… เดือนเคลื่อนดาราคล้อย
ลูกศรลอยเกลื่อนฟ้า
ควงดาบควบอาชา
สยบหล้าธรณี
ดั่งสุรีย์เรืองโรจน์ส่องกระจ่าง
จอมข่านสร้างนครเขตแคว้น
แบ่งสรรค์ทายาทครองดินแดน
เป็นปึกแผ่นแห่งต้าหยวนอันเรืองนาม
ผู้ติดตามข่านไคดูอยู่เปอร์เซีย
ไม่สูญเสียขวัญกล้าแม้ไกลแสน
ด้วยมีสิ่งเลอล้ำเหนือดินแดน
สร้างเมืองแมนแคว้นสวรรค์กลางผืนทราย
ร้อยหมื่นชายหมายถวิลสิ่งล้ำค้า
ปราถนาโฉมสะคราญหยาดสวรรค์
คือองค์หญิงผู้เลิศล้ำคูตูลัน
ดุจดั่งจันทร์ผุดผาดเหนือดาวดาษดา….
…ลำนำเพลงยาวที่ขับขานทั่วแว่นแคว้นจากาไต ทรงอนุภาพเจาะลึกถึงใจคนมากกว่ากองทัพนับร้อยพันเคลื่อนพลยาตรา
…จะมีพลังแห่งนักรบใดครอบครองใจคนได้ เท่าจิตวิญญาณที่ร้อยเรียงอยู่ในถ้อยภาษาเพลงกวี
ไม่เพียงชาวบ้านร้านตลาดที่ร่ำร้องลำนำด้วยใจเปลี่ยมปิติ แม้แต่นักรบหาญกล้าในสมรภูมิยังกล่าวร้องคำกลอนด้วยใจชื่นบาน
ในโคลงกลอนตอกย้ำถึงการรวมอณาจักรมองโกล เทิดทูลเจงกิสข่านคือจอมข่านไร้ผู้ใดเสมอเหมือน
บอกเล่าถึงการครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของมองโกล อันแบ่งแยกเป็นสี่อณาจักรสี่ข่านปกครองอณาเขตทั้งสี่ทิศทาง โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองต้าตู ( ปักกิ่ง ) อันมีกุบไลข่านเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หยวน
ส่วนแว่นแคว้นจากาไต เป็นดั่งอณาจักรรองที่มีเขตแดนกว้างใหญ่ จากหุบเขาคุนลุ้นครอบคลุมดินแดนเปอร์เซียทั้งหมด ไปจนจรดลุ่มน้ำอาบูดาบี
ข่านไคดูคือผู้ปกครองอันทรงปรีชาสามารถ จนแคว้นจากาไต ถูกเทียบเคียงเสมอกับเมืองหลวงในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นความเจริญมั่งคั่ง กองกำลังนักรบ รวมถึงช่างฝีมือทั่วทุกสาขาอาชีพ
ทว่าสิ่งเดียวที่เลิศล้ำเหนือนครหลวง คือบุตรตรีคนที่สิบหกของข่านไคดู อันเลื่องลือถึงพระสิริโฉมงดงาม พอๆกับระบือนามในเชิงยุทธ ที่สามารถสยบชายชาญไปทั่วหล้า
องค์หญิงโฉมสะคราญทรงพระนามว่าคูตูลัน หากแต่กวีแห่งเปอร์เซียมาประสบพบพักต์ ถึงกับเพ้อละเมอดั่งต้องมนต์แสงจันทร์เฉิดฉาย
จึงบังเกิดโคลงกลอนเปรียบเปรยนางดั่งดวงจันทราอยู่หลายบท หลายกาละเทศะ เป็นเหตุให้องค์หญิงคูตูลันมีสมญานามว่า ' ไอยารัค ' อันมีความหมายถึงแสงจันทรา ตามภาษาเปอร์เซีย
เมื่อความงามหยาดฟ้าผสานเข้ากับอำนาจแห่งอณาจักรเกรียงไกร จึงก่อเกิดให้เหล่าองค์ชายทั่วแคว้นทั้งใกล้ไกล ต่างแต่งขบวนหอบสมบัตินานา สวนสนามมาสู่ขอองค์หญิง นับได้ถึงสามสิบแว่นแคว้น แม้แต่องค์ชายเก้าแห่งกุลไลข่านยังยาตราทัพกว่าหมื่นชีวิต มาร่วมสู่ขอโฉมสะคราญหนึ่งในแผ่นดิน
ในวัยสิบเก้าขององค์หญิงคูตูลัน นางหาได้หวั่นไหวกับทรัพย์สลิงคารแม้แต่น้อย
องค์หญิงเลือกที่จะคัดสรรค์คู่ครองด้วยวิธีเดียว คือต้องประลองมวยปล้ำ ( โป๋เค้อ ) ให้ชนะนางได้เท่านั้น แต่หากพ่ายแพ้ต่อนาง มีเพียงสถานเดียวคือต้องส่งมอบอาชาพ่วงพีห้าร้อยตัวเป็นสินสงคราม
แรกที่เหล่าองค์ชายรับรู้เงื่อนไขข้อแม้นาง ทุกผู้คนต่างกระหยิ่มยิ้มย้องอาสาลงมือประลองเป็นคนแรกๆ
แต่พอองค์หญิงคูตูลันจับเจ้าชายสูงใหญ่แห่งบรากเตียคว่ำลงในกระบวนท่าเดียว แผ่นดินเหมือนจะพลิกตลบจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันใด
เหล่าองค์ชายนับสามสิบชีวิตต่างผุดลุกขึ้นยืนตาค้าง ตื่นตระหนกราวตกอยู่ในฝันร้ายก็ไม่ปาน
เป็นฝันร้ายที่สยายปีกกว้างไกล กลายเป็นความจริงอันโหดเหี้ยมสุดประมาณ เมื่อเจ้าชายคนแล้วคนเล่าถูกทุ่มกระแทกพื้นราวใบไม้ร่วง
ใช้เวลา15วัน เจ้าชายทั้งสามสิบชีวิตจึงถูกสยบจนหมดสิ้น
หลงเหลือไว้เพียงฝูงม้าจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันตัว ไว้เป็นพยานแห่งความปราชัย…
ภาพฝันลอยละมัย ถึงฝูงอาชาหมื่นกว่าตัวที่ตะบึงวิ่งเรียงเป็นแนวคลื่นบนพื้นหญ้าเขียวขจี
มีองค์หญิงร่างสูงโปร่งควบขับอาชาสีขาวสล่างดั่งหิมะ ทะยานร่างละล่องไปในท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส ช่างเป็นภาพฝันอันเปี่ยมสุขสุดประมาณ…
…ใบหน้ารกหนวดเคราแหง่นเงยมองจันทร์นวลใยในราตรี แม่ทัพแกร่งกล้าแห่งแคว้นจากาไต รำพึงแผ่วเบากับตนเอง คล้ายได้ผ่อนคลายไปกับภาพเลื่อนลางที่ปรากฎในหัว
" องค์หญิงคูตูลัน ! ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจะได้ควบขับอาชาเคียงข้างท่านอีกเมื่อใด ?"
เสียงมันแหบพร่า ท่ามกลางสายลมกรูเกรียวพัดเยียบเย็น ทั้งที่รอบบริเวณล้วนเป็นเวิ้งทะเลทรายยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ยามกลางวันมันต้องทนทรมานฝ่าไอร้อนแห่งท้องทะเลทรายโกบี กลางคืนต้องทุกข์ทนกับลมหนาวราวมีดกรีดเฉือน ทั้งความร้อนและไอยะเยือกเหน็บหนาวยังไม่อาจสร้างความขื่นขมระทมใจ เท่ากับไม่อาจเอื้อมถึงความรักจากหญิงสาวที่ครอบครองใจมันมาช้านาน
…จะมีอาวุธใดร้ายแรงเท่าความรักอีก !...
ยิ่งเป็นรักที่ไม่อาจเอื้อนเอยสักวาจาบอกความในใจ ร้อยพันศาสตรากรีดเฉือนยังไม่เจ็บปวดเท่าภาวะประเภทนี้
แม่ทัพเยลู่จีจมปรักอยู่กับอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ มาตั้งแต่อายุสิบสี่
นับตั้งแต่มันกำชัยชนะกลับมาพร้อมบิดาสู่แคว้น วันแรกที่ได้พบเทพธิดาน้อยคูตูลัน หัวใจมันก็ถูกผูกมัดติดตรึงไร้สิ้นอิสระอีกเลย
แม้ขณะที่พบเจอนาง คูตูลันยังอยู่ในวัยเยาว์อายุเพียง9ขวบ ถึงกระนั้นนางยังงามสะคราญปานดรุณีน้อยจากแมนสรวง
ร่างนางสูงสง่าเกินเด็กวัยเดียวกัน ผิวพรรณนางขาวละเอียดผุดผาดแปลกไปจากสาวชาวมองโกลทั่วไป
อาจเพราะมารดานางเป็นราชนิกุลแห่งแดนเปอร์เซีย รูปลักษณ์นางจึงผสมผสานก่อเกิดเป็นเทพธิดาน้อย อันงดงามหมดจรดพร้อมกับมีพลังทางกายแกร่งกล้าไปทุกสัดส่วน
โดยเฉพาะดวงตากลมโตสีเขียวอ่อนขององค์หญิง รู้สึกได้ถึงความฉ่ำเย็นดั่งได้แหวกสายธารเขียวขจี ต่อให้อ่อนล้าโรยแรงเพียงใด เพียงได้ประสานสบตางามคู่นั้น จะชุมชื่นเย็นฉ่ำในบัดดล
เนินนานนับสิบปีที่เยลู่จีเฝ้าติดตามอารักขาองค์หญิงของมันไม่ห่าง โดยไม่คิดจะปริปากบอกความในใจ หาญคิดก้าวล่วงให้เกินศักดิ์ มันเพียงแค่ขอได้อยู่ชิดใกล้ก็นับว่ามีโชควาสนาล้นพ้นแล้ว
ตราบกระทั้งถึงยามที่มีเภทภัยกล้ำกราย ศัตรูเร้นร้ายเข้าโจมตีขบวนเดินทางขององค์หญิง เยลู่จีคงใช้เลือดเนื้อเข้าแลก เพื่อช่วยเหลือองค์หญิงให้รอดพ้นอันตราย
ไม่แน่ชัดว่าเป็นพวกใด เผ่าใดเข้าโจมตีขบวนเดินทาง เหตุเพราะเวิ้งทะเลทรายเป็นดั่งดินแดนบรรพกาล ไร้กฏหมายข้อบังคับ ขอเพียงมีพละกำลังย่อมสามมารถแย่งชิงทุกสิ่งได้ด้วยศาสตรา
องค์หญิงคูตูลันเข้าถึงวิถีแห่งท้องทะเลทรายอย่างแตกฉาน นางหาได้ครั่นคร้ามต่อการรบราฆ่าฟัน ควบขับอาชาโจนทะยานเข้าโรมรันข้าศึกในราตรี
หากการศึกครั้งนี้ตึงมือเกินไป ผู้รุกรานมียุทธวิธีแยบยลฉับไว อำพรางตนด้วยชุดคลุมปิดบังกาย แฝงตัวอยู่ในผืนทราย แล้วรุกไล่เข้าทำร้ายพวกนางโดยไม่ทันตั้งตัว จนขบวนนักรบของนางล่าถอยล้มตายกันเกลื่อนกลาด
ทำให้แม่ทัพเยลู่จีไม่อาจแข็งขืนต้านทานข้าศึกได้ มันจึงแบ่งกำลังตีฝ่าศัตรูเร้นร้ายนำพาเจ้าหญิงควบตะบึงอาชาหนีไปทางบูรพาทิศ
สิบหกนักรบชายหญิงบนหลังม้า กระตุ้นเท้ากุมบังเ**ยนโจนทะยานไปในทะเลทรายโดยไม่หยุดยั้ง
ผ่านไปครึ่งค่อนคืนพวกมันทั้งสิบหกชีวิตมีอันต้องดึงรั้งบังเ**ยนหยุดพัก เมื่อพบว่ามีนักรบสามนายร่วงลงจากหลังอาชา
สถานการณ์ถูกบีบคั้นมากขึ้น เมื่อพบว่าทั้งสามนายทหารขาดใจตายไป เพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทงฟันหลายจุดในกาย
ถึงแม้จะเร่งร้อนหวาดหวั่น องค์หญิงยังเลือกที่จะฝังซากสังขารของสามทหารคู่ใจ ไม่ปล่อยให้เดรัจฉานกลางทะเลทรายมากัดกิน
ชั่วขณะที่องค์หญิงร่วมกับเหล่าทหารขุดหลุมฝังผู้วายชน เยลู่จีที่ร้อนรุ่มใจพลันนึกคิดวิธีช่วยเหลือองค์หญิงขึ้นมาในทันใด
" กลยุทธยืมซากคืนชีพอย่างนั้นรึ ? "
องค์หญิงคูตูลันร้องถามนักรบกล้าทันใด เมื่อแม่ทัพเยลู่จีได้บ่งบอกกลยุทธที่มันนึกถึง
โดยองค์หญิงไม่ทันได้ทัดทานใดๆ เหล่าทหารที่เหลือทั้ง12ชีวิตต่างลงไปคุกเข่า พร้อมยกมือตบอก เป็นท่วงท่าก้มขอร้องด้วยใจจริงตามแบบชาวมองโกล
" ในวันเพ็ญหน้า ที่เมืองหลวงต้าตูจะมีวันสารทจงชิวเจี๋ย (วันไหว้พระจันทร์ )อันคึกครื้นนัก ฟังมาว่ามีการแสดงหลากหลาย มีสุราเลิศรส…หากพวกข้าพเจ้ายังมีชีวิตรอด ในเดือนหน้าจะไปร่วมร่ำสุรากับองค์หญิงในนครหลวง !..."
เยลู่จีกล่าวก้อง มือตบอกรั่วถี่ แต่ละถ้อยคำของมันกลั่นออกจากใจจริง
คูตูลันห้าวหาญพอจะล่วงรู้จิตใจเหล่าทหารหาญ หากยังพิร่ำพิไร โต้แย้งไม่ยอมทำตามกลยุทธของแม่ทัพ จะมีแต่ดึงถ่วงให้ทุกคนเนินช้าไม่ปลอดภัย อีกไม่นานศัตรูคงบุกตามมาสังหารทุกคนในพริบตา
ภาวะคับขันเช่นนี้ หากไม่เชื่อฟังคำสั่งแม่ทัพคงมีแต่พ่ายแพ้ โดยไม่ต้องออกศึกสงครามแล้ว
" ได้ !...เดือนหน้าเจอกันที่เมืองต้าตู ไม่เจอไม่เลิกลา ! "
คูตูลันกล่าวกังวาลพร้อมกับยกมือซ้ายตั้งขึ้น เตรียมตบมือตกลงเป็นสัญญาด้วยใจ โดยไม่ต้องเขียนเป็นอักษรใดๆ
ไม่เพียงแม่ทัพที่งงงัน เหล่าทหารข้างกายยังมองหน้ากันไปมา ไม่คิดว่าธิดาแห่งข่านผู้ครองแคว้น จะถือความสัตย์ซื่อดั่งชายชาติอาชานัย
สุดท้ายเยลู่จีจึงต้องรับคำสัญญา พร้อมพุ่งฝ่ามือเข้าตบมือองค์หญิงตามทำเนียม
" ไม่เจอไม่เลิกลา ! "....
จากเยลู่จีที่ขานรับสัญญาเป็นคนแรก ต่อมาทั้งสิบเอ็ดนักรบต่างปรบมือขานสัญญาตาม ก่อนทุกผู้คนจะกระโจนขึ้นม้าโดยพร้อมเพรียง
ปล่อยทิ้งให้องค์หญิงที่อยู่ลำพัง ได้ดึงผ้าขนสัตว์ออกจากถุงหนังมาแผ่คลุมตัว แล้วลงไปนอนในหลุมตื้นๆ พร้อมใช้ทรายกลบฝังพรางตา กลับกลายเป็นซากที่รอคืนชีพในอีกไม่ช้านาน…
ผิดกับเหล่านักรบทั้งสิบสองชีวิต เมื่อเห็นองค์หญิงพรางตัวครบแนบเนียน จึงควบทะยานอาชาออกสู่ทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า เพื่อเปิดโอกาสให้องค์หญิงของพวกมันได้ปลอดภัยจากการติดตามของศัตรู
โดยเยลู่จีกล่ำกลืนควบอาชาไม่เหลียวมองหลัง ได้แต่เหม่อมองแสงจันทร์นวลที่กลางฟ้า ด้วยใจที่อธิฐานให้มีชีวิตรอดไปถึงเดือนหน้า
เพราะยังมีแสงจันทร์บนพื้นดินอีกดวง ที่มันต้องรักษาสัญญา