แน่นอนว่าคู่กัดตลอดกาลเตรียมอ้าปากตอบโต้ ทว่าต่อมาก็ต้องยอมแพ้ให้แก่กลิ่นหอมของอาหารมื้อเช้าที่อีกฝ่ายเป็นคนลงมือทำ
“ฮึ! ข้าผู้ใจกว้างจะยอมให้เจ้าหนหนึ่งก็แล้วกัน”
พูดเสร็จก็เดินมาทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามกับนาง มือขาวเกลี้ยงเกลาดุจเหยือกกล้วยยกขึ้นเท้าคาง ใบหน้าโดดเด่นยกยิ้มกรุ้มกริ่ม มองหน้านางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ไม่สมวัย
“ท่านอาซวง ท่านงดงามมาก” คนพูดยิ้มตาหยี
ถ้อยคำเกี้ยวพาจากเด็กน้อยคนหนึ่งส่งผลให้มุมปากของหลิวฟางซวงกระตุกยิ้ม
“หมายความว่าเมื่อก่อนไม่งาม?”
“เมื่อก่อนก็ว่างดงามแล้ว แต่วันนี้งดงามกว่าหลายเท่านัก” คนพูดเอาใจเก่งยังคงไหลตามน้ำได้อย่างลื่นไหล
หลิวฟางซวงได้ฟังเช่นนั้นก็เอียงคอ “เจ้ารู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางเว้นจังหวะพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ศีรษะของเด็กชายข้างตัว “ท่านอาของพวกเจ้าย่อมต้องมีความสามารถ หาไม่แล้วเกรงว่าจะดูแลพวกเจ้ามิได้”
มู่หรงอู่ทำหน้าเคลิ้มฝัน กลิ่นหอมกรุ่นประจำตัวของท่านอาหอมเสียยิ่งกว่าสระเหลียนฮวาที่เบ่งบานอยู่กลางถ้ำเสียอีก
“ข้าเห็นด้วย”
เจ้าของเรือนผมสีขาวหัวเราะ ก่อนจะสะดุ้งแผ่วเบาเมื่อรับรู้ถึงเงาดำที่ทาบทับลงมา
อี้เฟิงหลงวางจานอาหารลงตรงหน้าพวกเขาเสร็จก็หรี่ตามองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อสายตาเอื่อยๆ สบกลับมาเขาจึงหันไปเรียกเด็กชายอีกคน
“มู่หรงอู่ มาช่วยยกสำรับ”
คนถูกเรียกเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ใบหน้าหวานดุจสตรีพยักหน้าน้อยๆ “อ้อ... ได้สิ”
มู่หรงอู่กระโดดลงจากเก้าอี้ก่อนจะตามบุตรชายเทพมังกรเข้าไปในครัว ทิ้งให้หลิวฟางซวงกับหงหยางจูอยู่กันตามลำพัง
“วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดีจังนะ” ท่าทีเทพธิดาคนงามกลับมาเอื่อยเฉื่อยดังเดิม นางแตะนิ้วลงบนขอบถ้วยเหอเถา ไล้นิ้ววนไปมาพลางมองจานอาหารที่ส่งควันร้อนฉ่า
“หากอากาศอบอุ่น ข้าจะอารมณ์ดีทุกครั้ง”
“อารมณ์ดีแล้วเกี้ยวพาสตรี?” นางหัวเราะ “ร้ายไม่เบาเลยนะ”
หงหยางจูกระแอม “ข้าเพียงแค่พูดไปตามความจริง ก็ท่านอาซวงงดงามจริงๆ นี่นา”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” คนถูกชมไม่คิดจะถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย “เด็กอย่างเจ้าจะเกี้ยวสตรีได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่า...”
เด็กชายเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อดวงตาสีอำพันคู่นั้นมองสบมาตรงๆ
“เว้นเสียแต่ว่า?” เขากลั้นใจถามกลับ
“เว้นเสียแต่พวกเจ้าทั้งสามและท่านผู้เฒ่ามีบางสิ่งปิดบังข้า”
ดวงตาสีน้ำเงินวูบไหวเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะขยับยิ้มหวานเอาใจ “คนเราจำเป็นต้องมีความลับสักสองสามอย่างเพื่อให้ตัวเองดูน่าสนใจ หรือท่านอาว่าไม่จริง?”
“ไม่ผิด” ในที่สุดคนพูดก็เคลื่อนมือไปหยิบเหอเถาที่ถูกแกะไว้อย่างเรียบร้อย กรีดกรายอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งมันเข้าปากบุตรชายปีศาจงู “รีบกินเสีย จะได้โตไวๆ”
เด็กพวกนี้ดูแลตัวเองได้ดีกว่านางดูแลตัวเองเสียอีก คราวนี้นางเริ่มจะสงสัยเสียแล้วว่าที่ผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่าให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อช่วยดูแลนางหรือไม่
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องใช้แรงมาก สุดท้ายคนขี้เซาก็ยอมแพ้ ปล่อยให้คำถามนี้ผ่านเลยไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในที่สุดสำรับทั้งหลายก็ถูกอี้เฟิงหลงกับมู่หรงอู่ถือมาจนครบ ก่อนลงมือกินอาหาร คุณชายในบรรดาคนทั้งสามก็กล่าวทำลายความเงียบขึ้นมา
“หงหยางจูล้างจาน”
คนถูกสั่งขยับตะเกียบในมือ จ้องหน้าเด็กชายเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตก่อนจะคลี่ยิ้มยั่วยวน “แล้วถ้าข้าไม่ล้าง?”
“อาจู อาหลง อย่าทะเลาะกันเลย” เด็กชายซึ่งมีสายเลือดมนุษย์เต็มตัวร้องห้ามทั้งที่ยังตัวสั่น
ความกล้าหาญที่แฝงมาด้วยความขลาดเขลาเป็นภาพที่ค่อนข้างคุ้นชินสำหรับหลิวฟางซวง ดังนั้นนางจึงกินข้าวต่อโดยไม่สนใจการโต้เถียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
ทว่า... อากาศมันเริ่มร้อนขึ้นอีกแล้วใช่ไหม
เทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะวางตะเกียบลงบนถ้วย
อี้เฟิงหลงเบนสายตามายังนางทันที “มีเรื่องอันใด”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่เพราะอาหารที่เจ้าทำไม่อร่อย” หญิงสาวยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าราบเรียบของอีกฝ่ายไหววูบเล็กน้อย “เพียงแต่จำเป็นต้องออกไปนอกถ้ำสักประเดี๋ยว”
“นอกถ้ำ?” หงหยางจูเอียงคอสงสัย
“ข้างนอกถ้ำมีอันใดหรือขอรับ ท่านอา” มู่หรงอู่ส่งเสียงถามบ้าง
หลิวฟางซวงไม่รีบร้อนตอบ เดินไปนอนเอกเขนกบนตั่งยาวอย่างเกียจคร้าน กวาดตามองดูเด็กน้อยทั้งสามซึ่งดูไม่มีอารมณ์จะกินข้าวต่อ
‘ช่างเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นเสียจริง’
บ่นในใจไปเสร็จสรรพ อี้เฟิงหลงก็ถามขึ้นมาราวกับอ่านใจนางได้
“เกี่ยวข้องกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงทางด้านนอกหรือไม่”
“ใช่” หญิงสาวพึมพำเสียงเอื่อย ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นจากตั่งยาว “ที่อากาศในสุดแดนพงไพรอุ่นขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากบางสิ่ง”
หลิวฟางซวงพูดทิ้งไว้เท่านั้น หากแววตาที่สื่อออกมานั้นราวกับนางรู้ดีว่า ‘สาเหตุ’ ที่ว่านั่นคืออะไร
นัยน์ตาสีอำพันหลับลงอย่างเชื่องช้า นางก้าวตรงไปบริเวณหน้าถ้ำ มือเรียวบางวาดแขนเป็นรูปวงกลมก่อนจะหันกลับมามองเด็กน้อยทั้งสามเป็นครั้งสุดท้าย
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ หากข้ายังไม่กลับมา พวกเจ้าก็ห้ามออกไปเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”
คนได้ฟังต่างพากันหน้าเสีย แม้กระทั่งอี้เฟิงหลงที่มักจะไม่แสดงออกทางสีหน้ายังกดหัวคิ้วเข้าหากัน
“ผู้ที่อยู่ด้านนอก... เป็นผู้ใดกันแน่”
เป็นเพราะถูกสาปให้เป็นเด็ก ดังนั้นทักษะและพลังติดตัวของเขาจึงถดถอยลงตามไปด้วย มันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
แต่สาเหตุที่จางกั๋วเหล่านำพวกเขามาฝากไว้กับเทพธิดาผู้นี้ ก็เพื่อให้นางช่วยปกป้องพวกเขาอยู่แล้ว
ความคิดกับอารมณ์ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัว จนกระทั่งเสียงหวานเอื่อยเฉื่อยตอบกลับมา
“สหายเก่า”
สีหน้าของผู้ฟังผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“เช่นนั้น... พวกเราจะรอท่านอาอยู่ที่นี่” มู่หรงอู่มองหญิงสาวตาละห้อย “ท่านอาซวงต้องกลับมาหาพวกเรานะ”
หลิวฟางซวงชะงักไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของเด็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางยังเผลอคิดไปว่าพวกเขาสามารถดูแลตนเองได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่ค่อยรู้ความและปกป้องตนเองไม่ได้อยู่ดี
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม ตามมาด้วยคำตอบรับสั้นๆ “อือ”
มู่หรงอู่มองร่างในอาภรณ์สีฟ้าครามซึ่งเดินออกจากถ้ำตาละห้อย ภายในถ้ำสงบไปเพียงครู่เดียว เจ้างูเริ่มส่งเสียง
“เจ้าจะปล่อยให้นางออกไปตามลำพังอย่างนั้นหรือ” คำถามนี้จะถามใครได้นอกจากอี้เฟิงหลง
“เราไปแล้วจะช่วยอันใดได้” บุตรชายเทพมังกรกล่าวเสียงขรึม “สำเหนียกตัวเองเสียบ้างว่ายามนี้มีปัญญาเท่าใด อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิมเลย”
หากผู้มาเป็นศัตรู อย่างน้อยก่อนที่หลิวฟางซวงจะออกไป ก็น่าจะแสดงท่าทีบางอย่างออกมาให้เห็นบ้าง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป
หงหยางจูเชิดใบหน้า กล่าวเสียงประชดประชัน “ข้าละเกลียดการวางท่าสุขุมของเจ้าจริงๆ”
“เกลียดแล้วอย่างไร” น้ำเสียงของเขาเฉื่อยชามากขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องติดอยู่ที่นี่กับข้าอยู่ดี เจ้างูเหม็น”
“ข้าไม่...!”
“พวกเจ้า... อย่าทะเลาะกันได้ไหม” คนพูดเบะปากเหมือนกำลังจะร้องไห้ “ข้าเป็นห่วงท่านอาจะแย่อยู่แล้ว พวกเจ้ายังมีอารมณ์มาถกเถียงกันอีก ฮือๆๆ!”
มู่หรงอู่พูดเสร็จก็เดินปึงปังกลับเข้าห้อง ปล่อยให้คู่กัดทั้งสองเขม่นมองกันในขณะที่ตัดสินใจปักหลักรออยู่ที่เดิม
“สุนัขผู้ภักดีของท่านอา” ผู้มีสายเลือดของปีศาจเปรยตามหลังผู้จากไป จากนั้นก็หันไปหรี่ตามองบริเวณทางเข้าออก หวังว่าตนจะสามารถมองฝ่าม่านพลังที่ปิดกั้นระหว่างภายในถ้ำกับด้านนอก
เขาอยากรู้นักว่าท่านอาออกไปพบผู้ใดกันแน่