ตอนที่3

1637 Words
ตอนที่ 3 เหนืออินทรี ยี่หวา กลับมายังบ้านของเธอด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดอยู่ หลังจากเธอใช้เวลาเลือกเสื้อสีดำให้กับผู้ชายที่เธอทำกาแฟหกใส่อยู่นั้น คนของเขาก็มาบอกว่า เขาคนนั้นขอกลับไปก่อน แต่ยังคงให้เธอเลือกเสื้อให้เขาอยู่ดีแถมยังไม่ให้จ่ายเงินอีก เพียงแค่ให้เลือกเท่านั้น หญิงสาวไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด สุดท้ายเธอเลยเลือกตัวที่คิดว่าเหมาะกับชายคนนั้น และยืนยันว่าจะจ่ายเงินเองเพราะเธอไม่ชอบติดค้างใคร เรื่องจึงจบตรงที่เธอเป็นคนเลือก และจ่ายเงินค่าเสื้อตัวนั้นอย่างที่ตั้งใจไว้ “เฮ้อ เสื้อบ้าอะไรตั้งเกือบแสน” นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอหงุดหงิด หญิงสาวมองราคาบนใบเสร็จอีกครั้งพลางถอนหายใจออกมา แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีปัญหาด้านการเงินแต่ก็ใช่ว่าเธอจะซื้อเสื้อผ้าแพงขนาดนี้ นี่ขนาดว่าเธอทำงานในวงการบันเทิง เสื้อผ้าที่เธอใส่ยังไม่แพงเท่าเสื้อตัวเดียวของผู้ชายคนนั้นเลย ยิ่งคิดถึงรอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มแล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “หงุดหงิดโว้ย!” ยี่หวาตะโกนออกมา เธอลงไปนอนดิ้นกับโซฟานุ่มเพื่อระบายอารมณ์ คล้ายว่าตอนนี้เธอไม่ได้กำลังหงุดหงิดชายหนุ่มแต่หงุดหงิดตัวเองเสียมากกว่า “บ้าจริง ทำไมหน้าหล่อ ๆ กับรอยยิ้มนั่นไม่หายออกไปนะ” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มหายใจเข้า หายใจออกเพื่อทำสมาธิอีกครั้ง หากมีคนมาเห็นนางพญาแห่งวงการอย่างเธอเสียอาการเพราะผู้ชาย คงเม้าท์กันสนุกเป็นแน่ หากพูดถึงเรื่องผู้ชาย คนภายนอกมองว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่งที่ผู้ชายเข้าถึงได้ยากเพราะเธอไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลย ไม่ว่าจะหล่อ รวยหรือมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ตาม ซึ่งตอนนี้ยี่หวาไม่มีแฟน คนรัก หรือคนคุยอะไรทั้งนั้น แฟนคนล่าสุดของเธอเลิกกันไปเมื่อปีก่อนซึ่งเขาคนนั้นเป็นไฮโซชื่อดัง และเลิกกันเพราะเธอจับได้ว่าผู้ชายมีคนอื่น ตั้งแต่นั้นมายี่หวาจึงไม่ขวนขวายหาความรักอีกเลย ถ้ามีความรักแล้วมันเหนื่อย อยู่คนเดียวเสียดีกว่า ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง เสียงกดกริ่งดังมาจากทางหน้าบ้าน ยี่หวาชะเง้อมองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่มากดกริ่งเป็นใคร บ้านที่เธออยู่ตอนนี้เป็นบ้านของพ่อแม่เธอ ซึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก นานครั้งเธอถึงจะกลับมาที่นี่ คนที่อยู่บ้านหลังนี้จึงเป็นน้องสาวเธอเนื่องจากยาหยีย้ายจากกรุงเทพ กลับมาเปิดโรงเรียนสอนพิเศษอยู่ที่นี่ “วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ” คนที่มากดกริ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นป้าศรี ป้าข้างบ้านซึ่งเธอไม่ได้อัธยาศัยดีเหมือนน้องสาวของเธอสักเท่าไร ฉะนั้นการทักทายป้าข้างบ้านจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับเธอ ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง เสียงกริ่งยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนยี่หวาต้องลุกจากโซฟา แล้วเดินไปหน้าบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ยาหยีกลับมาแล้วเหรอ มีของฝากมาฝากป้าไหมจ๊ะ” “เหอะ ที่แท้ก็มาทวงของฝาก” ยี่หวาพูดกับตัวเองเบา ๆ เธอเดินออกไปยกมือขึ้นไหว้ทักทายป้าสีด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “สวัสดีค่ะ หนูยี่หวาเองค่ะ พอดียาหยียังติดธุระอยู่เลยยังไม่ได้กลับมาค่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้น ป้าศรียิ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วสำรวจใบหน้าของยี่หวาจนยี่หวาต้องเบือนหน้าไปอีกทาง “หนูยี่หวาจริง ๆ ด้วย แย่จัง ทำไมป้าแยกไม่ออกนะ” “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าป้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวนะคะ” พรึบ ยี่หวากำลังจะหันหลังเข้าบ้านแต่ป้าศรีกลับแทรกตัวเข้ามาด้านในอย่างถือวิสาสะ ป้าศรีหันมายิ้มแล้วพูดด้วยท่าทางเป็นกันเอง “ป้าขอยืมน้ำมันหน่อยนะ” “น้ำมัน?” “ใช่ ๆ น้ำมันอะไรน้า วันก่อนยาหยีให้ยืม เดี๋ยวป้าเข้าไปดูเอง หนูยี่หวาจะได้ไม่ต้องลำบาก” พูดจบ ป้าศรีก็เดินเข้าบ้านไป ยี่หวามองตามหลังพลางถอนหายใจออกมา “เฮ้อ มารยาทอยู่ไหนหมดนะ” ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ยี่หวาจึงทำได้แค่เดินตามป้าศรีเข้าไปในบ้านของตัวเธอเอง ป้าศรีกวาดตามองชั้นวางของในครัวอยู่ครู่หนึ่ง “อันนั้นไง ป้าขอยืมนะจ๊ะ ครั้งก่อนที่ยืมไปใช้ ฮ้อมหอม อาหารก็อร่อยมากด้วย” น้ำมันที่ป้าศรีว่าคือน้ำมันมะกอกแบรนด์ดัง ยี่หวาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น เธอคิดว่าป้าศรีจะกลับบ้านตัวเองไปหลังจากได้ของที่ต้องการแต่เธอคิดผิดเพราะป้าศรีกลับนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปรอบบ้าน สายตาสอดรู้สอดเห็น ยี่หวาพยายามกัดฟัน และบอกกับตัวเองไม่ให้แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “คือจริง ๆ ป้าไม่ได้อยากถามหรอกนะ” หากขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอยากถามแน่นอน “ค่ะ” ยี่หวาตอบรับสั้น ๆ “ป้าเห็นข่าวเราวีน รุ่นน้องในงานเลี้ยง มันคือการสร้างเรตติ้งอะไรแบบนี้รึเปล่า” ยี่หวาแค่นหัวเราะ เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ต้องการแก้ตัวหรือร้อนตัวใด ๆ “เปล่าค่ะ เป็นเรื่องจริง” “อ๋อ อย่างนั้นเหรอ” “ค่ะ พอดีเรามีปัญหากันมาก่อนอยู่แล้ว” คำตอบตรง ๆ ของยี่หวาทำให้ป้าศรีถึงกับไปต่อไม่เป็น ไม่คิดว่าหญิงสาวจะยอมรับออกมาแบบนี้แต่ถึงอย่างนั้น ป้าศรีก็ไม่วายถามต่อด้วยความอยากรู้อีก “แล้วนี่หนูกลับบ้านมา เอ่อ…” “หนูโดนพักงานค่ะ เลยกลับบ้านมาพักผ่อน” ยี่หวาเป็นคนตรง ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว หากมีคนกล้าถามเธอ เธอก็พร้อมจะตอบความจริงเสมอเพราะเธอเกลียดการโกหกเสแสร้ง แกล้งทำเป็นที่สุด และนี่เลยเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนไม่ชอบเธอเยอะโดยเฉพาะพวกที่อิจฉาเธอ “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นป้าไม่กวนแล้วดีกว่าเนอะ” ป้าศรียิ้มเจื่อน ไม่กล้าถามอะไรต่อ ป้าศรีพอจะรู้ว่ายี่หวาและยาหยีนั้นมีนิสัยค่อนข้างแตกต่างกัน ยี่หวาเหมือนไม้แข็งที่พร้อมจะตีลงบนหัวตลอดเวลาหากไม่พอใจเหมือนพ่อของเธอ แต่ยาหยีนั้นเหมือนไม้อ่อน ที่ทั้งอ่อนน้อม และใจดีเหมือนแม่ “ค่ะ หนูขอไม่เดินไปส่งนะคะ” —————— ผลัวะ ผลัวะ อินทรีนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ มองไปยังร่างของอนุชาที่กำลังโดนลูกน้องของเขาซ้อมอยู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง “พอ” ลูกน้องของอินทรีถอยออกห่างจากตัวอนุชาตามคำสั่ง ก่อนจะหลีกทางให้อินทรีเดินเข้าไป อินทรีเข้าไปย่อตัวลงมองหน้าอนุชาแล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “มึงกล้าเผาไร่กูเพราะเศษเงินอย่างนั้นเหรอวะ!?” อนุชาตัวสั่นเทา พยายามยกมือขึ้นไหว้ อนุชารู้ดีว่าตัวเองนั้นทำผิดแต่ตอนนั้นความโลภมันบังตา อนุชาเลยตัดสินใจทำงานให้คู่อริของอินทรี และคิดว่าถ้าได้เงินก้อนใหญ่จะหนีออกไปใช้ชีวิตสุขสบายที่อื่น “ผมขอโทษครับคุณอินทรี ฮึก อย่าทำอะไรผมเลย” อินทรีปรายตามอง ลูกน้องเก่าที่กำลังกอดขาเขาอยู่ แล้วเตะออกก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างไม่ไยดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักลูกน้องแต่ลูกน้องที่คิดคดทรยศก็ไม่ควรเก็บไว้ “พรุ่งนี้จัดการจับมันส่งตำรวจ” ศาลเตี้ย ไม่ใช่ทางของอินทรี ถึงแม้ว่าเขาจะมีอำนาจ และเงินทองมากมายแต่เรื่องตัดสินความถูก ผิด เขาก็ไม่เคยก้าวล่วงกฎหมาย หากไม่จำเป็น “ครับคุณอินทรี” อันที่จริง อินทรีรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังของการเผาไร่ครั้งนี้ แต่เขายังไม่มีเวลาไปเล่นเรื่องไร้สาระกับคนพวกนั้นด้วยตัวเองจึงจะใช้กฎหมายจัดการโดยจะใช้อนุชาเป็นคนซัดทอดคนพวกนั้นเอง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาของเด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่งเท่านั้น เปลืองเวลาหากมัวแต่ไปใส่ใจ อินทรีขับรถกลับมายังบ้านของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโกดังมากซึ่งทั้งบ้านและโกดังล้วนอยู่ในพื้นที่ของไร่เขาทั้งสิ้น ไร่ของอินทรีนั้นเป็นไร่ขนาดใหญ่ แต่ถูกสร้างเป็นสัดส่วนชัดเจน อย่างบ้านของเขาถูกสร้าง แยกห่างจากส่วนอื่น ๆ พอสมควรเพราะอินทรีชอบความสงบ และความเป็นส่วนตัว “คุณอินทรีครับ เสื้อที่นายหญิงซื้อให้ ผมวางไว้ในห้องแล้วนะครับ” เฉียงเข้ามารายงาน เมื่ออินทรีเดินเข้ามาในบ้าน “นายผู้หญิง?” อินทรีเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น จนคนสนิทอย่างเฉียงต้องรีบแก้คำ “เอ่อ ผมหมายถึงผู้หญิงที่ทำกาแฟหกใส่เสื้อคุณอินทรีวันนี้ครับ” “หึ เรียกนายหญิงนั่นแหละ เข้ากับเธอดีว่าไหม?” รอยยิ้มบนใบหน้าของอินทรีทำให้เฉียงยิ้มตาม นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเจ้านาย คงตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปกระมัง ——————-
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD