เธอรอให้รถของเขาเคลื่อนออกไปก่อนแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับไปไหน มือเรียวจับพวงมาลัยรถแน่นนึกแปลกใจที่เขายังไม่ไปตามทางของตัวเองเสียที ในนาทีถัดมาร่างสูงก็ลงมาจากรถเดินตรงมาทางเธอยิหวารีบกดปุ่มล็อกประตูรถทันที
“รถมีปัญหาหรือครับ”
“เอ๋?” ดวงตากลมโตกะพริบทำตาปริบๆ ก่อนจะไขกระจกรถลง “คุณว่าอะไรนะคะ
“ก็ไม่เห็นคุณขับรถออกไปนึกว่ารถเสีย” เขายิ้มที่มุมปาก เท้าแขนกับกรอบประตูรถ
“คุณไม่ไปฉันจะไปได้ไง”
“คุณจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้เหรอ” เขาหัวเราะในลำคอ “อยากให้ผมขับรถไปส่งคุณไหมคุณเจออะไรมาเยอะจะได้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง”
“ฉันคิดว่าการขับรถกลับบ้านด้วยตัวเองโดยไม่รู้สึกว่ามีใครขับรถตามหลังอยู่นั้นดีกว่าเป็นไหนๆ”
“นี่เป็นความผิดผมเหรอครับผมแค่เป็นห่วงและจะขับรถตามไปส่งคุณที่บ้านเฉยๆ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยจริงๆ” เขาแสร้งทำหน้าเหรอหรา “คุณคงไม่คิดว่าผมตามจีบคุณหรอกใช่ไหม”
ยิหวารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเพียงคำพูดไม่กี่คำของเขา “ฉะ...ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเหมือนกันแหละ”
“คุณคงไม่ค่อยคิดกับอะไรทุกเรื่องนั้นแหละ” เขาแสร้งถอนหายใจและทำน้ำเสียงตำหนิเธอ
“หมายความว่าไง” ยิหวาอดขึ้นเสียงไม่ได้ “คุณนั้นแหละที่ไม่คิดเรื่องอื่นเลย น่าจะไปแจ้งความจับพวกชั่วนั้น”
“ความคิดของคุณก็ถูก” เขาพยักหน้ายอมรับ “แต่มีใครทะเล่อทะล่าเข้าไปทั้งที่ไม่มีปัญญาสู้ใครได้อย่างคุณเหรอ แล้วถ้าผมมาไม่ทันจะทำไง คุณก็กลายเป็นของหวานแสนโอชะให้พวกมันด้วยใช่ไหม”
ยิหวาเถียงไม่ออก เธอลืมคิดไปเสียสนิทว่าถ้าไม่มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เข้ามาช่วยได้พอดีจะเป็นอย่างไร ในตรอกมืดๆ แบบนั้นใครรู้เห็นอาชญากรรมเลวร้ายนั่น
“ผมรู้ว่าคุณเก่งแต่อย่าทำแบบนี้อีก มันคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้งไปหรอกนะ” เขายืดตัวเต็มความสูงถอยห่างจากรถของยิหวา “คุณกลับเถอะ รับรองว่าผมไม่ใช่พวกโรคจิตที่จะขับรถตามไปก่อกวนคุณที่บ้านหรอก”
ชายหนุ่มขยับตัวออกห่างให้รถเต่าสีเขียวอ่อนเคลื่อนออกไปได้ ยิหวาขับรถมาอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านของตัวเอง ปลายรุ้งยังนั่งรออยู่ด้วยความเป็นห่วงในขณะที่มารดาของเธอเข้านอนไปแล้ว
“ปลายเป็นห่วงหวาแทบแย่ นี่ให้คุณแม่กินยาแล้วก็เข้านอนไปก่อน”
“ขอโทษทีมันมีเรื่องวุ่นวายหลายชั้น” ยิหวาวางกุญแจรถบนหลังตู้เย็นแล้วอดมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้ ไม่มีเงารถสปอร์ตสีดำคันนั้นขับตามมาอย่างที่เขาพูดจริงๆ
“เล่ามาให้หมดไส้หมดพุงเลยยัยหวา ถ้าไม่เล่าคืนนี้ไม่ต้องนอนกันเลย”
“เล่าก็ได้แต่ห้ามเอาไปเขียนนิยายของปลายนะ” ยิหวาแสร้งทำเป็นยิ้มทะเล้นแต่เพื่อนสาวหยิกที่แขนเข้าให้โทษฐานที่ทำให้หมั่นไส้เกินเหตุ “เล่าแล้วๆ นับวันยิ่งเหมือนคุณช่อแก้วเข้าไปทุกที”
“ไม่ต้องมาเฉไฉไปเรื่องอื่นเลย” ปลายรุ้งเห็นสายตาของเพื่อนมองออกไปที่นอกหน้าต่างก็เลยมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร “มีอะไรหรือเปล่า มีคนบ้ากามตามหวามาหรอ”
“ไม่มีไรหรอกจ๊ะ”
ยิหวาไม่อยากให้เพื่อนรักเป็นกังวลเกินเหตุแต่ก็อดคิดถึงชายหนุ่มร่างสูงเมื่อครู่ไม่ได้ ถ้าเขาเป็นคนเดียวกับที่เธอเคยเจอเมื่อสามปีก่อน ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่เธอก็จดจำอะไรไม่ได้มากนักมันเหมือนภาพฝันเบลอๆ ที่เธอก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว แต่ดวงตาสีแดงที่เปล่งประดายองเขาทำให้อดคิดไม่ได้ว่านั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของแสงไฟหรือเธอคิดไปเอง หรือว่า...มันเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าวันนี้ไม่มีเขาเธอก็แย่แน่ๆเหมือนกัน
“โอ๊ยตายแล้ว!”
“เป็นอะไรไปยัยหวา” ปลายรุ้งสะดุ้งกับท่าทางตกใจของยิหวา
“ฉันลืมขอบคุณ ‘เขา’ เสียสนิทเลยชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถามด้วย”
“เขาเหรอ...นี่ออกจากบ้านกลางดึกแล้วมาเกือบเช้าเพราะไปหาผู้ชายเหรอ” ปลายรุ้งยกมือปิดปากตัวเอง
“ไม่ใช่แบบนั้น” ยิหวาเกาหัวตัวเองแกรกๆ สงสัยต้องเล่าให้ครบทุกฉากทุกตอนไม่อย่างนั้นกลายเป็นนิยายเรื่องใหม่ของปลายรุ้งไปแน่ๆ
“ไปเล่าบนห้องนอนเถอะ หวาง่วงแล้ว” ยิหวาดึงแขนปลายรุ้งให้เดินตามขึ้นมาที่ห้องนอนของเธอแต่ก็อดมองเลยข้ามรั้วไปหน้าบ้านไม่ได้
เมื่อเห็นไฟในบ้านปิดเรียบร้อยแล้วร่างสูงใหญ่ที่แฝงตัวในเงาของต้นไม้หน้าบ้านก็โผล่ออกมา เขาไม่ได้กลับมายืนตรงนี้ราวสามปีแล้ว แม้จะมีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาแต่ความรู้สึกบางอย่างยังอบอวลอยู่ในใจ เขาสูดอากาศที่มีกลิ่นกายของหญิงสาวเข้าเต็มปอดก่อนกระโดดข้ามรั้วแล้วเดินช้าๆ มาที่รถซึ่งจอดหลบอยู่อีกซอยหนึ่ง
ฌานหัวเราะในลำคออย่างที่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้ รถสปอร์ตคันหรูที่ดูไม่เข้ากับเจ้าของซึ่งใครๆ มองว่าเป็น ดร.เพี้ยน แต่ทว่าตอนนี้ผู้ที่บังคับรถกลับชายหน้าใบหน้าคมเข้มแบบอังกฤษ ใบหน้าที่เคร่งขรึมตลอดเวลามีรอยยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก ฌานหัวเราะในลำคอขณะที่เพลงบูลส์บรรเลงจากเครื่องเสียงชั้นเลิศในรถ
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็แสงอาทิตย์จะฉาบทั่วท้องฟ้า หากเป็นเมื่อสามปีที่แล้วเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในแสงตะวันได้เลยแม้แต่น้อย มันคงเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติไม่มีใครครอบครองทุกอย่างได้โดยไม่สูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาได้ชีวิตเป็น ‘อมตะ’ เมื่อราว ๆ ร้อยปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเขาเพิ่งฉลองวันเกิดปีที่สามสิบสามของตัวเองได้ไม่กี่วัน เขาเป็นตำรวจหนุ่มฝีมือดีในลอนดอนเป็นยุคที่มีข่าวหนาหูเรื่อง ‘แวมไพร์’ แต่เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยจนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งที่เขาไล่ล่าผู้ต้องหาคดีฆ่านักการเมืองท่านหนึ่งบนถนนเส้นที่มืดมิด ฌานพลัดหลงเข้าไปในวงล้อมการต่อสู้คนของกลุ่มหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาถูกยิงและนอนจ่มกองเลือดรอความตามมาเยือน แต่หญิงสาวสวยแสนเย้ายวนกลับปรากฏตรงหน้าพร้อมยื่นข้อเสนอให้
‘เจ้ายังปรารถนาจะมีชีวิตต่อหรือไม่’
‘ผมยังไม่อยากตาย’
‘ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายได้’ เธอหัวเราะเสียงใส ‘แต่หากเจ้าก้าวพ้นความตายได้ เจ้าจะเป็นอมตะ’
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปจอดในคอนโดเรียบร้อยแล้วเขาก็ก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทีเหนื่อยๆ ผิดกับเมื่อครู่ที่ยังหัวเราะในลำคอเบาๆ ฌานรู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตของตนเองได้อีกแล้ว เขาใช้เวลานานนับปีกว่าจะยอมรับว่าเลือดในกายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว การยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับปัญหาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด พลังวิเศษที่เขามีทำให้เขาพาตัวเองมาที่ห้องของดร.อธิปัตย์ได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อผลักบ้านประตู้เข้าห้องแล้วส่ายหน้าไปมา แม้จะไม่ได้เปิดไฟแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความ ‘รก’ ในห้องๆ นี้
“คนเป็นดร.นี่เป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ” เขาเดินสะดุ้งกล่องนมที่หล่นพื้น มือใหญ่ก้มลงเก็บเศษขยะที่เดาได้ว่าดร.คงโยนมันใส่ถังขยะแต่พลาดเป้า เขาส่ายหน้าแล้วใช้พลังจิตจับมันใส่ถังขยะเสื้อผ้าใส่แล้วพาดอยู่ที่โซฟา หนังสือกองมหึมาล้นจากชั้นหนังสือจนต้องวางกับพื้น ไม่ต้องไปยุ่งกับโต๊ะทำงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์วางอยู่เลยด้วยซ้ำเพราะมันมีเอกสารอะไรไม่รู้มากมายวางไว้
“เนี่ยนะ...คนได้ปริญญาเอกสามใบ” ฌานพึมพำเปิดตู้เย็นเห็นมีเพียงนมสดรสสตอเบอรี่ ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เลยสักนิด เขาหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแล้วเดินมาที่ระเบียงเพียงเลื่อนประตูกระจกออกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของห้องไม่ได้เดินมาจุดนี้นานพอสมควร ห้องพักบนสิบสี่ทำให้เห็นกรุงเทพได้ค่อนข้างทั่ว เขาตบเก้าอี้เอนหลังไล่ฝุ่นก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดเท้าบนโต๊ะตัวเล็กใกล้ๆ
“รู้งี้ซื้อเบียร์เข้ามาด้วยก็ดี” เขาบนแล้วหยิบแว่นสีชามาสวม หลับตาลงอีกครั้งปล่อยให้สมองได้คิดถึงใบหน้าหวานที่ไม่ยอมใครง่ายๆ เมื่อครู่
ไม่บ่อยนักที่เขาจะยิ้ม ยิ้มจากความรู้สึกภายใน