ท่านอาเป็นสตรีผู้เกียจคร้าน
การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มส่งผลให้ผู้ตื่นนอนมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ท้องฟ้ายามเย็นแต่งแต้มด้วยฝูงวิหคโผบินกลับรังเสมือนภาพวาด หวนให้นึกถึงความสุขสงบของบ้านที่จากมา
หลิวฟางซวงยืดแขนบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า ดวงหน้างามพริ้มดั่งหญิงสาววัยสิบแปดอาบแสงนวลสีแสดดูเปล่งปลั่งดั่งผลอิงเถา[1] เรือนผมยาวสลวยจนถึงข้อเท้าส่งกลิ่นอ่อนๆ ของเหลียนฮวา[2] อันเป็นกลิ่นหอมประจำตัว
นางถือกำเนิดมาจากน้ำค้างบนกลีบเหลียวฮวา ตรงสระทิพย์หน้าพระราชวังตะวันตกบนสรวงสวรรค์ พระนางซิหวังหมู่[3] เป็นผู้ประทานชื่อ ‘ฟางซวง’ อันหมายถึงน้ำค้างซึ่งมีกลิ่นหอมให้แก่นาง
อา... ว่าไปแล้วก็เริ่มนึกถึงเตียงใบบัวที่บ้านขึ้นมาแล้วสิ
เจ้าตัวคิดพลางถอนหายใจน้อยๆ สะบัดข้อมือเพื่อเก็บเตียงสำหรับนอนงีบหลับให้กลับไปอยู่ในถ้ำตามเดิม กวาดตามองสำรวจผืนป่าในบริเวณนี้ซึ่งมีชื่อเรียกในหมู่เทพเซียนว่า ‘สุดแดนพงไพร’
บัดนี้ผืนป่าต้องห้ามมีสภาพไหม้เกรียมกลายเป็นสีดำไปแถบหนึ่ง ส่วนต้นไม้ก็มีหักโค่นเรียงรายไปเสียอีกแถบหนึ่ง
หากสภาพดังกล่าวกลับมิเป็นที่ติดใจของผู้ที่มองผ่าน ร่างอรชรในชุดสีฟ้าครามทิ้งตัวลงบนผืนหญ้าเขียวขจีอย่างงดงามอ่อนช้อย ทว่าจังหวะต่อมาก็ถึงกับย่อตัวลงนั่งเมื่อเห็นร่างบางอย่างขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่กับพื้น
คนมองเลิกคิ้วขณะที่พยายามทบทวนความทรงจำ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนรับปากผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่า[4] เรื่องดูแลเด็กทั้งสามเป็นเวลาห้าสิบปีเพื่อลดโทษที่นางต้องอยู่บนโลกมนุษย์ไปอีกหนึ่งร้อยปี
ว่าแต่นี่มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
“นี่ เจ้าหนูน้อย” นิ้วเรียวจิ้มไปที่หัวไหล่ภายใต้อาภรณ์สีทึมเพราะยังจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้ แต่ผลตอบรับกลับเป็นความนิ่งเสมือนกำลังคุยอยู่กับรูปปั้นไร้ชีวิต
หลิวฟางซวงทาบมือลงบนแผ่นหลังเล็ก สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ในอก และร่างกายของเด็กคนนี้ก็ยังอุ่นดีอยู่ “เจ้าหนูน้อย ไม่สบายหรือ”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองปลุกมู่หรงอู่ให้สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยสีหน้าหวาดผวา ยามเห็นร่างงดงามของหลิวฟางซวงก็พุ่งเข้ามากอดขา ท่าทีทำเหมือนลูกลิงเกาะมารดาไม่มีผิด!
“ฮือๆ ท่านอาซวง... ในที่สุดท่านก็ตื่นเสียที” เด็กชายวัยเจ็ดขวบร่างสั่นสะท้านอย่างเสียขวัญ ดวงตากลมโตแว่วหวานราวกับดวงตาของอิสตรีคลอไปด้วยน้ำตาช้อนมองนางอย่างน่าสงสาร
นางมีนามว่าหลิวฟางซวง ทว่าเด็กเหล่านี้กลับไม่กล่าวขานเรียกนางด้วยแซ่ แต่เป็นชื่อที่ผู้สนิทชิดเชื้อเท่านั้นจึงจะเรียก เรื่องนี้คงเป็นเพราะผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่าเรียกขานนางเช่นนั้น เด็กน้อยจึงเรียกนางตามไปด้วย
“ปล่อยข้าก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” หญิงสาวพยายามจะแงะร่างเล็กออกเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเช็ดน้ำมูกและน้ำตากับกางเกงตัวโปรด
หากจำไม่ผิด เด็กผู้นี้คือมนุษย์ซึ่งกินของวิเศษแปลกพิสดารเข้าไป ทุกอย่างที่เขาทำจึงไม่สามารถรักษาหรือลบล้างด้วยคาถาและการเสกมนตราได้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาข่วนนางเป็นแผล ก็มีแต่การรักษาแบบมนุษย์เท่านั้นจึงจะได้ผล ซึ่งมันก็รวมไปถึงความชื้นแฉะที่อาบย้อมกางเกงของนางในเวลานี้ด้วย!
“ไม่ปล่อยๆ ท่านต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ข้าทนดูอาจูกับอาหลงทะเลาะกันตามลำพังอีก!”
หลิวฟางซวงยกมือขึ้นกุมขยับ ขี้เกียจทะเลาะหรือต่อความจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ”
“มู่หรงอู่” พอนางเปลี่ยนเรื่อง เขาก็คล้อยตามและหยุดร้องไห้ “ท่านอาซวง ท่านอยู่กับพวกเรามาตั้งสิบวันแล้วยังจำชื่อไม่ได้อีกหรือ”
ผู้ฟังพยักหน้าช้าๆ ย้ำกับตนเองให้จำว่าเด็กมนุษย์ดวงหน้าหวานราวกับอิสตรีและมีนิสัยขี้อ้อนผู้นี้มีนามว่า ‘มู่หรงอู่’ “แล้วอีกสองคนไปไหน”
คำถามต่อมาส่งผลให้คนตัวเล็กกว่าคลายมือออก ลอบกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
“พะ...พวกเขา...” เสียงของมู่หรงอู่กลืนหายไปในลำคอ เมื่อดวงตากวางเบนไปเห็นเงาร่างของอะไรบางอย่างเดินจ้ำอ้าวออกมาจากผืนป่าทึบ ดวงอาทิตย์ที่ลับจากขอบฟ้าแทนที่ด้วยแสงจันทรากลมมนอาบร่างเปลือยเปล่าสองร่างที่ขาวผ่องประหนึ่งหยกขาวมันแพะ[5] จนดูราวกับสามารถเปล่งแสงได้ในความมืดมิด
หลิวฟางซวงเห็นสภาพดังกล่าวก็เลิกคิ้วขึ้นมาข้างหนึ่ง…
ผู้ใดสั่งสอนให้เดินแก้ผ้ามาเยี่ยงนี้!
มู่หรงอู่วิ่งไปหลบอยู่หลังร่างอรชรด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ การต่อสู้อันดุเดือดยังสร้างความขนลุกขนพองให้เขาไม่สร่างซา
การกระทำของเด็กมนุษย์ผิดกับหลิวฟางซวงที่กะพริบตาปริบๆ มองร่างที่กำลังย่ำเดินตรงมาหานางด้วยสีหน้าบูดบึ้ง สองมือของพวกเขากุมปิดจุดกึ่งกลางระหว่างขาเอาไว้อย่างระมัดระวัง
อย่างน้อยก็ยังดีที่พวกเขารู้จักปกปิดส่วนสงวนของตนเองเอาไว้บ้าง...
ดวงตาสีอำพันกวาดมองพวกเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เด็กชายคนแรกดูแล้วน่าจะอายุไม่เกินหกขวบ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงพร้อมกับม่านตาเรียวเล็ก ดูอย่างไรก็มิใช่มนุษย์ เรือนผมขาวยาวประบ่ายุ่งเหยิงมีรอยไหม้บางจุด บนผิวสีขาวซีดมีเกล็ดขาววาวขึ้นมาเป็นหย่อมๆ คล้ายงู หลิวฟางซวงรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นเด็กลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจงูขาว ชื่อว่า... ชื่อว่า...
เทพธิดาสาวผู้ขี้เกียจใส่ใจในทีแรกแอบกระซิบถามมู่หรงอู่ซึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลัง
“คะ...คนผมขาวชื่อหงหยางจู ส่วนคนผมดำเหลือบเขียวชื่ออี้เฟิงหลงขอรับ” มู่หรงอู่กระซิบตอบ
นางพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปถามเด็กชายทั้งสองที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการมองเขม่นใส่กันไม่เลิกรา “หงหยางจู อี้เฟิงหลง พวกเจ้าทะเลาะกันด้วยเรื่องอันใด”
หงหยางจูดูเหมือนจะรอให้นางถาม เด็กชายยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ม่านตาสีประหลาดหดลีบลงขณะที่บุ้ยปากไปยังคนข้างๆ ด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท “ลองถามเจ้านี่ดูสิ”
คำพูดของลูกครึ่งปีศาจส่งผลให้หลิวฟางซวงเบนสายตาไปยังอี้เฟิงหลงบ้าง บนใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ของเด็กชายวัยหกขวบมีรอยบาดแผลเหมือนถูกของมีคมบาดอยู่ประมาณสองแผล ดวงตาสีมรกตเฉียงขึ้นเข้มลึกกว่าปกติแสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้น หูแหลมยาวบ่งบอกถึงสายเลือดที่ไม่ธรรมดา เด็กผู้นี้เป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์กับเทพมังกร จึงไม่แปลกที่จะติดนิสัยยโสโอหังมาด้วย
“อี้เฟิงหลง?”
ผู้ถูกถามกลับพ่นลมหายใจพลางเบือนหน้าเมินไปทางอื่น
ยอดเยี่ยม... แก้ผ้าเช่นนี้แล้วยังจะทำหยิ่งได้อยู่อีก สายเลือดมังกรช่างน่านับถือจนนางพูดไม่ออกเลยทีเดียว
คนงามกลอกตาแล้วเลือกจะหันไปให้ความสนใจแก่หงหยางจูต่อ
“นี่เขาเป็นใบ้หรอกหรือ” คำถามจริงจังติดจะใสซื่อส่งผลให้ผู้ฟังหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ผิดกับสีหน้าของอี้เฟิงหลงที่ดำคล้ำแข่งกับผืนฟ้ายามรัตติกาล
หลิวฟางซวงยืนนานหน่อยก็ชักเมื่อย นางหย่อนก้นนั่งลงกลางอากาศด้วยท่าทีผ่อนคลายโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนอายุน้อยกว่าทั้งสอง มู่หรงอู่มองภาพที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ จนกระทั่งสบตาเข้ากับนัยน์ตาอึมครึมของบุตรชายเทพมังกร จึงได้เก็บสายตากลับมามองปลายเท้าตนเอง
มู่หรงอู่ลอบกลืนน้ำลายเอื๊อก การที่หญิงสาวนั่งส่งผลให้เกราะกำบังของเขาหายไป ด้วยเหตุนี้เด็กน้อยจึงวิ่งหนีเข้าถ้ำใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหลังเป็นอันดับแรก ไม่ยอมเสี่ยงอยู่ต่อให้เด็กชายอีกสองคนจ้องมองด้วยแววตาเชือดเฉือนนั่น
เทพธิดาสาวมองตามร่างที่จากไปรวดเร็วปานสายลม ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อยกยิ้มขำขันทีหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งสายตาไปยังร่างเปลือยลูกครึ่งเทพ “ข้ารู้สึกว่านับตั้งแต่เจ้ามาอยู่กับข้า... เจ้าก็ไม่ได้พูดอันใดเลยสักคำ”
“ข้ามิได้เป็นใบ้” เสียงเล็กอู้อี้ตอบเหมือนกำลังคำรามออกมาในลำคอ
“ท่านอาซวงไม่รู้อันใดเสียแล้ว ที่เจ้าหลงไม่ยอมพูดก็เพราะฟันหน้าของเขาหลอ!” บุตรชายปีศาจงูขาวพูดเสร็จก็หัวเราะคิกคัก
ผู้ฟังนิ่งไปพักหนึ่ง มองใบหน้าของทั้งสองสลับกันไปมา เริ่มคาดเดาอะไรได้บางส่วน “พวกเจ้าทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้?”
หงหยางจูยักคิ้วพลางป้องปากคล้ายกระซิบกับหญิงสาว “เจ้ามังกรหวงภาพพจน์อย่างกับอะไรดี...”
“แล้วเหตุใดจึงกลับกันมาในสภาพเช่นนี้ได้” นางหมายถึงการเดินตัวเปล่ากลับมาที่นี่ทั้งที่เป็นช่วงชุนเทียนอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นในยามค่ำคืน ต่อให้พวกเขาจะเป็นครึ่งเทพกับครึ่งปีศาจ ทว่าร่างกายของเด็กน้อยก็ไม่ได้แข็งแรงทนทานถึงเพียงนั้น
[1] อิงเถา (**) หมายถึง ผลเชอร์รี
[2] เหลียนฮวา (**) หมายถึง ดอกบัว
[3] พระนางซิหวังหมู่ (***) แปลตรงตัวว่า พระพันปีตะวันตก เป็นพระมเหสีขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นเทวราชินีผู้ควบคุมกาลเวลาและมิติ รวมทั้งความตาย เจ้าแม่มีที่ประทับที่เขาคุนหลุน ทั้งยังมีสวนท้อทิพย์ที่ใช้จัดเลี้ยงบรรดาเซียนทุกๆ 3,000 ปี ดังนั้นรูปของเจ้าแม่จึงมักถือท้อทิพย์เป็นสัญลักษณ์ เจ้าแม่ซิหวังหมู่ยังเป็นเทพีแห่งการร่วมสังวาสอีกด้วย
[4] จางกั๋วเหล่า (***) คือหนึ่งใน 8 เซียน (โป๊ยเซียน) ตามตำนานหนึ่งเล่าว่า เป็นคนในสมัยถัง เป็นนักพรตจำศีลภาวนาที่จงเถียวซัน ไปไหนมาไหนมักจะขี่ลาเผือกกลับหัวโดยหันหน้าไปทางหางลาเป็นปริศนาธรรม ลานี้เป็นลาวิเศษ เวลาไม่ใช้สามารถเก็บพับใส่ในกระเป๋าดั่งกระดาษ เวลาจะขี่เอาน้ำพ่นกลายเป็นลาดังเดิม อีกตำนานหนึ่งก็ว่า ในสมัยดึกดำบรรพ์มีพญาค้างคาวเผือกตัวหนึ่งได้จำศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำจนสำเร็จเป็นเซียน ได้กลายร่างเป็นชายชราผิวพรรณผ่องใสแข็งแรง
[5] ชื่อเรียกของหยกขาวเนื้อนวล ซึ่งขึ้นชื่อว่าราคาแพงที่สุด