็นไร เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผู้อื่นสงสัยในระบบการทำงานของกรมการคลัง หากเสนาบดีอู๋ยังมียางอายอยู่บ้าง เขาคงระมัดระวัง และอาจจะเลิกกลั่นแกล้งท่านพ่อของนางไปอีกพักใหญ่
“ว่าอย่างไร เสนาบดีอู๋ อายุงานของใต้เท้าลู่ก็เหมาะสมกับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งแล้วมิใช่หรือ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกำลังจะประกาศการเลื่อนตำแหน่งในไม่ช้านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี บ้านเมืองเราต้องเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าแคว้นอื่น พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้ทำงานชักช้าให้ผู้อื่นเอ่ยตำหนิได้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสียงตอบรับของเหล่าขุนนางดังกึกก้อง
“เอาเถิด ค่ำคืนนี้ ขอเหล่าทหารกล้าทุกนายดื่มกินกันให้อิ่มหนำ ทดแทนช่วงเวลาที่ทุกข์ทนอยู่ในสงครามเถิด” ผู้คนในลานพิธีต่างสังสรรค์กันอย่างครึกครื้น คงมีเพียงเสนาบดีอู๋ที่ทำหน้ามืดครึ้ม
ลู่เยว่ชิง เด็กน้อยผู้นี้กล้าต่อปากต่อคำกับเขาตั้งแต่สามหนาว มาบัดนี้ยังทำให้เขาถูกตำหนิอีก น่าตายนัก!!!
“เยว่ชิง ลูก-”
“ท่านพ่อ หากเยว่ชิงไม่พูดท่านก็จะโดนกลั่นแกล้งอยู่เช่นเดิม เยว่ชิงเป็นห่วงท่านหรอกนะถึงได้เอ่ยเช่นนั้นออกไป” เยว่ชิงเบะปากอย่างแง่งอน
“หึๆ พ่อยังมิได้เอ่ยสิ่งใด เจ้าก็ตั้งท่าจะแง่งอนพ่อเสียแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงพ่อ เด็กดีๆ” ลู่หวังเหล่ยกอดปลอบบุตรสาวของตน ทั้งยังหยิบยื่นขนมให้บุตรทั้งสามที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ทาน
แต่นั่งชมการแสดงของคุณหนูสกุลต่างๆ ได้ไม่นาน เยว่ชิงก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงได้ชักชวนพี่ชายออกไปเดินเล่น และแน่นอนว่าลี่อินปฏิเสธทันที เยว่ชิงจึงได้ออกมาเดินเล่นกับหมิงยู่แทน
“พี่รองท่านว่าจะขยายร้านซิ่งฟู่หรือ”
“อืม เจ้าคิดว่าอย่างไร พี่เห็นว่าร้านของเราคับแคบจนเกินไป ทั้งพื้นที่ข้างๆ ยังว่างอยู่ หากต่อเติมด้านข้างอาจทำให้ร้านดูกว้างขวางขึ้น”
“ก็ดีนะเจ้าคะ คงได้เงินเพิ่มไม่น้อย คึๆ” เพียงแค่นึกถึงเงินทองที่กำลังจะไหลเข้ามา เยว่ชิงก็ตาเป็นประกาย กลิ่นเงินทองมันหอมหวานจนยากจะห้ามใจ
ใบหน้าเพ้อฝันของน้องสาวทำให้หมิงยู่อดหัวเราะออกมามิได้
“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน พี่ลืมหยิบขนมมาด้วย ขอกลับไปเอาก่อน จะได้เอามากินแก้เบื่อ” เยว่ชิงพยักหน้ารับรู้ นางเองก็อยากได้ขนมเช่นกัน พี่รองนี่ช่างรู้ใจนางเหลือเกิน ระหว่างที่ยืนรอหมิงยู่ เยว่ชิงก็เดินเล่นชมสวนภายในลานพิธี หากว่าเป็นช่วงเช้าตรู่หรือช่วงตอนกลางวัน สวนแห่งนี้คงเต็มไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ช่างน่าเสียดายที่นางมาเที่ยวชมที่นี่ในยามกลางคืน
“คุณหนูลู่ชมชอบดอกไม้หรือ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เยว่ชิงต้องหันกลับไปดูว่าต้นเสียงคือผู้ใด
“รองแม่ทัพอู๋” เยว่ชิงก้มคำนับตามมารยาท ทั้งที่ในใจนึกอยากยกเท้าถีบให้คว่ำ โทษฐานที่กล้าใช้พี่ใหญ่ของเขาเป็นเกราะกำบังคมดาบจากศัตรู
“ข้าดีใจที่คุณหนูลู่จดจำข้าได้ แต่เจ้ายังมิตอบข้าว่าเจ้าชอบดอกไม้หรือไม่”
“ก็งดงามดีเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยตอบอย่างขอไปที พยายามหันหน้าหลบหลีกสายตาที่จ้องมองสำรวจเรือนร่างของนางอย่างเปิดเผย ในใจเฝ้าแต่ภาวนาให้พี่รองรีบกลับมาเสียที
ก่อนที่นางจะพรั้งมือทำร้ายชายหนุ่มตรงหน้า
“เช่นนั้น ไว้วันหลังข้าพาเจ้าไปชมสวนดอกไม้ที่เรือนข้าดีหรือไม่ ที่เรือนข้ามีดอกไม้มากมายหลายชนิด ล้วนวิจิตงดงามทั้งนั้น” จางหมิ่นเอ่ยพลางก้าวเข้าไปแนบชิดเยว่ชิงมากขึ้น แต่เยว่ชิงเองก็รับรู้ได้ จึงรีบถอยห่างออกมาทันที
“ข้าน้อยมิกล้า เพียงแค่เหล่าภรรยาของท่านก็คงอยู่กันเต็มสวนดอกไม้ไปหมดแล้วกระมัง ข้ามิชมชอบการเบียดเสียดยื้อแย่งกับผู้อื่น มันเสียเวลา”
“เช่นนั้น ข้า-”
“คุณหนูลู่มาอยู่นี่หรอกหรือ พี่ใหญ่เจ้าเรียกหาแล้ว” เยว่ชิงหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบเข้ากับชินอ๋องที่กำลังเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเยว่ชิงกับอู๋จางหมิ่น เมื่อเห็นดังนั้นเยว่ชิงจึงรีบถอยไปอยู่ด้านหลังของชินอ๋องทันที ทำตัวราวกับเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังถูกรังแก แล้วมีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย
เขาว่าผู้ชายมักชอบที่ได้เป็นฝ่ายปกป้อง ดังนั้นอย่าทำตัวเข้มแข็งจนเกินไป
“ท่านอ๋อง…”
“รองแม่ทัพอู๋ ท่านมิไปร่ำสุรากับเหล่าทหารกล้าของเราเล่า พวกเขาถามหาเจ้าอยู่นานแล้ว”
“กระหม่อมกำลังจะเข้าไปในลานพิธีพ่ะย่ะค่ะ ไว้เจอคราหลังคุณหนูลู่” อู๋จางหมิ่นมิอาจปฏิเสธท่านอ๋องได้ จึงยอมล่าถอยไปก่อน ทำให้บัดนี้เหลือเพียงหลิวหยางและเยว่ชิงที่ยืนอยู่บริเวณนี้ หลิวหยางหันมาเผชิญหน้ากับน้องสาวของคนสนิท
“เจ้าเป็นหญิง มิรู้หรือว่ามิควรออกมาเดินกับชายหนุ่มตามลำพัง หากผู้อื่นมาพบเห็นเข้า ย่อมเป็นเจ้าที่เสื่อมเสีย” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น เขาเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งรู้ว่าเป็นน้องสาวของเฉินกงและเขาเองก็เคยยกเสือขาวตัวนั้นให้ ยิ่งรู้สึกเอ็นดูนางเหมือนน้องสาว จึงอดที่จะกล่าวตักเตือนมิได้
“แต่…ตอนนี้เราก็อยู่กันตามลำพังนะเพคะ เช่นนี้หากหม่อมฉันเสื่อมเสียท่านอ๋องจะรับผิดชอบหรือไม่เพคะ” เยว่ชิงส่งยิ้มกริ่มไปให้หลิวหยาง ที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“มะ มันไม่เหมือนกัน ข้าบริสุทธิ์ใจ มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาว” หลิวหยางเอ่ยออกมาอย่างติดขัด เมื่อเห็นสายตายิ้มเยาะของเด็กน้อยตรงหน้า
“เยว่ชิง ขนมมาแล้ว- ทะ ท่านอ๋อง” เยว่ชิงตวัดหางตามองหมิงยู่ที่มาขัดจังหวะ นางกำลังต้อนท่านอ๋องจะจนมุมอยู่แล้วเชียว
“เจ้ามาก็ดีแล้ว อย่าทิ้งน้องสาวเจ้าไว้เพียงลำพังอีก” หลิวหยางว่าเพียงเท่านั้นก็เดินกลับเข้าไปในลานพิธีทันที จึงมิได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเยว่ชิงที่มองตามหลัง แต่ทว่าทั้งแววตาและการกระทำของเยว่ชิงกลับอยู่ในสายตาของพี่ชายอย่างหมิงยู่ทั้งหมด
“อะแฮ่ม! อย่าแม้แต่จะคิด เจียมตัวเสียบ้าง ท่านอ๋องมิใช่คนที่เจ้าจะอาจเอื้อมได้ ยับยั้งช่างใจเจ้าเสียเถิด” หมิงยู่เอ่ยเตือนน้องสาวเพื่อเรียกสติให้นางระลึกว่าตนเองเป็นเพียงบุตรขุนนางขั้นต่ำ
“อันใดกัน ข้ามิได้มีใจให้ท่านอ๋องเสียหน่อย เพียงแต่ถูกใจในรูปโฉมเท่านั้น พี่รองคิดมากเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน” เยว่ชิงลอยหน้าลอยตาตอบพี่ชายอย่างมั่นใจ ว่านางเพียงหยอกเย้าท่านอ๋อง เพราะถูกใจในรูปโฉมที่หล่อเหลาเท่านั้น
แต่ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของท่านอ๋องเมื่อครู่…ก็น่ารักใช่หยอก