ตอนที่ 4 มู่ชิงเซียน
โรงเชือดหมูขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้ง เสียงหมูตัวแล้วตัวเล่าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เป็นภาพที่ชินชาของผู้คนนับสิบชีวิตในโรงหมูแห่งนี้ มู่อวิ้น หัวหน้าคนงานวัยกลางคน เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ในอดีตเคยเป็นบ่าวรับใช้ในจวนเศรษฐี แต่เพราะดันลักลอบได้เสียกับบุตรสาวเจ้านายจนนางตั้งครรภ์จึงโดนขับไล่ออกมาจากจวน ไม่เท่านั้นเศรษฐีใจยักษ์ยังโยนหลานสาวที่เพิ่งคลอดทิ้งไว้หน้าจวน
มู่อวิ้นแค้นใจแต่ไม่อาจทำอะไรได้ ตลอด 17 ปีเขาเลี้ยงดูบุตรสาวเพียงลำพัง อาศัยรับจ้างไปทั่วทั้งเมืองหลวง รับจ้างทำทุกอย่างที่ได้เงิน แม้แต่ฆ่าคนเขาก็เคยทำ ชีวิตที่ไม่มีทางเลือกมากนักทำให้เขาต้องจำยอมแลกกับการให้บุตรสาวได้ได้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่อดอยาก
แต่ทว่าในยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดลงไป การที่เขาเลี้ยงดูมู่ชิงเซียนอย่างตามใจ มันทำให้นางกลายเป็นคนไร้เหตุผล อยากได้อะไรก็ต้องได้ หากเขาหามาให้ไม่ได้นางก็จะประท้วงด้วยการอดข้าวอดน้ำข้ามวันข้ามคืน
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ เขาช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก
“ท่านพ่อ”
เสียงหวานเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางมองบิดาด้วยสายตาก้าวร้าว
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
เขาพยายามถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่นางก็ยังมีท่าทางไม่พอใจ
“เมื่อไหร่ข้าจะได้แต่งงานกับนายท่านสักที ไหนท่านพ่อบอกว่าถ้าข้าอายุครบสิบเจ็ดจะยกข้าให้นายท่านอย่างไรเล่า”
นางรอแล้วรอเล่าที่จะได้แต่งเข้าเรือนของนายท่านอี้เยว่ฉี นางเบื่อเต็มทนที่ต้องอยู่บ้านหลังเล็กๆใกล้เล้าหมูเช่นนี้ มันทั้งเหม็นและอับชื้น นางทนอยู่มาได้นับสิบปีก็ถือว่าเกินพอแล้ว อีกทั้งบิดายังเคยสัญญาว่าจะยกนางให้นายท่าน แต่บิดาก็ไม่เอ่ยปากเสียที สุดท้ายก็มีสตรีอื่นมาแย่งนายท่านไป นางทั้งเจ็บใจและแค้นเคือง ยิ่งได้ยินว่าสตรีผู้นั้นกำลังตั้งครรภ์ ใจนางยิ่งร้อนรุ่มดั่งมีเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่ข้างใน
หากนางได้เข้าไปเป็นฮูหยินรอง นางจะหาทางกำจัดสตรีผู้นั้นให้พ้นทางรักของนาง
มู่อวิ้นหนักใจเหลือเกิน ด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวเป็นคนเช่นไร หากเขาไม่ยอมทำในสิ่งที่นางต้องการ นางก็จะประชดประชันด้วยการทำร้ายตัวเอง แต่หากเขาตามใจยอมแบกหน้าเข้าไปเอ่ยปากกับนายท่านอี้เรื่องแต่งงาน เขาก็เกรงว่าสิ่งที่ได้รับจะไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยง ถึงอย่างไรนายท่านอี้ก็เป็นผู้มีบุญคุณต่อเขา หากบุตรสาวเขาสร้างความเดือนร้อนให้แก่นายท่านและฮูหยิน เขาเองก็ไม่รู้จะสู้หน้าทั้งสองได้เช่นไร
“ถ้าท่านพ่อไม่จัดการเรื่องแต่งงานให้ข้า ข้าจะแขวนคอตาย”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางขู่บิดาเหมือนเช่นทุกครั้ง นางจะไม่ยอมเสียตำแหน่งฮูหยินรองไปเด็ดขาด ถึงอย่างไรนางจะต้องได้แต่งงานกับนายท่านอี้ ไม่เช่นนั้นนางจะทำทุกอย่างเพื่อบีบบังคับบิดาจนกว่านางจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เซียนเอ๋อร์ นายท่านเพิ่งแต่งงานทั้งยามนี้ฮูหยินยังตั้งครรภ์ หากพ่อไปพูดเรื่องเจ้าในยามนี้ เกรงว่านายท่านจะไม่พอใจ”
