หลายวันต่อมา
มินนั่งกุมมือภาคินอยู่ข้างเตียง มองหน้าพี่ชายที่หลับใหลอยู่ ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาสักที แต่อยู่ๆ มือภาคินข้างที่มินจับไว้ก็ขยับ เพื่อความแน่ใจอีกครั้งมินจึงปล่อยมือภาคินวางลงบนเตียง แล้วดูว่านิ้วมือขยับจริงไหม ปรากฎว่านิ้วมือภาคินขยับจริงๆ พร้อมกับขยับเปลือกตาลืมตาขึ้นช้าๆ
"พี่คินฟื้นแล้วได้ยินมินไหม เดี๋ยวมินเรียกหมอให้นะ" มินจับมือภาคินยิ้มทั้งน้ำตา
จากนั้นมินจึงรีบกดกริ่งตรงหัวเตียงเรียกหมอและเรียกพ่อกับแม่ที่อยู่ข้างนอกให้เข้ามาข้างในห้องและไม่ลืมโทรไปบอกกิ่งเพื่อให้ทราบเรื่อง พอหมอกับพยาบาลเข้ามาในห้องก็ลงมือตรวจร่างกายภาคินทันทีพร้อมกับทดสอบความจำโดยการสอบถามและพูดคุย เพราะภาคินสลบไปหลายวัน
"คุณชื่ออะไรครับ" หมอถามออกไป
"ชื่อภาคินครับ" นอนกระพริบตาอยู่บนเตียง
"แล้วคุณจำพ่อแม่และน้องสาวคุณได้ไหม" หมอหันหน้าไปทางญาติคนไข้
"จำได้ครับ" หันหน้าไปมองตามหมอ
"โอเคปกติดี ไหนคุณลองขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายคุณหน่อยสิครับ"
"ครับ" รับคำแล้วขยับแขนทั้งสองข้างก็ปกติดี จนภาคินขยับขาแต่กลับขยับไม่ได้ จึงทำให้ภาคินเริ่มแปลกใจมองไปที่ปลายเท้าของตัวเองพร้อมกับมองหน้าหมอ
"ผมเป็นอะไรทำไมถึงขยับขาไม่ได้" มองหน้าหมอและหันไปมองหน้าครอบครัวของตัวเอง
"ไหนขอหมอทดสอบก่อน" เปิดผ้าห่มที่ปลายเท้าออก แล้วเคาะทีละข้าง
"เป็นไงครับ รู้สึกอะไรไหม" หมอถามหลังจากที่เคาะเสร็จ
"ไม่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย" ตอบไปตามตรงตอนนี้เขาเหมือนคนไม่มีขาเลย ขยับได้แต่ท่อนบนเท่านั้น
"หมอคงต้องเอ็กเซเรย์กระดูกสันหลังของคุณแล้วล่ะครับ" พูดจบก็หันไปบอกพยาบาลให้เตรียมห้อง
ไม่นานภาคินก็ถูกเข็นทั้งที่นอนอยู่บนเตียงเข้าไปในห้องเอ็กเซเรย์ พอเสร็จก็ถูกเข็นกลับเข้าในห้องพักฟื้นโดยมีมินอยู่เป็นเพื่อน ส่วนอัมพรกับสุวัตรกำลังนั่งฟังผลการเอ็กซเรย์จากหมออยู่อีกห้องหนึ่งด้วยใจจดใจจ่อ
"ผลเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ" สุวัตรถามด้วยความร้อนใจ
"จากที่หมอดูในฟิลม์เอ็กเซเรย์กระดูกสันไขสันหลังของคนไข้ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทก จึงส่งผลทำให้ขยับขาทั้งสองข้างไม่ได้ครับ" ชูฟิลม์เอ็กเซเรย์ขึ้นแล้วชี้ให้ดู
"แล้วจะขยับขาได้เมื่อไหร่ค่ะ" อัมพรเริ่มเป็นกังวล
"หมอขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน เนื่องจากกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บทำให้คนไข้เป็นอัมพาตเดินไม่ได้ครับ แต่ก็ยังมีทางรักษาให้ดีขึ้นครับ"
สุวัตรกับอัมพรได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจกับสิ่งที่หมอบอกไม่คิดเลยว่าพอลูกชายฟื้นขึ้นมาจะต้องมาเป็นอย่างนี้
"แล้วจะรักษายังไงครับหมอ" สุวัตรถามต่อ
"มีสองทางครับคือ ผ่าตัดกับทำกายภาพบำบัด ถ้าผ่าตัดหมอไม่รับรองนะครับว่าคนไข้จะกลับมาเดินได้เหมือนเดิมเพราะมีความเสี่ยงสูง ส่วนการกายภาพบำบัดถ้าคนไข้หมั่นทำเป็นประจำก็จะดีขึ้นเองตามลำดับหรือถ้ามีปฏิหาริย์ก็อาจจะกลับมาเดินได้อีกครั้งครับ"
"แล้วคุณหมอว่าอันไหนดีกว่ากันครับ" สุวัตรถามขอความเห็นของหมอเพื่อคิดและตัดสินใจให้ดีที่สุด
"หมอว่ากายภาพเถอะครับ เพราะคนไข้เคสนี้ยังมีโอกาสกลับมาเดินได้อีก จากที่หมอดูกระดูกสันหลังถือว่าได้รับบาดเจ็บน้อยกว่าเคสอื่นที่หมอเคยรักษามา แต่สิ่งที่สำคัญคือกำลังใจครับ"
"งั้นเราก็คงต้องทำตามที่คุณหมอแนะนำนั้นแหละครับ " สุวัตรถอนหายใจแรงๆ เขาไม่คิดเลยว่าลูกชายคนเดียวของเขาจะเดินไม่ได้อีก
"อย่างที่บอกครับกำลังใจสำคัญที่สุด หมอขอตัวก่อนนะครับต้องไปดูคนไข้ต่อ" ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
พออัมพรกับสุวัตรออกมาจากห้องหมอก็เดินไปหยุดตรงหน้าห้องภาคินกำลังชั่งใจกันอยู่ว่าจะบอกลูกชายกันยังไง กิ่งก็เดินเข้ามาพอดี
"พี่คินเป็นยังไงบ้างคะ พอดีกิ่งติดงานค่ะ เลยมาช้าหน่อย" มองหน้าสุวัตรกับอัมพรด้วยความแปลกใจที่ทั้งคู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"คินเขาปกติทุกอย่างจ้ะ แต่ขาพี่เขา" อัมพรไม่กล้าพูดออกมากลัวกิ่งรับไม่ได้
"ขาพี่คินเป็นอะไรเหรอคะ" ขมวดคิ้วเข้าหากัน
"หนูกิ่งทำใจดีๆนะลูก คือขาพี่เขาขยับไม่ได้ เพราะกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บทำให้เป็นอัมพาต" สุวัตรตัดสินพูดออกไปตรงๆ
"อะไรนะคะ หมายความว่ายังไงกิ่งไม่เข้าใจ" กิ่งถามออกไปด้วยความตกใจ
"คือพี่คินเขาจะเดินไม่ได้อีกแล้วลูก" สุวัตรตอบย้ำออกไป
"กิ่งไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ"น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เธอไม่คิดเลยว่าอุบัติเหตุครั้งนี้มันจะทำให้ภาคินถึงกับเดินไม่ได้อีก
"แม่ไม่คิดเลยว่าคินจะต้องมาเป็นแบบนี้" อัมพรร้องไห้สะอึกสะอื้น
"พ่อยังไม่รู้เลยว่าจะบอกคินเขายังไงพ่อกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้แล้วก็คิดมาก" สุวัตรเอ่ยน้ำตาคลอเบ้า
"กิ่งเสียใจค่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้"ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง
"พ่อว่าเราเข้าไปข้างในห้องกันเถอะ"สุวัตรเอ่ยขึ้น
ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในห้องโดยที่กิ่งเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย มินกับภาคินหันไปมองพร้อมกัน พอภาคินเห็นหน้ากิ่งก็หันหน้าหนีทันที
"คุณพ่อหมอว่ายังไงบ้างค่ะ มินกับพี่คินรอตั้งนาน" มินหันหน้าไปทางภาคินที่นอนอยู่บนเตียง
"พ่อว่าให้ทุกคนออกไปก่อนดีกว่า พ่อขอคุยกับพี่เขาแค่สองคน" สุวัตรเดินเข้าไปยืนข้างเตียง
พอเหลือกันแค่สองคนพ่อลูกอยู่ในห้อง สุวัตรก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา โดยการค่อยๆพูดและอธิบายก่อนเพื่อให้ภาคินได้เตรียมใจ
"คินจะรับได้ไหม ถ้าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม"
"พ่อมีอะไรก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า ผมรับได้ทุกอย่าง"
"คือคุณหมอบอกว่ากระดูกไขสันหลังของลูกได้รับบาดเจ็บทำให้ขาลูกขยับไม่ได้แล้วก็" ไม่ยอมพูดต่อได้แต่มองหน้าลูกชาย
"แล้วอะไรครับ บอกมาเถอะ" ภาคินเริ่มหงุดหงิด
"ลูกจะเดินไม่ได้อีก แต่ลูกไม่ต้องกลัวยังมีทางรักษาอยู่ ลูกอาจจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิมอีก" ตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
ภาคินได้ยินอย่างนั้นก็กำมือแน่นทั้งสองข้าง น้ำตาคลอเบ้าเหมือนโลกทั้งใบแตกสลายไปต่อหน้า เขาจะเดินไม่ได้อีกแล้วจริงๆใช่ไหม ส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างมองไปที่ขาของตัวเอง
"ไม่จริง ผมยังเดินได้อยู่" ดึงผ้าห่มออกทิ้งลงพื้นข้างเตียงมองขาตัวเองแล้วพยายามขยับ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยสักนิด
สุวัตรเห็นอย่างนั้นจึงออกไปเรียกอัมพรกับมินให้เข้าไปในห้องเพื่อปลอบภาคิน กิ่งก็เข้าไปเหมือนกันได้แต่มองอยู่ห่างๆ อัมพรกับมินเข้าไปกอดปลอบภาคินไว้และให้กำลังใจ
"ลูกต้องเข้มแข็งไว้นะ ลูกจะต้องหายได้ยินไหม" อัมพรพูดปลอบภาคิน
"มินจะเป็นกำลังใจให้พี่นะ มินเชื่อว่าพี่จะต้องทำได้" มินเพิ่งจะรู้ว่าพี่ชายตัวเองจะเดินไม่ได้อีก ก็ตอนที่ออกไปข้างนอกห้องเพราะแม่ตัวเองเป็นคนบอก
"ผมไม่อยากจะเป็นภาระให้ใคร ผมน่าจะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว" ถ้าเขาตายไปก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้ จากคนที่เดินได้ปกติ ต้องมากลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้เหมือนคนอื่น
"อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก ไม่ว่าคินจะเป็นอย่างไงพ่อกับแม่และน้องก็ยังรักลูกเหมือนเดิม ยังดีกว่าที่พวกเราเสียลูกไปไม่มีวันกลับมาจริงไหม" สุวัตรเดินเข้าไปสวมกอดลูกชายไว้แน่น
ภาคินเอาแต่ร้องไห้ไม่โต้ตอบใดๆ ส่วนกิ่งได้แต่มองดูทั้งน้ำตา อยากจะเข้าไปปลอบภาคินก็เหมือนจะไปซ้ำเติมให้เสียใจมากกว่าเดิม เธอเลยตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้อง
สักพักมินก็ออกมาจากห้องทั้งน้ำตา เจอกิ่งนั่งอยู่ตรงหน้าห้อง มินก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ อัมพรกับสุวัตรก็เดินตามหลังมินออกมาเช่นกัน
"อ้าวหนูกิ่งเข้าไปหาพี่เขาสิ ไปให้กำลังใจพี่เขาหน่อย หนูลืมไปแล้วเหรอว่าหนูเป็นคนรักของพี่คิน" อัมพรเอ่ยขึ้น
"ค่ะ" กิ่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับเช็ดน้ำตาทิ้งเดินเข้าไปข้างในห้อง
ภาคินนอนอยู่บนเตียงปล่อยน้ำตาไหลย้อยลงมาข้างแก้ม กิ่งเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆเตียง ภาคินหันหน้าไปมองตามเสียงเท้าที่เดินเข้ามา
"มาทำไมจะมาสมเพชพี่ใช่ไหม"
"ไม่ใช่นะคะ กิ่งขอโทษ กิ่งอยากให้พี่เข้มแข็ง กิ่งเชื่อว่าพี่จะผ่านมันไปได้ กิ่งจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ"
"ถ้าไม่รักก็ไม่ต้องมาสนใจ พี่จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ต้องมาสนใจ" เบือนหน้าไปทางอื่น
"พี่คินกิ่งขอโทษ" น้ำตาไหลอาบแก้ม
"ออกไป! แล้วไม่ต้องกลับมาอีก"ตวาดใส่กิ่ง
"ไว้กิ่งจะมาเยี่ยมใหม่ก็แล้วกัน" กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป แต่ภาคินเรียกไว้ก่อน
"เดี๋ยวก่อน เรื่องถอนหมั้นพี่จะบอกพ่อกับแม่พี่เอง ถอนๆไปก็ดี ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะอยู่กับคนพิการ อยู่ไปก็เป็นภาระเสียเปล่าๆ จริงไหม" ยิ้มเย้ยให้กับตัวเองทั้งน้ำตา
"แล้วพี่จะบอกว่ายังไงค่ะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะบอกว่าพี่เป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเอง พอใจหรือยัง"
"ขอบคุณค่ะ ที่พี่เข้าใจ งั้นกิ่งขอตัวกลับก่อนนะคะ" พูดจบก็เดินออกจากห้องไป
ภาคินได้แต่มองตามหลังกิ่งที่เดินลับตาไปพร้อมทั้งน้ำตา เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดจะหักหลังเขาได้ลงคอ กำแน่นด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเขามีสภาพแบบนี้ใครเขาอยากจะอยู่ด้วย ยื่นมือไปคว้าแก้วน้ำตรงหัวเตียงขว้างลงพื้นอย่างแรงเพื่อระบายความอัดอั้น
เพล้ง! แก้วแตกกระจายเต็มพื้นห้อง
"โธ่ เว้ย! ร้องตะโกนระบายออกมาเสียงดัง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับขยี้หัวตัวเองแรงๆ
เสียงแก้วแตกกับเสียงตะโกนของภาคิน ทำให้คนที่อยู่ข้างนอกตกใจรีบวิ่งเข้าไปข้างในห้องทันที
"พี่คินใจเย็นๆ นะคะ " มินเดินเข้าไปกุมมือภาคินไว้ ตาก็มองไปที่พื้นห้องเห็นเศษแก้วแตกกระจายเต็มพื้น
"คินลูกเป็นอะไร ให้แม่ตามหนูกิ่งให้ไหม" ถามออกไปด้วยความห่วงใยเพราะกิ่งเพิ่งจะลากลับไปเมื่อกี้นี้เอง
"เปล่าผมไม่ได้เป็นอะไร ส่วนกิ่งปล่อยเขาไปมีความสุขเถอะครับ"
"ลูกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง" อัมพรถามกลับด้วยความสงสัย
"เราถอนหมั้นกันแล้วครับ ผมขอถอนหมั้นเอง"ตัดสินใจบอกออกไป
"ทำไมล่ะ แม่ไม่เข้าใจก็ลูกรักหนูกิ่งจะตายทำไมอยู่ๆถึงไปขอถอนหมั้นเขา" อัมพรถามด้วยความร้อนใจ
"ไม่มีใครอยากจะอยู่กับคนพิการเดินไม่ได้อย่างผมหรอกครับ ปล่อยเขาไปเถอะ"
"แล้วหนูกิ่งว่ายังไง"สุวัตรถามขึ้น
"ก็ตกลงครับ"
"มินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่สองคนจะเลิกกัน ทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม พี่ถึงไปดื่มเหล้าแล้วขับรถไปชนใช่ไหมคะ" มินหันไปถามภาคิน
"ออกไปให้หมดเลยผมอยากอยู่คนเดียว" พูดจบก็หลับตาลง
ทั้งสามคนจึงจำใจเดินออกมาจากห้องไม่อยากเซ้าซี้ถามภาคินอีก ปล่อยให้อยู่คนเดียวไปก่อน เพราะสภาพจิตใจของภาคินตอนนี้ค่อนข้างจะเปราะบาง ส่วนมินก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าระหว่างพี่ชายตัวเองกับกิ่งมันเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันแน่