ตอนที่ 4 เหนืออินทรี
บรรยากาศตอนเช้าในต่างจังหวัดนั้นแตกต่างจากกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้สีเขียวขจีเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องฟอกอากาศทางธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีได้ดี
“อากาศดีจัง”
ใบหน้าสวยแหงนรับแสงแดดยามเช้า และอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
วันนี้ยี่หวาเลือกชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าของน้องสาวมาสวมใส่ เนื่องจากเสื้อผ้าของเธอนั้น ไม่มีชุดไหนเหมาะสำหรับการไปสอนพิเศษเลย
“กลับมาจะบิดหูให้ขาดเลยคอยดู”
ยี่หวาคาดโทษน้องสาวของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้เนื่องจากเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นมาพร้อมกับน้องสาวของเธอแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะสามารถสอนคนอื่นได้เสียหน่อย แต่ด้วยความรำคาญเสียงโอดครวญของน้องสาวยี่หวาเลยจำเป็นต้องยอมช่วยเหลือในครั้งนี้
“เตรียมไปเท่านี้คงพอมั้ง”
อุปกรณ์การเรียนถูกจัดใส่กระเป๋าอย่างเป็นระเบียบตามคำแนะนำของยาหยี ยี่หวาตรวจเช็กอีกครั้งก่อนจะกดโทรออกหาน้องสาวของเธอเพื่อยืนยันบ้านของเด็กนักเรียนแต่ไม่สามารถติดต่อได้
เมื่อติดต่อไม่ได้ ยี่หวาจึงมาเลื่อนอ่านแชตระหว่างเธอและน้องสาวเพื่อหาชื่อสถานที่ที่ยาหยีเคยส่งไว้ให้
“อันนี้รึเปล่านะ”
ยี่หวาคลิกเข้าไปในโลเคชันที่ยาหยีเคยส่งไว้ให้ซึ่งสถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากบ้านของเธอประมาณครึ่งชั่วโมง และเป็นพื้นที่ติดเขา ไม่ได้อยู่ในเมืองอย่างที่เธอคิด
“คงใช่แหละ”
เมื่อได้จุดหมายที่ต้องไป ยี่หวาจึงรีบเดินไปยังรถตัวเองและไม่ลืมตรวจเช็กประตูบ้านอีกครั้งก่อนออกไป การอยู่ในวงการทำให้เธอกลายเป็นคนขี้ระแวง ไว้ใจคนยาก คอยตรวจเช็กนู่นนี่ตลอดโดยที่เธอเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
——————
สถานการณ์ที่บ้านของอินทรีตอนนี้กำลังวุ่นวายเนื่องจากมีคนบุกมาเอาตัวอนุชา คนร้ายเลือกเวลาที่อินทรีเข้าไปในไร่บุกเข้ามาอีกทั้งพวกมันยังมีพวกเยอะกว่า ลูกน้องของอินทรีที่เฝ้าโกดังอยู่เลยทำให้ฝ่ายอินทรีค่อนข้างเสียเปรียบ
“บอกคนของเราให้กระจายกำลังให้ทั่วไร่ เผื่อพวกมันลอบกัดเหมือนครั้งก่อน”
“ครับคุณอินทรี”
สันกรามคมขบเข้ากันแน่น อินทรีโยนผ้าเช็ดมือทิ้งแล้วตรงไปยังรถจิ๊บของตัวเอง
วันนี้เขาตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูผลผลิตองุ่นสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างดี ทั้งที่ควรเป็นเช้าที่มีความสุขแต่กลับต้องมาอารมณ์เสียเพราะเรื่องแบบนี้เสียดาย
เดาได้ไม่อยากเลยว่าคนที่มาเอาตัวอนุชา ไม่ได้หวังจะมาช่วยแต่อย่างใด แต่หวังมาปิดปากอนุชามากกว่าเพราะถ้าไม่มีอนุชาก็จะไม่มีคนซัดทอดไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังการเผาไร่ของอินทรีในครั้งนี้
กริ๊ง กริ๊ง
อินทรีเหลือบตามองโทรศัพท์ตัวเองเมื่อเห็นชื่อหน้าจอเป็น เฉียง ลูกน้องคนสนิท จึงกดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน
“ว่าไง”
“ผมสั่งคนวางกำลังรอบไร่แล้ว ส่วนอนุชาเรายังไม่เจอตัวเลยครับ”
“แล้วคนของเราเป็นไงบ้าง”
“คนของเราโดนยิงไปสองคนครับ ตอนนี้ส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว”
“อือ อีกสามนาทีกูถึง”
สถานการณ์เหมือนเริ่มจะบานปลาย อินทรีไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเล่นแรงและอุกอาจขนาดนี้ในถิ่นของเขา
“กล้ามากนะ มาถึงถิ่นกู”
ใบหน้าหล่อของอินทรีตอนนี้เต็มไปด้วยความดุดัน เขาตั้งใจจะให้เรื่องนี้จบลงแบบเงียบ ๆ แต่หมาลอบกัดพวกนั้นกลับรนหาที่ตายเอง ฉะนั้นเขาคงต้องทำให้เห็นเสียหน่อยว่าการมาเล่นกับคนอย่างเขานั้นจะเป็นอย่างไร
ทางด้านยี่หวา เธอกำลังขับรถตามเส้นทางในจีพีเอสแต่ยิ่งขับดูเหมือนหนทางจะยิ่งดูแปลกไป แถวนี้ดูเหมือนเป็นไร่ขนาดใหญ่มากกว่าบ้านคนเสียอีก สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี มีรั้วล้อมรอบสวยงาม ความสงบและสวยงามธรรมชาติทำให้หญิงสาวขับรถช้าลง ไม่เร่งรีบเหมือนตอนอยู่เมืองหลวง
“เด็กที่จะมาสอน ไม่ได้เป็นลูกเจ้าของรีสอร์ตหรอกเหรอ”
ยี่หวาเริ่มตั้งคำถามเนื่องจาก เธอยังมองไม่เห็นป้ายรีสอร์ตเลยสักป้าย อีกทั้งทางเข้ายังเหมือนทางเข้าที่เธอกำลังจะเลี้ยวเข้าไปตอนนี้เหมือนสวนผลไม้เสียมากกว่า
GPS : อีกห้าร้อยเมตร เลี้ยวขวาแล้วจุดหมายของคุณจะอยู่ทางขวา
ยี่หวาก้มลงมองจีพีเอสนำทางแล้วบอกกับตัวเอง
“ลองเข้าไปดูก่อนแล้วกัน”
GPS : ถึงจุดหมายแล้ว
จุดหมายตามที่จีพีเอสบอก ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนบ้านคนหรือรีสอร์ตเลยสักนิด ยี่หวามองออกไปนอกกระจกพลางขมวดคิ้ว สถานที่ที่เธอจอดอยู่เป็นลานกว้าง และมีรูปปั้นนกอินทรีตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลางราวกับเป็นอนุสรณ์สถาน
“ใช่ที่นี่ไหมนะ”
เพื่อคลายความข้องใจ ยี่หวาจึงตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป อย่างน้อยหากถามคนแถวนี้อาจจะได้เรื่องมากกว่ารอน้องสาวตัวดีติดต่อกลับก็ได้
ทันทีที่ขาเรียวสวยก้าวลงจากรถ เสียงปืนก็ดังขึ้นติดต่อกันหลายนัด
ปัง ปัง ปัง!
“กรี๊ด” ยี่หวาร้องออกมาด้วยความตกใจ
เรียกความสนใจจากชายชุดดำที่กำลังถือปืนอยู่ ความสวยของเธอโดดเด่นทำให้กลายเป็นจุดสนใจของคนพวกนั้น พวกเขามองตรงมาทางยี่หวาแล้วหันกลับมาถามกัน
“ใครวะ”
“ไม่รู้ครับพี่แต่สวยมากเลยครับ”
“เออกูเห็นแล้ว คนสวยแบบนั้นจะมาทำอะไรในที่แบบนี้วะ”
“อาจจะเป็นผู้หญิงของไอ้อินทรี ไปจับมาดิ”
“จะดีเหรอครับ”
“เออสิวะ มึงอยากโดนยิงตายที่นี่รึไง”
ขณะที่ยี่หวากำลังตกใจ เธอยกมือขึ้นปิดหูแล้วนั่งยองอยู่ด้านข้างรถ พยายามรวบรวมสติแล้วกลับขึ้นไปในรถของตัวเองแต่ไม่ทันที่เธอจะได้ปิดประตูรถ อยู่ ๆ มีชายชุดดำเข้ามากระชากแขนเธอลงจากรถ
“กรี๊ด แกเป็นใคร ปล่อยฉันนะ”
“นิ่ง ๆ ถึงจะสวยแต่กูก็กล้าตบนะเว้ย”
ริมฝีปากสวยเม้มเข้าหากัน ยี่หวาเงยหน้ามองคนที่กำลังลากแขนเธออยู่ด้วยแววตาสั่นเทา ใบหน้าของพวกชายชุดดำถูกปกปิดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีดำครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังมองเห็นว่าพวกมันไม่ใช่คนดี
“ได้มาแล้วพี่ สวยฉิบหาย น่าจะเป็นเมียของไอ้อินทรี”
“มึงตลกรึไง คนอย่างไอ้อินทรีเคยรักใครที่ไหน”
ยี่หวามองชายชุดดำสองคนสลับกันอย่างใช้ความคิด ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แต่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่ควรมีคือสติ
หากเธอพยายามหนีตอนนี้ มีแต่จะทำให้เจ็บตัว ฉะนั้นเธอควรหาโอกาสและค่อยหนีออกไป
ปัง ปัง!
“กรี๊ด” สติของยี่หวาที่พึ่งรวบรวมกลับมาได้หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงปืน
“เราหนีกันก่อนดีไหมพี่”
“ลูกพี่ให้เราถ่วงเวลาไว้ก่อน อย่างน้อยต้องหาตัวไอ้อนุชาให้พบถึงจะไปได้”
“แล้วเราไม่โดนยิงตายก่อนเหรอวะพี่”
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ ก้มลงมองยี่หวาก่อนจะกระชากแขนยี่หวา ลากออกมาแล้วตะโกนเสียงดัง
“ปล่อยพวกกูไป ไม่อย่างนั้นคนสวยนี่ตายแน่”
ลูกน้องของอินทรีต่างหันมองหน้ากันด้วยความงง ไม่เคยมีใครเห็นสาวสวยคนนี้มาก่อน
“ยืนงงทำเหี้ยไร วางปืนดิวะ!!”
ชายชุดดำตะโกนเสียงดังพร้อมทั้งใช้ปืนจ่อศีรษะ ยี่หวา ลูกน้องของอินทรีมองหน้ากันอีกครั้งแต่ไม่ทันได้ตัดสินใจ
เสียงทรงพลังก็ดังขึ้นทางด้านหลัง
“ไม่ต้องวาง”
“คุณอินทรี”
อินทรีเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าลูกน้อง เขามองใบหน้าสวยแล้วจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่กำลังสั่นเทานิ่ง
แววตาของเขานั้นนิ่งเสียจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ยี่หวาเองก็มองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน เธอจำใบหน้าหล่อ รูปร่างกำยำของเขาได้เป็นอย่างดี
“ถ้ามึงกล้า มึงก็ยิงเธอสิ”
_______________