ตอนที่8. ก่อนเริ่มเรื่องราว

1922 Words
ดร.อธิปัตย์เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อกระดาษออกมาจากเครื่องปริ๊ตเรียบร้อย  มือหนาก็หยิบออกมาอ่านดูอีกครั้งก่อนใช้ดินสอวงกลมจุดสำคัญไว้แล้วพับใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต            “อยู่จนเช้าอีกแล้ว”  ดร.หนุ่มวัยสี่สิบห้าบ่นอุบอิบแล้วลุกขึ้นยืน “โชคดีวันนี้ไม่มีสอน ไม่งั้นไม่ได้อาบน้ำอีกแหงๆ”    ชายหนุ่มผมสีดอกเลาหยิบหูโทรศัพท์ต่อสายถึง รปภ.อย่างคุ้นเคย “เรียกรถแท็กซี่ให้ผมหน่อยซิ    ผมอยากกลับบ้านแล้ว”    “อ้าว! แล้วรถของดร.ละครับ”   “ผมให้เพื่อนยืมไปใช้” ดร.ถอนหายใจกับความสอดรู้สอดเห็นของรปภ. “ไม่เกินสิบนาทีผมจะลงไป และหวังว่าจะมีรถมารอผมแล้ว”   ชายหนุ่มขยับปลดเนกไทออกแล้วหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กออกมาจากห้องวิจัย      ลิฟต์เคลื่อนมาพอดีทำให้เขาไม่ต้องรอนาน    ปกติเขาไม่ค่อยใช้ลิฟต์ขาลงเท่าไหร่นัก    เขาชอบเดินลงบันไดและคิดอะไรไปเรื่อยๆ แต่วันนี้เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น     ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วความวุ่นวายของระบบการจราจรในเมืองหลวงเริ่มต้นขึ้น    ถ้าไม่ติดว่ามีคนคอยอยู่ที่คอนโดเขาคงหลับสักงีบแล้วรอให้สายหน่อยค่อยกลับที่พัก     เมื่อออกมาจากลิฟต์ก็พบแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว    เขาผิวปากออกมานึกชม รปภ.อยู่ใน ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งนึก ‘ด่า’ ความสอดรู้สอดเห็นของรปภ. คนนี้   มนุษย์เราดื่มกินความอยากรู้เรื่องของผู้อื่นราวกับอาหารว่างนั่นเป็นเรื่องที่เขาทำใจมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ             “ขอบใจ”   ดร.อธิปัตย์เอ่ยเมื่อ รปภ. คนเดิมวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาขึ้น เขาบอกจุดหมายปลายทางย้ำอีกครั้งเอนหลังพิงเบาะรถแล้วหลับตาลง                   ชายหนุ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของรถยนต์ เขาไม่ได้ง่วงนอนนักแต่เพราะไม่อยากสนทนากับชายหนุ่มหน้าโหดผู้ควบคุมพวงมาลัยรถอยู่     เขาเรียนรู้ว่าการแสร้งหลับเป็นการตัดบทสนทนาอย่างมีมารยาท เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับแท็กซี่ถึงได้ชวนผู้โดยสารคุยเก่งเสียทุกคน  ตั้งแต่เรื่องการเมือง,เศรษฐกิจ,สภาพดินฟ้าอากาศหรือตลาดหุ้น แต่ที่บ่อยที่สุดคือความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้โดยสารเป็นใคร   แต่ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่ใช่เหรอ             เขาถึงได้มาเป็น ดร.อย่างทุกวันนี้ ดร.อธิปัตย์หัวเราะเบาๆ ในลำคอทั้งที่หลับตาอยู่เขาเคยชินกับความอยากรู้อยากเห็นที่คนอื่นมาต่อเขามาตั้งแต่ 6 หรือ 7 ขวบได้ เขาเป็นเด็กชายที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า “เด็กอัจฉริยะ” มันน่าตลกตรงที่เขาในวัยเด็กออกจะแปลกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเขา  แต่เรียกเขาว่าเด็กอัจฉริยะจนเขาเผลอคิดไปแล้วว่าเป็นชื่อของเขาเอง    ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้เป็นเรื่องที่ชวนตื่นเต้น  เขารู้แค่ว่าเขาจะขนมของกินเป็นของรางวัลถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์หรือทำสูตรฟิสิกส์ได้ได้และต่อมาก็มีใครต่อใครมาพาเขาเดินทางไปโน้นนี่นั้น! เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่มีความจำเป็นต้องคิดอะไรมากมาย     แค่มีที่ซุกหัวนอนมีข้าวให้กินอิ่มทุกมื้อก็แสนวิเศษแล้ว  จนเมื่อเขาอายุ 12 ปีมีครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีภรรยาเป็นชาวไทยรับอุปการะเขาอย่างเป็นทางการ     บุญคุณที่เขาต้องระลึกอยู่เสมอตอบแทนด้วยการทำโครงการวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับพันธุ์กรรมและเลือด   พ่อบุญธรรมหรือผู้มีพระคุณของเขาเป็นโรคประหลาดไม่สามารถให้ผิวกายสัมผัสแสงอาทิตย์ได้เลย    เขาจะเจอท่านแค่หลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น “รถติดมากเลยครับ”    เสียงคนขับแท็กซี่เอ่ยอย่างเกรงใจทำให้ดร.หรี่ตาขึ้นแต่ไม่ขยับตัว “จะให้ผมลงเดินหรือ?” “เปล่าครับ ผมถามความสมัครใจของผู้โดยสารเผื่อว่าจะไปใช้เส้นทางอื่นอย่างรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน” “ไม่เป็นไร ผมไม่รีบมากและอีกอย่างบ้านผมไม่มีทั้งรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินผ่านหรอกนะ ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอหลับรำลึกความหลังหน่อยนะ” “อ่า...ครับๆ”  คนขับแท็กซี่มองผู้โดยสารผ่านกระจกส่องหลังแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ  เขาเอนหลังพิงเบาะหลับไปแล้ว     เอาเถอะ! มีปัญญาจ่าค่าโดยสารก็พอแล้ว ...................   กรุงเทพฯ 33 ปีที่แล้ว               บนยอดตึกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในมหานครใหญ่   ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีดำกำมะหยี่แต่สายลมแรงดุจจะก่อให้เกิดพายุฝนใหญ่    แสงฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ไกลๆ แต่ก็พอทำให้เห็นร่างเป็นเงาตะคุ่มๆ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตึก     สายลมพัดแรงจนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมใส่ปลิวสะบัดในสายลม  เท้าเปลือยเปล่าก้าวมายืนอยู่สุดขอบ   มือสองข้างยื่นไปตรงหน้าคล้ายไขว่คว้าบางสิ่งที่โหยหาทั้งชีวิต    ในความว่างเปล่าของอากาศแต่กลับจุดรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาคล้ายได้พบในสิ่งที่ต้องการ             แม้เปลือกตาจะปิดและจะเป็นการปิดตลอดไป     เมื่อร่างของเขาทิ้งตัวร่วงราวกับใบไม้ถูกสายลมปลิวขั้ว  พริบตาเดียว! สีแดงสดที่จิตกรใดก็ผสมสีให้งดงามเท่าสีเลือดไม่ได้ก็สาดกระจายเต็มถนน    บนวิถีทางที่ใครต่อใครเคยเหยียบย่ำ             “…ข้าแต่พระเจ้า  ของทรงพระเมตตาข้าพระองค์ด้วย พระกรุณาของพระองค์ ขอทรงลบล้างความผิดของข้าพระองค์  ขอทรงชำระล้างข้าพระองค์จากความอธรรมให้หมดสิ้นไป   และทรงชำระความผิดบาปให้หมดมลทิน…”             บทสวดคำอธิษฐานเพื่อให้กลับใจเสียใหม่ยังไม่ทันจบดีนัก   คนหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ลดกล้องส่องทางไกลลง         จากจุดที่เขายืนอยู่ห่างไกลร่างของคนที่เคยยืนอยู่บนยอดตึกเมื่อครู่และเขาเองก็รู้ว่าก่อนร่างจะร่วงดิ่งลงมานั้น      เขากำลังสวดอธิษฐานบทเดียวกับชายผู้นั้นแม้มันจะไม่จบบทก็ตาม…             เสียงไซเรนตำรวจและรถพยาบาลดังขึ้นกรีดกลางคืนไม่ให้เงียบสงบปลุกคนที่นั่งอ่านตำราแพทย์เล่มหนาริมหน้าต่างนั้นสะดุ้ง   ‘อธิปัตย์’ วางหนังสือเล่มนั้นแล้วขยับผ้าม่านลูกไม้ฝรั่งเศสแง้มออกดูที่ถนนหน้าบ้านผ่านสนามหน้ากว้างราวกับสนามฟุตบอล      รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ  แต่เขาก็ขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้าเดินกลับมานั่งที่เก่า ตั้งใจจะล้มตัวลงนอนแต่มือกลับค้นเอาสร้อยเงินเส้นหนึ่งที่ห้อยจี้เล็กๆสีเงินเป็นแผ่นบางๆเริ่มเก่าตามกาลเวลาสลักหลังคำว่า “ลูกแกตัวที่ 5”   ความทรงจำเก่าๆ เริ่มแทรกเข้ามาในความคิด แต่เพียงภาพรางๆปรากฏ        เขาก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้นแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่มที่วัยเด็กเขาไม่เคยได้สัมผัส …………………….             “รู้สึกว่ามีคนฆ่าตัวตายกันเยอะนะช่วงนี้”             ประโยคคำถามนั่นทำเอานายตำรวจหนุ่มยิ้มเจื่อนๆแทนคำตอบ   เพราะเขาเองก็หัวหมุนกับคดีแบบนี้เยอะ          แม้ว่าเพิ่งจะย้ายมารับหน้าที่ในพื้นที่นี้ได้เพียงแค่สองสัปดาห์ก็ตาม             “พักผ่อนบ้างนะทศ”   เสียงเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่เอ่ยขึ้นแล้วตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ แล้วสายตาของเขาก็เหลือบขึ้นมองไปทางเด็กชายวัยสิบสองที่กำลังเดินเข้ามา             “อ้าวมานูเอล!กลับมาแล้วรึ”     ผู้เป็นพ่อทักทันทีที่ร่างผอมบางเดินถือตำราหลายเล่มเข้ามาในบ้าน    อธิปัตย์ หรือ มานูเอล เพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วขยับแว่นสายตากรอบหนาสีดำสนิทให้กระชับใบหน้า  ก้มศีรษะให้ชายหนุ่มนิดหนึ่งพอเป็นมารยาทเขาเคยเจอกันอยู่ไม่กี่ครั้งแต่ก็ถูกแนะนำว่า ทศมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ซึ่งเป็นนายตำรวจ   ร่างผอมทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขก   เด็กชายไม่ค่อยชอบชื่อใหม่ของตัวเองนักหรอก        เพราะอดคิดไปถึงบรรดาอาบอบนวดในกรุงเทพฯ ไม่ได้    แต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหาของผู้อุปการะเขา   ชีวิตเด็กกำพร้าที่อดมื้อกินมื้อมาตลอดทำให้เขาไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ให้รกสมองนัก  ที่สำคัญหลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆเสร็จ    เขากำลังจะย้ายไปอยู่ลอนดอนในอีกไม่กี่เดือนแล้ว เขากำลังจะฝั่งอดีตของตัวเองไว้ที่นี่เพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศใหม่เสียที!!!             “เพิ่งกลับมากห้องวิจัยเหรอ”     ทศเอ่ยถามลูกบุญธรรมของถามพลางเก็บรูปถ่ายจากคดีคนที่โดดตึกฝั่งตรงข้ามกับคฤหาสน์ใหญ่เมื่อคืนเก็บเข้าแฟ้ม             “ครับ”   เด็กชายตอบแล้วหันไปสบตากับพ่อบุญธรรมที่ยิ้มอย่างภูมิใจ             “คุณหนูคะ จดหมายของวันนี้ค่ะ”  แม่บ้านวัยกลางคนนำจดหมายหลายฉบับมาส่งให้ลูกบุญธรรมเจ้าของบ้าน             “มีของสาวๆหรือเปล่าเอล”  ญาติผู้พี่เย้าแหย่เล่นตั้งใจคลายอารมณ์ขุ่นมัวจากงานหนัก             คนถูกถามส่ายหน้าก่อนขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัวไปเก็บซ่อนสีหน้าประหลาดใจกับซองเอกสารสีน้ำตาลหม่นมีรอยประทับตราลงทะเบียนด่วนพิเศษ  เมื่อแน่ใจว่าห้องปิดสนิทแล้ว เด็กชายก็แกะซองปริศนาออกดู             แล้วใบหน้าของอธิปัตย์ก็ซีดเผือดเมื่อมองรูปขนาดสี่คูณหกนิ้วที่เทออกมาจากซองสีน้ำตาล   ไม่รู้ว่าเป็นเทคนิคหรือความจงใจอย่างไรรูปขาว-ดำ    แต่เหมือนจงใจให้คราบเลือดสีแดงสดในรูปเด่นชัด สภาพศพแหลกเหลวเพราะตกจากที่สูง   เมื่อเขาสังเกตดูดีๆ จึงรู้ว่าศพนั้นนอนอยู่ที่ทางเท้าใกล้ๆ บ้านเขานี่เอง             “คุณหนูค่ะ คุณหนู”                    เด็กชายสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบเก็บซ่อนรูปไว้ใต้ผ้าคลุมเตียงก่อนเร่งเท้ามาเปิดประตูตามเสียงเรียกของคุณแม่บ้าน             “คุณผู้ชายจะไปอิตาลี่เย็นนี้ ท่านให้มาเรียนถามว่าคุณมานูเอลต้องการอะไรเป็นพิเศษมั้ยค่ะ”             “ไม่ครับ เอ่อ ผมต้องเตรียมทำเขียนโครงการวิจัยฝากเรียนคุณพ่อด้วยที่ไม่ได้ไปส่ง”     เขาเอ่ยราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา เขาได้ยินมาจากแม่บุญธรรมซึ่งเป็นคนไทยของเขาว่าพ่อบุญธรรมเป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศเดินทางบ่อยจนไม่จำเป็นต้องไปส่ง   เด็กชายพยายามทำสีหน้าปกติแล้วรีบปิดประตู   การ์ดกระดาษสีดำที่มีตัวอักษรสีแดงอยู่ในมือเขา  เขาอ่านมันคร่าวๆ แล้วกระชากประตูออกอย่างแรงอย่างเพิ่งนึกได้   เขาชะโงกหน้ามาถามแม่บ้านที่ตกใจเสียงประตูห้อง    เด็กชายยิ้มจางๆ ปรับสีหน้าให้ปกติ             “คุณพ่อจะไปกี่วันครับ”             “สักสองสัปดาห์เหมือนทุกครั้งกระมังคะ”             “ขอบคุณครับ”      เขาปิดประตู ก้มอ่านการ์ดในมือเพื่อความมั่นใจอีกครั้งก่อนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า  เก็บการ์ดกระดาษไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดีและหอบซองสีน้ำตาลไปด้วย        ที่มุมซองวงเล็บด้วยลายมือหวัดที่เขารู้สึกคุ้นตาดี             (  แด่..ลูกแกะตัวที่ 5 )
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD