ถามยังไม่ทันขาดคำ สายลมวูบใหญ่ก็พัดผ่านมาราวกับจะกลั่นแกล้ง อี้เฟิงหลงตัวสั่นเทาแต่ก็พยายามควบคุมท่าทางให้นิ่งเฉย ผิดกับเด็กชายลูกครึ่งปีศาจงูขาวที่ยกมือขึ้นมาปิดปากและจมูกที่จามออกมา
หลิวฟางซวงหันหลังให้พวกเขาแทบไม่ทันเมื่อหงหยางจูมิได้ใช้มือปกปิดท่อนล่างไว้เหมือนเคย จังหวะต่อมาก็ได้ยินเสียงของเด็กชายผมขาว “พวกเราเปลี่ยนร่าง เสื้อผ้าเลยขาดหมดแล้ว”
หญิงสาวดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวก็เสกผ้าคลุมสองผืนให้ปรากฏขึ้นบนความว่างเปล่าเหนือร่างทั้งสอง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เดินนำพวกเขากลับเข้าถ้ำ
“รีบตามมาเร็วเข้า”
เด็กครึ่งปีศาจครึ่งเทพสองคนตีกันเพราะเย้าแหย่เรื่องฟันหลอ ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งก็กินของพิเศษพิสดารดูผิดแผกแตกต่าง...
ถ้าหากผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่าแวะมาหาเมื่อไร... นางจะต่อรองขอลดหย่อนโทษเพิ่มขึ้นอีกสักร้อยปี!
หลิวฟางซวงหัวเราะในลำคอ เพียงเท่านี้ก็อยากจะลากลับไปนอนอีกสักรอบ เหตุใดการเลี้ยงเด็กจึงได้สูบพลังงานของนางมากขนาดนี้กันนะ
ถ้ำแห่งนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาด้วยพลังของจางกั๋วเหล่า แม้มองจากภายนอกเสมือนเป็นถ้ำเล็กๆ ที่รกร้างว่างเปล่า ทว่าภายในกลับใหญ่โตโอ่อ่า เด็กชายทั้งสามคนต่างมีห้องนอนเป็นของตนเอง ส่วนของนางแยกมาอีกห้องหนึ่ง โถงใหญ่ซึ่งเชื่อมไปยังห้องนอนทั้งสี่มีโรงครัวเล็กๆ ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ และตั่งยาว กลางห้องโถงมีสระเหลียนฮวาขนาดกลางทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าส่งกลิ่นหอมนุ่มนวล
คล้ายคลึงกับเรือนของอาจารย์ ทว่ากลับห่างไกลเหลือคณานับ...
เจ้าของดวงตาสีอำพันถอนหายใจแผ่วเบา เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิด
ที่นี่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง เว้นเสียแต่อาหารและน้ำที่ต้องไปหาบเอามาจากแม่น้ำทางด้านนอก
ทั้งหงหยางจูกับอี้เฟิงหลงใช้พลังไปพอสมควรกับการเปลี่ยนร่างจึงพากันสลบไสลตั้งแต่หัวถึงหมอน เห็นได้ชัดว่าอาหารเย็นเป็นสิ่งไม่จำเป็น ส่วนผู้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงก็เตรียมจะกลับเข้าห้องของตนเองซึ่งถูกกั้นด้วยม่านลูกปัดทำจากไม้หอม
แต่มันติดตรงที่ว่ามีร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งเดินตามนางมาต้อยๆ ด้วยสีหน้าใสซื่อ
“เจ้าตามข้ามาทำไม”
มู่หรงอู่ก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ พลางเอาเท้าเขี่ยพื้นไปมา “ข้า... ไม่ชอบนอนคนเดียว”
“ข้ายังไม่นอนหรอก”
คำพูดนี้ทำเอาคนฟังเงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างตะลึงงัน “ทะ...ท่านอาซวงจะไม่นอนหรือขอรับ!”
เป็นไปได้อย่างไรกัน! ก่อนหน้านี้ท่านอาซวงเอะอะก็จะเอาแต่งีบเอาแต่นอนมาโดยตลอด ไฉนเลยวันนี้จึงตัดใจไม่ยอมนอนได้เล่า?
มู่หรงอู่พยายามขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ปล่อยให้หลิวฟางซวงเพิ่มความกระจ่างด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“เฉพาะเวลานี้เท่านั้น”
และเมื่อหลิวฟางซวงทำท่าจะเดินเข้าห้องไปอีกครั้ง คนที่กำลังยืนอึ้งอยู่ก็รีบส่งเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้า... ข้าขออยู่เป็นเพื่อนท่านได้ไหม”
นางขี้เกียจต่อปากต่อคำจึงเอ่ยปากอนุญาตอย่างว่าง่าย “เข้ามาสิ”
ใบหน้าอ่อนละมุนคล้ายเด็กหญิงคลี่ยิ้มกว้างอย่างยินดีเหลือประมาณ หลิวฟางซวงมองแล้วอดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่งามมากสำหรับมนุษย์ เด็กชายผู้นี้ต้องเติบใหญ่เป็นบุรุษผู้ที่มีรอยยิ้มสยบทั่วหล้าได้อย่างแน่นอน
คิดพลางสะบัดมือเพื่อจุดเทียนไขในห้องให้สว่าง ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้แล้วเรียกของสองสามสิ่งขึ้นมากองบนโต๊ะหินเบื้องหน้า
มู่หรงอู่ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างพร้อมชะเง้อคอมอง “ท่านอาซวงจะทำอันใด”
“เย็บผ้า”
ผู้ฟังกะพริบตาปริบๆ ปกติเขาเห็นท่านอาเสกโน่นเสกนี่มาโดยตลอด วันนี้ต้องมีวาระโอกาสพิเศษแน่
ท่านอาซวงเป็นเทพธิดาผู้งดงาม ทว่าบางครั้งก็ดูห่างเหินจนมู่หรงอู่แอบหวั่นใจ ดังนั้นเขาจึงคอยมองและสังเกตนางอยู่ตลอด ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจทอดทิ้งจากพวกเขาไปได้ทุกเมื่อ
“เย็บผ้าทำไมหรือขอรับ”
“เย็บชุดให้เอ่อ...” หญิงสาวย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อพยายามนึกชื่อ “อี้เฟิงหลงกับหงหยางจู ถ้าหากว่าต้องเสกชุดให้พวกเขาทุกครั้งที่เปลี่ยนร่าง มีหวังพลังของข้าคงเสื่อมเร็วขึ้นหลายสิบปี”
คนผู้น้อยฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก อะไรคือพลังเสื่อม... เป็นเทพธิดามีพลังเสื่อมด้วยหรือ
มู่หรงอู่ยกมือเกาคางก่อนจะย้ายไปเกาที่ศีรษะ ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องขณะที่มองอีกฝ่ายสอดด้ายลอดห่วงเข็ม “ท่านคิดว่าอาจูกับอาหลงเกลียดกันหรือไม่”
“พวกเขาแค่ชอบทะเลาะกัน ไม่ได้เกลียดกันหรอก” หลิวฟางซวงวิเคราะห์ คนเกลียดกันจะเดินกลับมาด้วยกันได้อย่างไร
“แล้วท่านอา... เกลียดพวกเราไหม”
ผู้ถูกถามส่ายหน้าให้คำถามอันแสนซื่อของอีกฝ่าย “ถ้าหากว่าเกลียด แล้วข้าจะรับปากมาดูแลพวกเจ้ารึ”
เด็กชายรู้สึกราวกับยกภูเขาเล็กๆ ที่มีขนาดเท่าตนออกจากอก “แล้วท่านอารักพวกเราไหม”
คำถามต่อมาทำเอาหญิงสาวเผยสีหน้าคิดหนัก นางเป็นเทพธิดาจึงไม่อาจพูดปด ครั้นดวงตาสีอำพันเบนไปยังเตียงที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ก็กลั้นใจตอบออกไปตามความเป็นจริง
“อาจจะรักน้อยกว่าเตียงและการหลับใหลไปสักหน่อย”
มู่หรงอู่ฟังแล้วย่นคิ้ว ครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังยิ่ง
“แล้วมันดีหรือไม่ดีเล่า ท่านอา”
“ก็ต้องดีสิ” นางตอบด้วยความมั่นใจ
“อา...” เด็กน้อยยกมือขึ้นมาเกาหัว ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ในใจ
ท่านอาใช้เวลานอนอยู่บนเตียงยาวนานนัก ถ้าหากนางบอกว่ารักน้อยกว่าสักหน่อย... ก็หมายความว่ายังเยอะอยู่ดี
มู่หรงอู่คิดอย่างมาดมั่น ต่อไปเขาจะพยายามทำให้ท่านอารักพวกเขามากกว่าเตียงกับการนอนหลับให้จงได้!
เด็กชายรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ความปลอดภัยที่เพิ่มพูนส่งผลให้เจ้าตัวใจชื้น แสดงออกมาอย่างมีชีวิตชีวาตามภาษาเด็กโดยการหัวเราะและอมยิ้มอยู่คนเดียว เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมาเท้าคาง ดวงตาหวานที่โดดเด่นตั้งแต่เด็กจับจ้องผู้ที่ปักเข็มลงไปบนผ้าอย่างสนอกสนใจ
“ท่านอาซวง ท่านใช้มนตราเย็บให้มิได้หรือ”
“ไม่ได้ เวทมนตร์ทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัด หากจะให้มันซึมเข้าผิวหนังในระหว่างที่แปลงกายอยู่ในร่างเทพหรือปีศาจ ข้าจะต้องใช้ด้ายและผ้าวิเศษ เย็บพวกมันด้วยมือจึงจะได้ผล”
“ท่าน... จะเย็บให้แค่อาจูกับอาหรง?” ร่างเล็กถาม สีหน้าดูคาดหวังอย่างเปิดเผย
“ใช่ ถ้าพวกเขาชอบเปลี่ยนร่างอยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยเสื้อก็จะได้ไม่ขาด จนกว่าพวกเขาจะควบคุมการใช้ฤทธิ์ได้...” ผู้กล่าวชะงักไปชั่วครู่ “หือ... แต่ถ้าพวกเขาถอดเสื้อผ้าก็คงไม่ต้องกลัวเรื่องขาด”
เทพธิดาผู้ขี้เกียจเริ่มหาทางออกที่ไม่ต้องลงแรงให้ตนเอง ผิดกับเด็กชายที่เผยสีหน้าผิดหวังออกมาวูบหนึ่ง ทว่าเพียงพริบตาต่อมาก็งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อผู้ที่กำลังนั่งเย็บผ้ากลับทิ้งของในมือลงบนโต๊ะ ปิดปากหาวแล้วเดินตรงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม
“ทะ...ท่านอาซวงไม่เย็บชุดแล้วหรือขอรับ”
“ข้าเบื่อแล้ว”
มู่หรงอู่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู เขาเห็นกับตาว่าหลิวเฟิงซวงปักด้ายขึ้นลงไปเพียงสามครั้งเท่านั้น!
“แต่...”
“งานเย็บปักมันต้องใช้เวลา”
“แต่ว่า... ท่านผู้เฒ่า” ท่านผู้เฒ่าเคยสอนเขาว่าอย่าหนึ่งผลัดซ้ำซาก[1]
แม้นอยากจะพูดแต่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อท่านอนของหญิงสาวมันดูสบายเสียจนเขาเกรงใจที่จะชักจูงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาเย็บชุดต่อ
“อ้อ... เจ้าพูดถึงท่านผู้เฒ่าขึ้นมาก็ดีแล้ว” เสียงหวานปานระฆังแก้วยืดยานกว่าปกติเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความง่วงงุนที่เริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ในจิตใต้สำนึก “ข้ายังไม่รู้เลยว่าพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ท่านอาซวงอยากรู้หรือขอรับ” มู่หรงอู่ถาม ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดารานับพันดวงอยู่ในนั้น
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หลิวฟางซวงแสดงท่าทีสนใจพวกเขาทั้งสามนับตั้งแต่รับช่วงต่อจากท่านผู้เฒ่า
“ก็นิดหน่อย...” นางเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาปิดปากหาว เตียงหลังนี้ราวกับถูกร่ายมนตร์ไว้อย่างไรอย่างนั้น... แรงดึงดูดของมันมากมายมหาศาลจนน่าตกใจ
ดวงตาสีอำพันเริ่มปรือใกล้จะดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุขอยู่รอมร่อ ผิดกับเด็กชายบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่ที่กระดิกเท้าที่ห้อยไปมาอย่างกระตือรือร้น
“ข้าถูกพามาที่นี่เป็นคนแรกขอรับ ต่อมาท่านผู้เฒ่าก็พาอาจูมา ครึ่งปีหลังจากนั้นอาหลงก็ถูกพามาเป็นคนสุดท้าย” มู่หรงอู่เว้นจังหวะเพื่อเกาคางที่เริ่มคัน
อากาศที่เย็นลงทำให้ผิวที่แห้งและบอบบางของเจ้าตัวเริ่มแตก ทว่าหลิวฟางซวงผู้กำเนิดเป็นเทพธิดาไม่เคยสังเกตอะไรเช่นนี้เพราะตนไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ยามนี้คางของเด็กชายจึงเริ่มแดงเสียแล้ว
“ท่านอาซวง ท่านคิดว่าท่านผู้เฒ่าพาพวกเรามาอยู่ที่นี่ทำไมหรือขอรับ”
“...”
“ท่านอาซวง...”
พรึบ!
เทียนไขในห้องพากันดับอย่างพร้อมเพรียงราวกับจะกลั่นแกล้ง มู่หรงอู่ตกใจสะดุ้งโหยงในความมืด ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างขลาดกลัว
จะว่าไปแล้วห้องของท่านอาซวงยามไร้แสงไฟนั้นน่ากลัวกว่าห้องนอนของเขาเสียอีก…
[1] หนึ่งผลัดซ้ำซาก (****) ตรงกับสำนวนไทยว่า ผัดวันประกันพรุ่ง