เขาไม่ปรารถนาจะให้บุตรสาวไปแทรกกลางระหว่างนายท่านและฮูหยิน อีกทั้งนายท่านอี้ก็ไม่ใช่บุรุษมากรักที่หมกมุ่นในกามารมณ์ การที่นายท่านจะรับสตรีอีกคนเป็นภรรยาจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีก
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เขาจะทำเช่นไรให้บุตรสาวตัดใจจากชายหนุ่มได้เสียที
“ข้าไม่สน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเหม็น ข้าเบื่อ ข้ารำคาญเสียงหมูสกปรกพวกนี้”
พูดแล้วนางก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อกลัดกลุ้มใจอยู่เพียงลำพัง
หลี่เจินเดินเคียงข้างสามีเข้ามาในตึกไม้ขนาดใหญ่ใกล้วังหลวง อี้เยว่ฉีเพิ่งตกลงซื้อตึกนี้จากอดีตขุนนางผู้หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็จ้างคนเข้ามาทำความสะอาดและซ่อมแซมส่วนที่ทรุดโทรม เนื่องจากตึกนี้ถูกทิ้งร้างมานานจึงต้องมีการปรับปรุงเล็กน้อย
“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่”
เขาเอ่ยถามภรรยาขณะอยู่ด้วยกันตามลำพัง หลี่เจินพยักหน้าเพราะนางรู้สึกว่าที่นี่เป็นทำเลที่ดี อยู่ใกล้วังหลวงและติดตลาด อีกทั้งแถบนี้ยังหนาแน่นไปด้วยจวนตระกูลใหญ่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกค้าของนางในอนาคต หญิงสาวเดินดูรอบๆ โดยมีสามีคอยเดินตามไม่ห่าง
“ที่นี่กว้างขวางมากเจ้าค่ะ”
ตึกสามชั้นโอ่อ่าและใหญ่โต หากจะเปิดเป็นร้านขายอาภรณ์อย่างเดียวคงจะโล่งเกินไป จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมา นางจึงได้รีบหันไปหาสามีที่เดินตามหลังมาทันที
“ เปิดร้านอาภรณ์แค่ส่วนนี้ก็พอเจ้าค่ะ ส่วนพื้นที่ว่างก็ปล่อยให้ผู้อื่นเช่า”
หลี่เจินจองพื้นที่ด้านหน้า นางต้องการกั้นเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าขายเท่านั้น ส่วนด้านอื่นๆ นางคิดว่าควรกั้นเป็นสัดส่วนและแบ่งให้ผู้อื่นเช่า นอกจากจะได้เปิดร้านอาภรณ์แล้ว ยังสามารถเก็บค่าเช่าจากการแบ่งพื้นที่ให้ผู้อื่นได้อีกด้วย เท่ากับว่าอี้เยว่ฉีจะสามารถสร้างรายได้หลายทางจากตึกนี้เพียงตึกเดียว
“ความคิดดียิ่งนัก”
หากกั้นได้สิบห้องคงจะสร้างรายได้ให้ไม่น้อย อีกทั้งตึกนี้ก็คงจะคึกคักเพราะมีร้านค้ามากมายให้เลือกซื้อ ส่วนด้านบนชั้นสองเปิดเป็นภัตตาคารขายอาหาร ชั้นสามน่าเปิดเป็นโรงเตี๊ยม หากทำเช่นนั้นได้ ตึกนี้จะต้องเป็นที่กล่าวขานและเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
อี้เยว่ฉีชื่นชมในความคิดอันหลักแหลมของภรรยายิ่งนัก เขาไม่รอช้ารีบสั่งบ่าวไพร่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในสามวัน และให้คนนำป้ายไปติดประกาศทั่วทั้งเมือง
ผลตอบรับดีเกินคาดนัก เพียงไม่กี่วันตึกร้างแห่งนี้ก็ถูกปรับปรุงจนเป็นแหล่งการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น อี้เยว่ฉีควบคุมราคาสินค้าทุกอย่างไม่ให้แพงจนเกินไป ทำให้มีผู้คนแวะเวียนมาจับจ่ายซื้อของแทบไม่ว่างเว้น ด้านภัตตาคารด้านบนก็มีแต่อาหารเลิศรสราคาถูก แม้แต่คนยากจนก็ยังมีปัญญาซื้อกิน
หลี่เจินนำชุดที่ตัดเอาไว้ก่อนหน้ามาแขวนบนหุ่นไม้ที่สามีสั่งทำมาให้ ก่อนจะตั้งหน้าร้านให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้เห็น อาภรณ์สีสดใสลวดลายหาดูยาก ทำให้สตรีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างให้ความสนใจในร้านตัดผ้าของหลี่เจินกันเป็นจำนวนมาก
ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์หญิงเก้าที่เสด็จมาถึงร้านของนางด้วยตัวเอง
“หลี่เจินถวายพระพรองค์หญิงเก้าเพคะ”
หญิงสาวย่อกาย ก่อนจะรินน้ำชาให้แก่สตรีผู้สูงศักดิ์ องค์หญิงเก้าเป็นพระธิดาของฮ่องเต้ นางมักจะสวมอาภรณ์สีสันสดใสเสมอ ยิ่งได้เห็นผลงานการตัดเย็บของหลี่เจิน นางก็ถูกใจเป็นอย่างมากจนต้องมาหาหญิงสาวถึงที่
“ข้าไม่เคยเห็นผ้าลวดลายสวยงามเช่นนี้มาก่อน”
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์หลงใหลในลวดลายและเนื้อผ้าที่นุ่มลื่น แต่ที่นางชื่นชอบยิ่งกว่าคือรูปแบบของอาภรณ์ต่างหาก
“ข้าอยากได้อาภรณ์สำหรับฤดูหนาวสักสามชุด หากถูกใจ ข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างงาม”
กระดาษขนาดใหญ่ถูกกางลงบนโต๊ะ หลี่เจินมองรูปวาดอาภรณ์ที่ถูกออกแบบมาให้แล้วก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รูปแบบไม่ใช่สิ่งที่น่าหนักใจแต่เป็นความซับซ้อนของลวดลายต่างหาก
“ข้ารู้ว่ามันยาก แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”
องค์หญิงเก้ากล่าวอย่างคนมีเมตตา นางไม่ชอบใช้อำนาจข่มขวัญผู้ใด หากนางต้องการสิ่งใดนางมักจะใช้วิธีที่นุ่มนวลในการเจรจา
“หม่อมฉันทำได้เพคะ แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย”
“อีกนานกว่าจะถึงฤดูหนาว ข้าไม่เร่งรัดเจ้าหรอก”
หลี่เจินโล่งใจทั้งยังรู้สึกโชคดีที่ลูกค้าผู้สูงศักดิ์ไม่ใช่คนเรื่องมากเท่าใดนัก แต่นางก็เตรียมใจไว้แล้วว่าในอนาคตจะต้องพบเจอลูกค้ามากหน้าหลายตา อาจมีดีบ้างแย่บ้าง ก็ต้องทำใจและยิ้มแย้มต้อนรับ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องหักโหมหรอกเจินเอ๋อร์”
เห็นภรรยานั่งปักผ้าหลังคดหลังแข็งอยู่บนตั่งไม้ เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือไม่ที่เปิดร้านขายอาภรณ์ให้แก่นาง เขารู้สึกเหมือนเขากำลังใช้แรงงานนางเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัว
“ข้าไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ทั้งยังมีความสุขที่ได้ทำ”
หลี่เจินกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม นางรู้สึกดีที่มีอะไรให้ทำทั้งสิ่งนั้นยังสร้างรายได้ให้กับนางอีกด้วย ต้องขอบคุณสามีที่ให้โอกาสนางได้ทำอะไรเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตนเองบ้าง ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกไร้ค่าอยู่เลย แต่ยามนี้นางไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว ยิ่งมีคนชื่นชมผลการการปักผ้าของนาง นางก็ยิ่งรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น
อย่างน้อยนางก็มีดีอยู่บ้าง
อี้เยว่ฉีเมื่อเห็นว่าภรรยากำลังมีความสุข เขาก็ไม่อยากจะขัดขวางนาง การที่ได้เห็นหลี่เจินมีรอยยิ้มมันช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก ตลอดหลายเดือนที่อยู่ด้วยกันมานางมีสีหน้าอมทุกข์ ท่าทางเศร้าโศก แววตาหม่นหมองของนางเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก