ตอนที่ 12

2289 Words
เขางงใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่กล้าทำอะไรหนูหลินเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงจัดกดไปตั้งนานแล้ว หรือดื้อมากๆคงดักฉุดแล้วมาจัดการให้สมอยาก แต่กับหนูหลินแค่ตะคอกยังไม่กล้าทำเลย เอาง่ายๆตอนนี้หนูหลินหลับเขาจะไล่ลูกน้องลงแล้วปล้ำยังได้เลย แต่แม่งก็ทำได้แค่ดึงหนูหลินมานอนตักแทน “ถ้าหิวมากก็กินสิครับเสี่ย” เอมมองผ่านกระจกก็พอมองเห็นสายตาที่หิวกระหายขัดกับการกระทำที่อ่อนโยน นี่เจ้านายกูเป็นเหี้ยไรวะถึงได้ทำตัวดีแบบนี้ “กูทำไม่ลงวะ” เขายอมรับเลยว่ากลัวหนูหลินจะเกลียด “เสี่ยแม่งไม่น่าหลงเด็กเลยอายุปูนนี้แล้ว!” ริวอดจะแซวไม่ได้เพราะอาการเสี่ยมันฟ้องมากว่าหลงขนาดไหน “กูสามสิบยังไม่แก่เว้ย” อะไรกันวะเนี่ย! เขาอายุแค่ 30 ปีเองนะแต่เดือนหน้าก็ 31 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่นับว่าแก่เกินไป “เสี่ยจะเอาไงต่อคุณหนูยังไม่มีท่าจะสนใจเสี่ยเลย” “สน แต่พวกมึงมันไม่เห็นเอง” เอมหันไปสบตากับริวอยู่แป๊บเดียวอย่างรู้ใจกัน ไอ้เหี้ยเอ้ยเจ้ากูหลอกตัวเองเว้ย! ถ้าคุณหนูหลินไม่รักขึ้นมาจะฉิบหายขนาดไหนเนี่ย เล่นทั้งรักทั้งหลงเด็กมากขนาดนี้ สาธุ…ขอให้เสี่ยสมหวังเถอะนะ เขาใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงบ้านเพราะมาทางลัดเอา แต่หนูหลินก็ยังไม่ตื่นแถมตัวยังร้อนมากกว่าเดิมอีก เธอเป็นเด็กที่ป่วยง่ายจริงแล้วยังซ่าชอบเที่ยวอีก คอยดูเถอะถ้าไม่หายไข้เขาไม่ยอมให้กลับบ้านเด็ดขาดเลย “ไอ้ริวไปเตรียมน้ำไว้ด้วย” เขาจะเช็ดตัวให้เองเพราะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นในตอนนี้ “ครับเสี่ย” ทั้งห่วงทั้งหวงจนน่ากลัวเลย แต่เอาเถอะนานๆทีจะได้เห็นมุนอ่อนโยนแบบนี้ของเสี่ยบ้าง เขาไม่อยากจะปลุกหนูหลินเลยอุ้มไปอย่างเบามือแทน จนถึงห้องนอนหนูหลินก็ยังไม่มีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ ถ้างั้นขอหอมแก้สักทีเถอะโทษฐานที่น่ารักไม่เกรงใจใครเลย “เสี่ยรักหนูมากนะครับ” เขาแอบบอกรักข้างหูหนูหลินก่อนจะไปหยิบน้ำที่ไอ้ริวมันเตรียมไว้ให้มาเช็ดตัวให้อุ่นลงบ้าง แล้วติดแผนลดไข้ให้ที่หน้าผากเกลี้ยงเกล้าและแอบหอมแก้มอีกที เมื่อไรจะรู้ตัวสักทีว่าใครจะเป็นบ้าเพราะเธอ เด็กโง่! มืดแล้วเหรอทำไมหนาวมากขนาดนี้ละ หลินลุกนั่งมองรอบๆห้องที่คุ้นตาจนนึกออกมาที่นี่คือห้องนอนเสี่ยไทม์ แล้วลุกเดินไปเปิดผ้าม่านสีเทาเข้มออกแสงแดดก็แยงตาจนแสบ “นี่ฉันหลับไม่รู้เรื่องอีกแล้วเหรอ!” เธอมักจะเป็นแบบนี้ตลอดเลย พอได้หลับก็หลับเป็นตายทุกที “ตื่นแล้วเหรอ หิวไหมนี่ก็เย็นแล้วนะ” เขาเข้ามากะว่าจะปลุกให้กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เธอตื่นพอดี “ทำไมไม่ส่งหนูที่บ้านคะ?” “ก็หนูไม่สบายถ้าอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่มีคนดูแล เสี่ยเลยพามาบ้านเสี่ยแทนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก” “แต่ว่ามันจะดูไม่ดีนะคะ” เธอไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แล้วถ้าเสี่ยไทม์มีคนรักอยู่แล้วมันจะดูไม่ดีมากๆ “ช่างเขาสิ ที่นี่มีแต่คนของเสี่ยทั้งนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรอก” โคตรเต็มใจเลยต่างหากถ้าหนูหลินจะเสียหายเพราะเขา นั้นมันหมายถึงเขาจะสามารถกำจัดศัตรูหัวใจที่คิดจะแย่งหนูหลินไปได้บ้างโดยไม่ต้องลงมือเองเลย “ทานข้าวเถอะค่ะ หนูหิวแล้ว” เธอเดินไปล้างหน้าให้สดชื่น “คืนนี้เสี่ยมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เขาทนรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เขาจีบหนูหลินมานานแล้วเธอควรจะรู้สึกสักที “คุยเรื่องอะไรเหรอคะ?” “เรื่องของเรา” เธอตามเสี่ยไทม์มาที่โต๊ะอาหารแต่บรรยากาศมันแปลกๆนะ เพราะมีแค่สองคนเองทั้งที่ปรกติที่ตอนที่เธอมารอบที่แล้วจะต้องมีพี่เอมกับพี่ริวแล้วแม่บ้านมาอยู่แถวนี้ตลอด “มองหาใครหรอ?” เขาอยากให้หนูหลินมองแค่เขาคนเดียว ไม่ใช่มองรอบๆคล้ายจะหาใครสักคนที่ไม่ใช่เขา “ก็มองหาพี่เอมพี่ริวค่ะ เขาไม่มาทานกับเราเหรอคะ” “มันก็มีที่ของมัน หนูมีอะไรกับพวกมันรึเปล่า?” ทำไมต้องหงุดหงิดแบบนี้ด้วยวะ หนูหลินควรถามเรื่องเขาสิไม่ใช่ถามถึงไอ้ลูกน้องเวรสองคนที่ชอบเสนอหน้ามาเสือกไม่หยุด “ไม่มีค่ะ แล้วพี่สาวคนนั้นไม่อยู่เหรอคะ?” “ไล่ออกแล้ว” “เหรอคะ อุ้ย! มีหมูทอดกระเทียมด้วย” นี่เป็นของโปรดเธอนี่ เสี่ยไทม์รู้ได้ไงหรือว่าเสี่ยไทม์ก็ชอบเหมือนกันนะ “ชอบก็กินเยอะๆเลยตัวยิ่งเล็กๆอยู่” เขาตักกับข้าวใส่ให้จานหนูหลินก่อนจะแอบยิ้มกับนิสัยเด็กๆที่ตาลุกวาวเพียงแค่เห็นเมนูโปรด เขารู้หลายอย่างเกี่ยวกับเธอจากการที่ไปหาแทบทุกวัน แอบส่องทั้งเฟสบุ๊คและอินสตาแกรม แล้วไหนจะคุยกันทุกวันแล้วฟังเธอเล่าเรื่องอะไรไปเรื่อยจนจับได้ความได้เอง จะต้องทำยังไงดีวะให้รู้ว่าเขารักเธอมาก “เสี่ยไทม์กินด้วยสิ ชิ้นนี้หนูตักให้” “ขอบคุณครับ คืนนี้ก็ค้างที่นี่แหละหายไข้เมื่อไรค่อยกลับ” เขาพูดเหมือนจะลอยๆนะแต่เอาจริงจัง เพียงแต่ไม่อยากพูดดังมากมันจะเป็นเหมือนการออกคำสั่งเปล่าๆ “แต่ว่า…” “ไม่มีแต่! หนูไม่สบายจนหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้ว” เขาขึ้นเสียงดุอีกนิด บอกตามตรงว่าไม่พอใจที่หนูหลินจะปฎิเสธกัน “เสี่ยเป็นห่วง” แล้วตามด้วยพูดดังกว่ากระซิบแค่นิดเดียว คำพูดไม่ดังมากแต่เธอได้ยิน เธอไว้ใจเสี่ยไทม์มาก แต่ชายหญิงอยู่ด้วยกันมันจะดูไม่ดี แค่นี้คนอื่นเขาก็คิดไปไกลแล้ว “หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ เสี่ยไทม์ไม่ต้องห่วงหรอก” เธอแอบมองเสี่ยไทม์ก่อนว่าจะตอบมายังไง “ไม่ได้ หนูต้องอยู่ที่นี่ หนูไม่สบายก็อย่าอวดดี!” ที่นี้เขาขึ้นเสียงดังชัดเจนให้เธอรู้ว่าไม่พอใจมาก ในเมื่อดื้อก็ต้องเอาให้อยู่ เขาเป็นห่วงเธอมาก แล้วดูตัวก็ผอมแห้งแรงน้อย หน้าก็ซีดเหลืองเชียว เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยดูแลทัน “ก็ได้ค่ะ” เธอได้แค่ทำหน้ามุ้ยแล้วกินข้าวต่อไป “ก็แค่นี้เองทำไมชอบให้บังคับนะหนูหลิน” เป็นการบังคับครั้งแรกเลยนะ ปรกติจะใช้วิธีทางอ้อมมากกว่า แต่ครั้งนี้ขี้เกียจจะคิดเลยพูดตรงๆแบบนี้แหละจะได้รู้มั้งว่าใครเป็นห่วง แต่ว่าเด็กทำท่างอนด้วย หนักใจฉิบหายเลย คืนนี้ดาวเต็มฟ้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทำไมนะตอนอยู่ในเมืองถึงไม่เห็นชัดแบบนี้ หรือเพราะแสงสีมันบดบังไปหมด พอมาอยู่บ้านเสี่ยไทม์ที่ห่างจากเมืองมาเลยเห็นชัดเจน “เห้ยดาวตก!” เธอตกใจกับภาพนี้ “ไม่เคยเห็นรึไงถึงตื่นเต้นแบบนี้” เขาเดินตามมาแล้วนั่งที่ระเบียงบ้าน แอบขำนิดๆกับท่าทางตลกของหนูหลิน “ครั้งแรกค่ะ หนูเคยรอดูฝนดาวตกนะแต่ว่าไม่ทันเพราะหลับก่อนตลอด” เธอนึกถึงช่วงเดือนที่แล้วที่ลงทุนไปนั่งรอดู แต่ก็ทนไม่ไหวหลับไปก่อน แต่ก็งงที่ตื่นมาอยู่บนที่นอนได้ไง อันนี้เขารู้เพราะคืนนั้นไปเที่ยวแล้วเมาพอสมควรเลย เขาคิดถึงหนูหลินมากจนแวะมาหาตอนตีหนึ่งกว่าๆเลยเห็นว่าหลับทั้งที่ประตูบ้านไม่ปิด เขาเลยเข้าไปอุ้มให้นอนในห้องดีๆเพราะขืนปล่อยไว้แบบนั้นยุงคงกัดจนแดงทั้งตัวแน่ เธอชอบทำอะไรแบบไม่ระวังตัวเองเลย โลกนี้ไม่ได้ใจดีตลอดหรอกนะ “เรื่องที่เสี่ยจะคุยด้วย คือว่า…” เขาอึดอัดนะที่ต้องเก็บเอาไว้ในใจ แต่ตอนนี้กำลังจะบอกไปก็กลัวว่าระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิม เขากลัวว่าเธอจะตีตัวออกห่างเพราะไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วก็กลัวว่าจะรับความผิดหวังไม่ไหว “อะไรเหรอคะ?” เธอก็อยากจะรู้เรื่องเหมือนกันว่าจะคุยเรื่องอะไรกันแน่ เธอขยับไปนั่งลงที่เก้าอี้นอนตัวยาวข้างๆเสี่ยไทม์ด้วยความสนใจมาก แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยไทม์ถึงดูเครียดมาก หรือว่าเธอทำอะไรผิดไปรึเปล่า “รู้รึเปล่าว่าเสี่ยรู้สึกยังไงกับหนู?” หัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะอยู่แล้ว ให้ตายเถอะเกิดมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย “ก็รุ่นพี่กับรุ่นน้องไม่ใช่เหรอคะ?” ถึงในใจเธอมันจะคัดค้านว่ามีอะไรมากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองมากไป เวลาแค่เดือนกว่าๆทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ เสี่ยไทม์จะพูดอะไรกันแน่? “แต่เสี่ยไม่ได้คิดกับหนูแค่รุ่นน้อง” เขากลั้นหายใจพูดออกไปแต่มันก็ไม่ได้โล่งอกอย่างที่คิดเอาไว้ เขาขยับตัวให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น แล้วจับตัวเธอหันมาสบตากัน “เสี่ยรักหนูแบบผู้ชายคนหนึ่ง” เขาสบตากลมโตที่วูบไหวไปมาก่อนจะหลบตากัน “คือว่า…หนู…” เธอไม่รู้จะพูดยังไงต่อเพราะไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเสี่ยไทม์กันแน่ “เสี่ยอยากให้หนูรู้ เสี่ยอยากทำอะไรให้มันชัดเจนขึ้น” เขายิ้มอ่อนให้หนูหลินที่ดูอึดอัดเห็นได้ชัดเจนแต่ไม่เป็นอะไรหรอก “เสี่ยไม่ได้เร่งรีบให้หนูตกลงรับเสี่ยเป็นแฟนหรอกนะ หนูอย่ากดดันตัวเองสิ” เขาเริ่มปลอบประโลมก่อนเพราะรู้ว่าเด็กที่ดื้อเงียบแบบนี้ไม่ชอบให้บังคับแน่นอน ดังนั้นวิธีทั้งจับช้าแต่จับไม่ปล่อยแบบนี้แหละเหมาะสุดแล้ว “เสี่ยจะจีบหนูหรอคะ?” เธออยากถามเพื่อความแน่ใจ “ใช่ แต่อันที่จริงเสี่ยจีบหนูมานานแล้วนะ หนูไม่สังเกตบ้างเหรอ?” นี่ละหนาเด็กพอถูกหลอกก็ชักจูงง่ายจนคิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีซะงั้น “ไม่สังเกตเลยค่ะ สนใจอะไรในตัวหนูเหรอคะ” ถึงเธอจะเป็นท๊อปเกิร์ลของโรงเรียน แต่แค่นี้มันไม่น่าจะใช่เหตุผลเลย “หนูคิดว่าความรักคืออะไรเหรอ?” “ไม่รู้สิคะ หนูไม่เคยมีแฟนเลยจะรู้ได้ยังไง” เธอไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้ง ถ้ามีมากสุดคือรู้สึกดีแต่ไม่ถึงขั้นรัก แต่คนนั้นเขากำลังจะกลับมาแล้วเท่าที่เธอรู้นะ “ความรักคือเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่สุด ถ้าไม่เชื่อหนูต้องลองรักเสี่ยดูนะ” เขาจะค่อยๆกล่อมเล็กน้อยแบบนี้แหละ เขาไม่อยากรีบแล้ว เขากลัวหนูหลินตกใจหนีหายไป “แต่หนูว่าความรักคือการเห็นคนที่เรารักมีความสุขไงคะ” ก็อย่างที่เธอรักคุณย่านี่ไง เธออยากเห็นคนที่รักมีความสุขเลยไม่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้ย่าต้องปวดหัว “นั่นมันก็เป็นแค่นิยามเท่านั้นแหละ หนูเคยเห็นไหมคนรวยรักคนจน รักสามเศร้า รักเพื่อผลประโยชน์ รักคือครอบครอง มันยังมีนิยามอีกเยอะแยะเพราะความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หนูอาจจะมองแค่ด้านดีอย่างเดียว” เขาก็ไม่เคยมีความรักแบบแรกพบแบบนี้เลยนะ เพราะทุกครั้งเขาใช้เวลากว่าจะรักใครได้สักคนแบบจริงจัง แต่กับหนูหลินใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีก็เทใจให้หมดแล้ว งั้นเขาจะเขินตอนจ้องตาทำไมเล่า เพราะเขาไม่เคยตกหลุมรักใครไวขนาดนี้เลยทำตัวไม่ถูก และที่สำคัญไม่เคยมีความรักมานานหลายปีแล้ว “เหรอคะ? อย่างนี้ก็แย่สิถ้าเจอคนไม่ดี” “ก็รักเสี่ยสิ เสี่ยรับรองว่าไม่เสียใจ” “บ้า! หนูไปนอนดีกว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว” อาการเธอดีขึ้นมากแล้วเลยขอเสี่ยไทม์กลับบ้านได้ แต่ก็แปลกใจตัวเองนะทำไมต้องขอด้วยในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย “ป่วยนานเลยก็ได้เสี่ยดูแลดีนะ” เขาตะโกนตามหลังไป รักเด็กนี่มันกระชุ่มกระชวยหัวใจจัง เขาเหมือนย้อนวัยไปเลย ทั้งที่เขากำลังจะอายุ 31 ปีแล้วอายุก็จะห่างหนูหลินประมาณ 14 ปี แต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD