ตอนที่7. เล่ามาให้หมด

1603 Words
เธอรอให้รถของเขาเคลื่อนออกไปก่อนแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับไปไหน     มือเรียวจับพวงมาลัยรถแน่นนึกแปลกใจที่เขายังไม่ไปตามทางของตัวเองเสียที      ในนาทีถัดมาร่างสูงก็ลงมาจากรถเดินตรงมาทางเธอยิหวารีบกดปุ่มล็อกประตูรถทันที      “รถมีปัญหาหรือครับ”      “เอ๋?”     ดวงตากลมโตกะพริบทำตาปริบๆ ก่อนจะไขกระจกรถลง “คุณว่าอะไรนะคะ      “ก็ไม่เห็นคุณขับรถออกไปนึกว่ารถเสีย”     เขายิ้มที่มุมปาก เท้าแขนกับกรอบประตูรถ      “คุณไม่ไปฉันจะไปได้ไง”    “คุณจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้เหรอ”  เขาหัวเราะในลำคอ “อยากให้ผมขับรถไปส่งคุณไหมคุณเจออะไรมาเยอะจะได้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง”    “ฉันคิดว่าการขับรถกลับบ้านด้วยตัวเองโดยไม่รู้สึกว่ามีใครขับรถตามหลังอยู่นั้นดีกว่าเป็นไหนๆ”       “นี่เป็นความผิดผมเหรอครับผมแค่เป็นห่วงและจะขับรถตามไปส่งคุณที่บ้านเฉยๆ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยจริงๆ” เขาแสร้งทำหน้าเหรอหรา “คุณคงไม่คิดว่าผมตามจีบคุณหรอกใช่ไหม”    ยิหวารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเพียงคำพูดไม่กี่คำของเขา  “ฉะ...ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเหมือนกันแหละ”   “คุณคงไม่ค่อยคิดกับอะไรทุกเรื่องนั้นแหละ”    เขาแสร้งถอนหายใจและทำน้ำเสียงตำหนิเธอ   “หมายความว่าไง”   ยิหวาอดขึ้นเสียงไม่ได้ “คุณนั้นแหละที่ไม่คิดเรื่องอื่นเลย      น่าจะไปแจ้งความจับพวกชั่วนั้น”    “ความคิดของคุณก็ถูก”     เขาพยักหน้ายอมรับ “แต่มีใครทะเล่อทะล่าเข้าไปทั้งที่ไม่มีปัญญาสู้ใครได้อย่างคุณเหรอ     แล้วถ้าผมมาไม่ทันจะทำไง คุณก็กลายเป็นของหวานแสนโอชะให้พวกมันด้วยใช่ไหม”       ยิหวาเถียงไม่ออก   เธอลืมคิดไปเสียสนิทว่าถ้าไม่มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เข้ามาช่วยได้พอดีจะเป็นอย่างไร   ในตรอกมืดๆ แบบนั้นใครรู้เห็นอาชญากรรมเลวร้ายนั่น          “ผมรู้ว่าคุณเก่งแต่อย่าทำแบบนี้อีก  มันคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้งไปหรอกนะ”  เขายืดตัวเต็มความสูงถอยห่างจากรถของยิหวา “คุณกลับเถอะ รับรองว่าผมไม่ใช่พวกโรคจิตที่จะขับรถตามไปก่อกวนคุณที่บ้านหรอก”    ชายหนุ่มขยับตัวออกห่างให้รถเต่าสีเขียวอ่อนเคลื่อนออกไปได้          ยิหวาขับรถมาอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านของตัวเอง      ปลายรุ้งยังนั่งรออยู่ด้วยความเป็นห่วงในขณะที่มารดาของเธอเข้านอนไปแล้ว        “ปลายเป็นห่วงหวาแทบแย่ นี่ให้คุณแม่กินยาแล้วก็เข้านอนไปก่อน”     “ขอโทษทีมันมีเรื่องวุ่นวายหลายชั้น”    ยิหวาวางกุญแจรถบนหลังตู้เย็นแล้วอดมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้    ไม่มีเงารถสปอร์ตสีดำคันนั้นขับตามมาอย่างที่เขาพูดจริงๆ    “เล่ามาให้หมดไส้หมดพุงเลยยัยหวา ถ้าไม่เล่าคืนนี้ไม่ต้องนอนกันเลย”   “เล่าก็ได้แต่ห้ามเอาไปเขียนนิยายของปลายนะ”       ยิหวาแสร้งทำเป็นยิ้มทะเล้นแต่เพื่อนสาวหยิกที่แขนเข้าให้โทษฐานที่ทำให้หมั่นไส้เกินเหตุ “เล่าแล้วๆ นับวันยิ่งเหมือนคุณช่อแก้วเข้าไปทุกที”  “ไม่ต้องมาเฉไฉไปเรื่องอื่นเลย”     ปลายรุ้งเห็นสายตาของเพื่อนมองออกไปที่นอกหน้าต่างก็เลยมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร “มีอะไรหรือเปล่า มีคนบ้ากามตามหวามาหรอ”   “ไม่มีไรหรอกจ๊ะ”           ยิหวาไม่อยากให้เพื่อนรักเป็นกังวลเกินเหตุแต่ก็อดคิดถึงชายหนุ่มร่างสูงเมื่อครู่ไม่ได้    ถ้าเขาเป็นคนเดียวกับที่เธอเคยเจอเมื่อสามปีก่อน      ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย      แต่เธอก็จดจำอะไรไม่ได้มากนักมันเหมือนภาพฝันเบลอๆ ที่เธอก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว     แต่ดวงตาสีแดงที่เปล่งประดายองเขาทำให้อดคิดไม่ได้ว่านั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของแสงไฟหรือเธอคิดไปเอง        หรือว่า...มันเป็นเรื่องจริง  แต่ถ้าวันนี้ไม่มีเขาเธอก็แย่แน่ๆเหมือนกัน “โอ๊ยตายแล้ว!” “เป็นอะไรไปยัยหวา”       ปลายรุ้งสะดุ้งกับท่าทางตกใจของยิหวา “ฉันลืมขอบคุณ ‘เขา’ เสียสนิทเลยชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถามด้วย”     “เขาเหรอ...นี่ออกจากบ้านกลางดึกแล้วมาเกือบเช้าเพราะไปหาผู้ชายเหรอ”   ปลายรุ้งยกมือปิดปากตัวเอง “ไม่ใช่แบบนั้น”  ยิหวาเกาหัวตัวเองแกรกๆ สงสัยต้องเล่าให้ครบทุกฉากทุกตอนไม่อย่างนั้นกลายเป็นนิยายเรื่องใหม่ของปลายรุ้งไปแน่ๆ  “ไปเล่าบนห้องนอนเถอะ หวาง่วงแล้ว” ยิหวาดึงแขนปลายรุ้งให้เดินตามขึ้นมาที่ห้องนอนของเธอแต่ก็อดมองเลยข้ามรั้วไปหน้าบ้านไม่ได้        เมื่อเห็นไฟในบ้านปิดเรียบร้อยแล้วร่างสูงใหญ่ที่แฝงตัวในเงาของต้นไม้หน้าบ้านก็โผล่ออกมา เขาไม่ได้กลับมายืนตรงนี้ราวสามปีแล้ว   แม้จะมีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาแต่ความรู้สึกบางอย่างยังอบอวลอยู่ในใจ  เขาสูดอากาศที่มีกลิ่นกายของหญิงสาวเข้าเต็มปอดก่อนกระโดดข้ามรั้วแล้วเดินช้าๆ มาที่รถซึ่งจอดหลบอยู่อีกซอยหนึ่ง ฌานหัวเราะในลำคออย่างที่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้    รถสปอร์ตคันหรูที่ดูไม่เข้ากับเจ้าของซึ่งใครๆ มองว่าเป็น ดร.เพี้ยน        แต่ทว่าตอนนี้ผู้ที่บังคับรถกลับชายหน้าใบหน้าคมเข้มแบบอังกฤษ ใบหน้าที่เคร่งขรึมตลอดเวลามีรอยยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก    ฌานหัวเราะในลำคอขณะที่เพลงบูลส์บรรเลงจากเครื่องเสียงชั้นเลิศในรถ                    อีกไม่กี่ชั่วโมงก็แสงอาทิตย์จะฉาบทั่วท้องฟ้า     หากเป็นเมื่อสามปีที่แล้วเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในแสงตะวันได้เลยแม้แต่น้อย     มันคงเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติไม่มีใครครอบครองทุกอย่างได้โดยไม่สูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่ง    เขาได้ชีวิตเป็น ‘อมตะ’ เมื่อราว ๆ ร้อยปีที่ผ่านมา  ตอนนั้นเขาเพิ่งฉลองวันเกิดปีที่สามสิบสามของตัวเองได้ไม่กี่วัน        เขาเป็นตำรวจหนุ่มฝีมือดีในลอนดอนเป็นยุคที่มีข่าวหนาหูเรื่อง ‘แวมไพร์’ แต่เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยจนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งที่เขาไล่ล่าผู้ต้องหาคดีฆ่านักการเมืองท่านหนึ่งบนถนนเส้นที่มืดมิด      ฌานพลัดหลงเข้าไปในวงล้อมการต่อสู้คนของกลุ่มหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ     เขาถูกยิงและนอนจ่มกองเลือดรอความตามมาเยือน   แต่หญิงสาวสวยแสนเย้ายวนกลับปรากฏตรงหน้าพร้อมยื่นข้อเสนอให้              ‘เจ้ายังปรารถนาจะมีชีวิตต่อหรือไม่’             ‘ผมยังไม่อยากตาย’             ‘ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายได้’ เธอหัวเราะเสียงใส ‘แต่หากเจ้าก้าวพ้นความตายได้ เจ้าจะเป็นอมตะ’                 ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่      เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปจอดในคอนโดเรียบร้อยแล้วเขาก็ก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทีเหนื่อยๆ ผิดกับเมื่อครู่ที่ยังหัวเราะในลำคอเบาๆ ฌานรู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตของตนเองได้อีกแล้ว       เขาใช้เวลานานนับปีกว่าจะยอมรับว่าเลือดในกายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว       การยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับปัญหาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด     พลังวิเศษที่เขามีทำให้เขาพาตัวเองมาที่ห้องของดร.อธิปัตย์ได้ไม่ยากนัก     ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อผลักบ้านประตู้เข้าห้องแล้วส่ายหน้าไปมา    แม้จะไม่ได้เปิดไฟแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความ ‘รก’ ในห้องๆ นี้                       “คนเป็นดร.นี่เป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ”    เขาเดินสะดุ้งกล่องนมที่หล่นพื้น   มือใหญ่ก้มลงเก็บเศษขยะที่เดาได้ว่าดร.คงโยนมันใส่ถังขยะแต่พลาดเป้า    เขาส่ายหน้าแล้วใช้พลังจิตจับมันใส่ถังขยะเสื้อผ้าใส่แล้วพาดอยู่ที่โซฟา            หนังสือกองมหึมาล้นจากชั้นหนังสือจนต้องวางกับพื้น   ไม่ต้องไปยุ่งกับโต๊ะทำงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์วางอยู่เลยด้วยซ้ำเพราะมันมีเอกสารอะไรไม่รู้มากมายวางไว้                       “เนี่ยนะ...คนได้ปริญญาเอกสามใบ”    ฌานพึมพำเปิดตู้เย็นเห็นมีเพียงนมสดรสสตอเบอรี่ ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เลยสักนิด    เขาหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแล้วเดินมาที่ระเบียงเพียงเลื่อนประตูกระจกออกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของห้องไม่ได้เดินมาจุดนี้นานพอสมควร     ห้องพักบนสิบสี่ทำให้เห็นกรุงเทพได้ค่อนข้างทั่ว     เขาตบเก้าอี้เอนหลังไล่ฝุ่นก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดเท้าบนโต๊ะตัวเล็กใกล้ๆ             “รู้งี้ซื้อเบียร์เข้ามาด้วยก็ดี”     เขาบนแล้วหยิบแว่นสีชามาสวม    หลับตาลงอีกครั้งปล่อยให้สมองได้คิดถึงใบหน้าหวานที่ไม่ยอมใครง่ายๆ เมื่อครู่             ไม่บ่อยนักที่เขาจะยิ้ม       ยิ้มจากความรู้สึกภายใน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD