สายลมราตรีกรีดเฉือนพสุธาดั่งมีคม
ไอยะเยือกพร่างพรมสู่ผิวพื้นทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า ก่อเกิดเส้นรอยเป็นทางสับสนขวักไขว่หลายสายสุดปลายตา
รอยลึกสลับซับซ้อนบนผิวทราย ยังไม่สับสนเท่าใจคนยามแร้งไร้อ้างว้าง กลางห่วงรัตตติกาลมืดทมึน
…" สุดขอบฟ้าพร่างพราวดาวไสว
ลึกลงใจมีหนึ่งนางเฝ้าฝันหา
อบร่ำดาว กอดเงา เคล้าสุรา
ไม่นำพาภัยแร้งร้าย ใจยินดี
ฮ่า ฮ่า ฮ่า …."
เสียงร่ายโคลงกลอนกลางฟ้าอนธกาล ดังกึกก้องไปกับท่วงท่ากวีใหญ่ในร่างเล็กสันทัดของชายผอมบาง มันกระดกถุงสุรายกดื่มใต้แสงจันทร์นวล
เงาร่างผอมบางนั้นไม่สะทกสะท้านต่อสภาพแห้งแล้ง ไม่หวาดหวั่นกับสายลมหนาวที่กรีดเฉือนไม่หยุดหย่อน
ชายร่างเล็กในชุดขนหมีคลุมกายยังคงร่ำเมลัย ยืนร่ายโคลงกลอนเคล้าลมราตรีอยู่ข้างกองไฟ ด้วยท่าทีปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
ทว่าท่วงท่ายืนตระหง่านของมัน กลับนำพาเสียงหัวเราะ คิก คิก คัก คัก จากสหายร่วมทาง ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงโขดหิน ในมือยกถุงหนังบรรจุสุราขึ้นดื่ม ด้วยรอยยิ้มระรื่น
" เจ้าแมวกวน เอ่ย เจ้าแมวกวน ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ งมงายอยู่กับนางฟ้านางสวรรค์มาแรมปี แบบนี้ต้องนับเจ้าเป็นคนเมามายโดยไม่ต้องร่ำเมลัยสักหยด ยอดเยี่ยมจริงๆสหาย ! "
ชายที่นั่งอยู่กับพื้นกล่าวเริงร่าเคล้าเสียงหัวเราะสดใส แม้รูปลักษณ์มันจะเป็นชาวตะวันตก ผมสีน้ำตาลอมแดง ดวงตาสีเทาอ่อน จมูกโด่งโครงหน้าคมคาย แต่ภาษาชาวฮั่นที่มันพูดป่าวๆ กลับชัดถ้อยชัดคำยิ่ง
" เจ้าจะอิจฉาข้าไปใย เจ้าหมาหลง !...อาการเมารักไม่น่าอภิรมณ์นักหรอก ประเดี๋ยวสุขสันต์ปริ่มปิติ ประเดี๋ยวหม่นเศร้า ประเดี๋ยวคันคะเยอคล้ายกับมีมดคันไฟไต่ตอมในใจทุกวี่วัน "
เจ้าแมวกวนพรรณาเลื่อนลอย พลางเดินลงไปนั่งไขว้ห่างบนโขดหินดั่งกวีผู้ทรงภูมิ
" โห้ !...ความรักมันเป็นพิษเพียงนี้ เหตุใดเจ้าไม่หักอกหักใจเสียเล่า ? "
สหายผมแดงของมันได้ยันตัวตั้งตรง เหมือนอยากรับฟังความในใจของเจ้าแมวกวนให้ถนัดหู
" เจ้าหมาหลง เอ่ย เจ้าหมาหลง เสียแรงเดินทางจากบ้านเกิดมาหลายพันลี้ กลับไม่มีความเข้าใจในรักแท้สักนิด "
เจ้าแมวกวนหยอกเย้า พลางตบไหล่สหายแผ่วเบาไปกับการพรั่งพรูความในใจตามต่อ
" ในรักย่อมมีทุกข์ หากไม่ทุกข์ย่อมไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าสุขสันต์ !...เจ้าลองนึกถึงทารกแรกเกิดเถิด มารดาต้องเจ็บปวดทุกข์ทนเพียงใด กว่าจะคลอดบุตรออกจากครรภ์ แต่เมื่อทารกคลอดออกมาดูโลก มารดาจะสุขสันต์ราวกับลอยขึ้นสวรรค์วิมาณที่เดียว "
" อ้อ !...ที่แท้เจ้ายอมทุกข์ทนเก็บเงินทองมานานนับปี เพื่อรอวันให้ถึงสวรรค์ในใจสินะ นับถือ นับถือ "
สหายผมแดงรีบลุกขึ้นยืน พร้อมประสานมือคารวะ ก่อนจะยกถุงสุราขึ้นดื่ม ด้วยอาการไม่แน่ชัดว่าประชดประชัน หรือนับถือด้วยใจจริง
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. หรือเจ้าไม่ยอมทนทุกข์เฉกเช่นข้า มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่เอาแต่สะสมเงินทอง คงคิดซื้อสำเภาสักลำกลับเมืองเวนิชของเจ้ากระมั้ง ! "
" ประเสริฐยิ่ง เจ้านับเป็นสหายรู้ใจโดยแท้ มา มา ข้าคารวะเจ้าอีกสิบจอกเป็นไร "
ชายนัยน์ตาสีเทากล่าวพลางยกถุงหนังบรรจุสุรากระดกดื่ม ดั่งหยั่งรู้นิสัยคนตงหงวนอย่างถึงแก่น ที่มีสุราอยู่ในทุกพิธีกรรมบูชาใจ
" พวกเจ้ามีอันใดนับถือเลื่อมใสกันนัก ?... คนหนึ่งมัวเมารัก อีกคนละโมบโลภมาก พวกเจ้าสมควรเห็นอกเห็นใจสหายร่วมทางจึงจะถูกต้องกว่า "
น้ำเสียงแกร่งกร้าวที่ไล่ล้อมากับเสียงกระพวนผูกคออูฐที่ดัง กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง ส่งกระแสให้สองสหายโชยยิ้มทักทายไปตามทิศทางที่ทั้งคนทั้งอูฐเดินมา
" เหตุใดต้องเห็นอกเห็นใจเล่า ในเมื่อเจ้าสุขสำราญกว่าใคร …เจ้าได้ควบขับอาชาท่องลมทะเลทราย ซ้ำยังหอบเหล้าองุนมาเต็มหลังอูฐ จัดเป็นผู้ร่ำรวยท่ามกลางอิสระเสรีมิใช่รึ …เจ้าม้าห้าว ! "
เจ้าแมวกวนร้องทักชายสูงใหญ่กำยำ ที่เดินจูงสามอูฐ สามอาชา ตรงมาผูกรั้งหกสัตว์พาหะนะไว้กับโขดหินใหญ่ ก่อนจะดึงถุงหนังบรรจุสุรากับห่อใส่เนื้อแห้งออกมาหาสหายทั้งสอง
" เจ้าทั้งคู่ร่ำเมลัยไม่รั้งรอกันเช่นนี้ เห็นทีข้าต้องรีบเร่งเทสุราลงกระเพาะเสียแล้ว จึงจะติดตามพวกเจ้าทัน "
ชายร่างกำยำไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย พอเอ่ยเสร็จก็ยกถุงสุราเทกรอกลงคอ
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าม้าห้าว เอ่ย เจ้าม้าห้าว เจ้าดื่มกินหนักหน่วงเพียงนี้ เห็นทีต้องขึ้นล่องขนสินค้าอีกหลายเที่ยวกระมั้ง จึงจะสามารถตั้งตนเป็นเศรฐีใหญ่ได้ "
สหายตาสีเทาของมันกล่าวตักเตือน พร้อมกับหยิบห่อเนื้อแห้งจากมือมันมากัดกิน
" แบบนั้นประเสริฐยิ่ง ได้ทอดร่างท่องสายลม ร่ำสุรากับผู้รู้ใจ นับว่ามีชีวิตเลิศล้ำกว่าเป็นเศรฐีในบ้านเมืองอันอัปยศแล้ว "
ชายร่างสูงใหญ่ชูคอกล่าวก้อง พร้อมทั้งยกสุราขึ้นดื่มคำใหญ่
สหายทั้งสองเหมือนจะเข้าใจความนัยของถ้อยคำมันแจ่มแจ้ง ทั้งสองมองสหายที่ภายนอกกล้าแกร่งทรงพลัง ด้วยความเห็นอกเห็นใจยิ่ง
ภายใต้รูปลักษณ์หาญกล้าทรนงของผู้มีฉายาว่าม้าห้าว แฝงไว้ด้วยเงาโดดเดี่ยวเดียวดายมาตั้งแต่มันจำความได้
แม้เจ้าม้าห้าวจะเป็นบุตรหลานของสกุลห้าว อันเป็นตระกูลผู้กล้าแห่งราชวงศ์ซ่ง แต่เพราะพิษภัยของกังฉินในราชวงศ์ก่อนได้ทำให้ตระกูลมันต้องกลายเป็นกลุ่มโจรบนเขาเหลียงซาน จัดเป็นหนึ่งใน108ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงอันเลื่องลือ
กังฉินในราชวงศ์ซ่งว่าเลวร้าย ยังไม่เท่าชนเผ่ามองโกลที่บุกเข้าทำลายกวาดล้างทุกอย่างให้ราพนาสูญ หลงเหลือเพียงเด็กนกำพร้าวัยแปดขวบอยู่โดดเดี่ยวเป็นคนสุดท้ายในสกุล
เด็กน้อยโซซัดโซเซมาตามลำพัง กระทั้งได้พบกลุ่มโจรภูเขาที่เหลือรอด ณ ชุมโจรแห่งนั้นเด็กน้อยได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างผู้กล้า เรียนวรยุทธ ฝึกหัดคุมอาชา จนผ่านเลยนับสิบปีมันจึงได้กลายเป็นบุรุษผึ่งผายเปี่ยมพลัง ที่ไม่ได้ชื่นชอบทั้งราชวงศ์เก่า และไม่นิยมเผ่ามองโกลผู้รุกราน มันจึงเป็นเพียงผู้พเนจรไร้รากมายาวนาน
ชื่อ 'ห้าวซิ่ง ' ที่บิดาตั้งให้ เหมือนจะไม่มีใครเรียกขาน เพราะมันเป็นผู้ขับขี่อาชาเหนือใคร สมญาม้าห้าวจึงถูกเรียกแทนตัวเสมอมา
ในยามนี้เจ้าม้าห้าวได้ผาดโผนท่องโลกกว้าง กลายเป็นชายหนุ่มวัย 26 อันเปี่ยมพลังไปทั้งกาย ดวงตามันทอประกายเฉิดฉายกระตือรือร้น ใบหน้าคมคายที่มีตอหนวดขึ้นบางๆ ยิ่งมีร่างสูงใหญ่เสริมสร้างให้ดูมันคล้ายนักรบกล้า มากกว่าพ่อค้าเร่ที่แรมทางอยู่บนเส้นทางสายไหมมาหลายปี
บนหนทางยาวไกล ท่ามกลางบรรยากาศแร้งไร้ จะมีอันใดหล่อเลี้ยงหัวใจคนได้เท่ากับสหายที่พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุข
แม้ทั้งสามสหายจะต่างที่มา ต่างที่ไป แต่ยามอยู่รอบกองไฟ ร่ำเมลัยขับไอหนาว ล้อมรอบด้วยหมู่ดาวสกาว พวกมันจึงถ่องแท้ในคุณค่าแห่งน้ำมิตรว่าเลิศล้ำเพียงใด
" ข้าพเจ้าไม่ได้ชมขอบรสชาติสุรา หากแต่ชมชอบในบรรยากาศเวลาร่ำสุราต่างหาก ดื่มกับสหายรู้ใจพันจอกก็ไม่เมา "
สหายนัยน์ตาสีเทากล่าวร้องหน้าระรื่น เหมือนไปจำวาจามาจากพ่อค้าในตลาดใหญ่ ทำเอาเจ้าม้าห้าวหัวเราะครืนๆกับสหายต่างเผ่าพันธ์ที่ช่างจดจำผู้คนนัก
" คิก คิก คิก…เช่นนั้นข้าคงต้องเมามายคนเดียวแล้ว เพราะข้าชมชอบรสชาติสุราเหนืออื่นใด ต่อให้ลงหลุมนอนโลงก็สามมารถดื่มสุราระรื่นได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า "
" สมเป็นเจ้าโดยแท้ สมเป็นม้าคึกคักไม่รู้เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า "
สามสหายหัวร่อร่าครึมใจ เคล้าคลอไปกับสายลมหนาว กระดกดื่มเมลัย ดั่งจะเย้ยฟ้าท้าเภทภัยทั้งมวล…
" ร่ำเมลัยสีอำพัน
ชมจันทร์อันอำพร
สวรรค์ของคนจร
เรืองรองบนผืนทราย
ฮ่า ฮ่า ฮ่า….'
… ผ่านไปครึ่งค่อนคืน แสงจันทร์ยังกระจ่างอยู่กลางฟ้า
แต่กองไฟค่อยมอดดับลับแสง เช่นเดียวกับถุงบรรจุเมลัยที่เหือดแห้งขอด …ไร้สุราไร้กองไฟ ผู้คนใยต้องนั่งหลังขดหลังแข็งท้าทายลมหนาวเล่า
ทั้งสามสหายต่างนอนขด ห่มคลุมผ้าขนสัตว์หลับฝันไปด้วยความเมามาย ผสานรวมกับความเมื่อยล้าที่ตรากตรำเดินทางมานานนับเดือน
โดยพวกมันไม่ทันระแวดระวังเลยว่ากลางท้องทะเลทรายเวิ้งว้าง จะปรากฏรูปเงาเร้นลับเผ่นโผนเข้าหาพาหะนะของพวกมัน ดั่งภูตพรายลอยล้ามาในสายลมอนธกาล
เพียงอึดใจหนึ่งอาชาถูกแกะเชือกที่ผูกพันธนาการ แล้วถูกลากจูงไปอย่างเงียบกริบ
ทว่าระหว่างที่ม้าพ่วงพีหันตัวกลับ ขนหางยาวเยียดของอาชาได้สะบัดเข้าจมูกอูฐที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำเอาอูฐชูคอยาว ร้องร่ำด้วยความระคายเคือง พร้อมกับสั่นสะเทือนให้กระดิ่งผูกคอดัง กุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง….
เสียงแว่วในความเงียบงัน บันดาลให้ห้าวซิ่งสะดุ้งลืมตาตื่น ! …เบิกตามองที่มาของเสียงในทันใด
" ช่ะ ช้า !...เจ้าโจรทะเลทราย กล้ามาล่วงคองูเห่าเชียวรึ ? "...
ไม่ทันสิ้นเสียงตวาด เงาร่างในความมืดพลันกระโจนขึ้นหลังม้า แล้วเร่งกระตุ้นเท้าควบขับอาชาวิ่งทะยานไป
" อย่าได้คิดหนีนะ เจ้าโจรโฉด ! "
ห้าวซิ่งตะโกนลั่น พลางกระโดดขึ้นจากที่นอน แล้วเร่งฝีเท้ากระโจนขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม
เพียงพริบตาจึงกระตุ้นม้าตามโจรไปอย่างทันท่วงที
ปล่อยทิ้งให้สองสหายที่ยังสลึมสลือตื่นขึ้น พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สองอาชาก็ตะบึงวิ่งไปไกลแล้ว
" เร็วเข้าเจ้าหมาหลง มีโจรมาปล้นชิงแล้ว ! " ชายร่างเล็กผอมบางตะโกนก้องคำใหญ่ผิดกับร่างกาย มันรีบกุลีกุจรเก็บผ้าผ่อนวิ่งเข้าไปหาอูฐที่ยังบันทุกสัมภาระอยู่เต็ม
" เอะ !...ประหลาดจริง เหตุใดโจรไม่ปล้นสินค้า มันขโมยแค่ม้าไปตัวเดียว "
เจ้าหมาหลงร้องตักเตือนทันทีที่เห็นสภาพการณ์ ทำเอาสหายร่างเล็กนิ่งคิดด้วยความฉงน
" มันไม่ใช้โจร !...มันกำลังหนีศัตรู ! "
ในที่สุดเจ้าแมวกวนพลันกล่าวรวบรัด ตามประสบการณ์ที่เขี้ยวกรำ
เช่นเดียวกับสหายผมแดงที่เห็นพ้องไม่แตกต่าง
" หรือไม่แน่ว่ามันอาจหนีปีศาจร้ายมาก็ได้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พนันกับข้าคนล่ะห้าตำลึงมั้ย ? "...
" วู้ !...ไอ้โจรทะเลทราย เจ้ารู้หรือไม่ ม้าที่เจ้าขโมยนั้นมันดุดันยิ่ง หากมันสะบัดเจ้าลงกระแทก มีหวังแข็งขาหักกลายเป็นคนพิการไม่รู้นะ ! "
ห้าวซิ่งตะโกนร้องเริงร่า แย้มยิ้มพึงพอใจ ขณะควบขับอาชาติดตามอาชาที่ถูกลักพามาไม่ห่าง
โดยโจรทะเลทรายก็หาได้มีฝีมือขับขี่ม้าต่ำทราม มันกระตุ้นอาชาทะยานผ่านเนินทรายราวเหินบิน บางคราบังคับม้าให้กระโดดลอยล้ำไปหลายเซียะ ก่อนจะพาลงเนินทราย วิ่งซอยเท้าเร็วรี่จนเนินทรายกระเซ็น
" ฮ่ ฮ่า ฮ่า…ฝีมือขับขี่ไม่เลวนิเจ้าโจร ! เสียดายที่เจ้าขโมยม้าผิดตัวนะ ! "
สิ้นวาจาเพียงลัดนิ้วมือ ห้าวซิ่งพลันส่งเสียงผิวปากหวีดหวิวดังแหลม
ทันทีนั้นม้าที่ถูกขโมย ได้ยันตัวตั้งขึ้นจากพิ้น ดีดสองขาหน้ารุนแรง แล้วกระโดดกลับใช้สองขาหลังดีดขึ้น รวดเร็วรุนแรงจนสะบัดเอาผู้ขับขี่กระเด็นลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้น เกิดเป็นฝุ่นทรายคละคลุ้งในอากาศ
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า …มั้ยเล่าเจ้าโจรโฉด โดนดีดลงไปกินฝุ่นจนได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …"
ห้าวซิ่งกู่ร้องหัวร่อร่า ขณะกระโดดลงจากหลังม้า แล้วขยับเข้าไปจูงบังเ**ยนม้าที่ถูกขโมย ดึงหัวมันมาลูบคลำด้วยความห่วงใย
ทว่าอารมณ์ดีใจของบุรุษหนุ่มได้ขาดสะบั่นลงทันที เมื่อหันไปพบกับโจรทะเลทรายที่ค่อยๆยันกายขึ้นจากพื้น
มันเดินฝ่าม่านฝุ่นทรายเข้ามาหา ดั่งว่ามันไม่ยินยอมง่ายดาย
" โอ๊ โอ !...เจ้าโจรโฉดยังไม่ยอมแพ้อย่างนั้นรึ !..."
น้ำเสียงของห้าวซิ่งได้ลากไหล่ยืดยาว เมื่อแสงจันทร์ได้ส่องต้องรูปเงาระหง ที่ก้าวเดินฝ่าละอองทรายออกมา
ภาพแสงจันทร์นวลใยที่เลื่อมพรายล้อมรอบดรุณีสะคราญโฉม ประหนึ่งได้ยลเทพธิดาจากแมนสรวงแดนฟ้าลอยลงมาชะโลมพสุธา
นางงดงามผุดผาด ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งเป็นสันอยู่เหนือริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดธรรมชาติโดยไม่ต้องแต่งเติมใดๆ
เรือนผมดำขลับของนางปล่อยยาวสยายดั่งสายน้ำสีนิลไหลระเรื่อ ที่ศรีษะยังมีรัดเกล้าไพรินสีฟ้าสดประดับอยู่เหนือหน้าผากขาวผ่องโหนกนูน เมื่อต้องแสงจันทร์จึงสะท้อนประกายเปล่งปลั่งเรืองรอง
" นี่เจ้า ! เจ้า เป็นผู้หญิงอย่างนั้นรึ ? "
ห้าวซิ่งพูดด้วยริมฝีปากกระตุก หัวใจเต้นระรัวรุนแรง จ้องมองหญิงสาวมองโกลอย่างไม่เชื่อสายตา
มิคาดในพริบตานั้น ห้าวซิ่งพลันต้องกระตุกเกร็งมากกว่าเก่า เมื่อสาวมองโกลได้ตรงเข้ามาจับแขนมัน แล้วเหวี่ยงทุ่มทั้งร่างสูงใหญ่ลงไปกระแทกพื้น จนฝุ่นทรายกระเซ็นคลุ้ง
โ อ้ ย !...
' พวกมองโกลนี่มันจะโหดร้ายไปทุกคนเลยรึไง ! '...
ห้าวซิ่งสบถในใจ หัวเราะเฮอะ ฮะ เย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะยันตัวขึ้นยืน ไปเผชิญหน้ากับนางอีกครา…