CHAPTER 5
เขารู้ดีแต่ทำไมต้องถาม
เขาตั้งใจย้ำย้ำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ผู้ชายคนนี้ไปซื้อผ้าอนามัยให้ฉันแต่ครั้งนี้มันเป็นครั้งที่สองต่างหาก ถึงแม้ระยะห่างจากการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นแบบนานมามากแล้วก็เถอะมันก็ยังสร้างความอายให้ฉันไม่รู้จักจบสิ้นเสียทีไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิงขี้อายหรือตอแหลใดๆ
มันไม่ชินให้ใครรับรู้เรื่องแบบนี้ต่างหาก
ผู้หญิงด้วยกันจะรับรู้ดีว่าความรู้สึกแบบไหนจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ชายคนๆ เดียวกันไปซื้อผ้าอนามัยให้ตั้งสองครั้งสองครา
ครั้งแรกเป็นตอนมัธยมรู้ไหมตอนนั้นเกมส์เล่นซื้อมาทั้งธรรมดาและแบบสอดกลางวันกลางคืนซื้อมาหมดครั้งนั้นฉันได้แต่โทษตัวเองอาจเป็นเพราะบอกเกมส์ไม่ชัดเจน บอกแค่เพียงไปซื้อผ้าอนามัยให้หน่อยเท่านั้น พอซื้อมาแล้วเขาก็ถือถุงพวกนั้นเข้ามาในห้องน้ำหญิงของโรงเรียนแบบหน้าด้านๆ พอถึงหน้าประตูห้องน้ำมือใหญ่ก็หยิบผ้าอนามัยเหล่านั้นสอดใต้ประตูห้องน้ำให้ฉันเลือก
เกมส์สามารถยัดถุงใหญ่พวกนั้นให้ฉันได้ทั้งหมดแต่เขาไม่ทำ
เกมส์เลือกหยิบเป็นชิ้นๆ สองครั้งแรกหยิบแบบสอดยื่นเข้ามาให้แต่ฉันปฏิเสธบ่ว่าไม่เคยใช้ ไม่มีวันใช้ด้วยแบบนี้ละมั้งจึงให้เขาจำมาตลอด เหตุการณ์วันนั้นแม้จะโดนแซ็วจากใครๆ ใบหน้าเฉยชาพวกนั้นแค่เขาหันไปมองก็ทำให้คนอื่นหุบปากได้
หุบได้อย่างสนิทไม่มีการล้อเลียนเกิดขึ้น
มันเป็นสิ่งที่ดีมากเลยสำหรับฉันถึงแม้จะแลกด้วยการที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาจีบ รุ่นน้องรุ่นพี่ที่เคยหยอกล้อฉันเรื่องรอยถูก
ทำร้ายก็หายไปด้วยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
ตอนนั้นเกมส์ก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุด สนิทกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่พอมีปะปรายไม่มีใครคบฉันยั้งยืน ฉันจึงเลือกที่จะคุยกับเพื่อนผู้หญิงพอประมาณ เพื่อนผู้ชายคนอื่นพอประมาณเกี่ยวกับเรื่องเรียนเป็นส่วนใหญ่ จะสนิทมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือเกมส์นี่แหละ เราเรียนห้องเดียวกันทำงานคู่หรือกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ อีกทั้งตอนนั้นแม่อยู่เขาก็เจอแม่บ่อยเหมือนกัน
เกมส์เป็นผู้ชายคนแรกที่เมื่อก่อนฉันเคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเยอะแยะ
แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ...
ด้วยความที่ก่อนหน้ามีเรื่องมาให้กระทบความคิดฉันจึงเลือกลืมตามองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้เป็นห้องนอนตกแต่งเรียบๆ ทุกอย่างล้วนเป็นสีดำแม้กระทั้งกีต้าร์ตัวหนึ่งที่ถูกตั้งโชว์เอาไว้ตรงมุมห้องใกล้กับระเบียง แสงจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามาถึงกีต้าร์ตัวนั้นราวกับต้องการให้ฉันเห็นมัน
กีต้าร์ตัวนี้สลักชื่อ GAM เอาไว้ด้านหน้าส่วนใต้ชื่อนั้นก็เหมือนมีการสลักเครื่องดนตรีเล็กๆ เอาไว้ด้วยฉันจึงปรับสายตาของตัวเองโดยการกระพริบตาถี่ๆ เครื่องดนตรีที่สลักเอาไว้ด้านล่างคำว่า GAM จึงเด่นชัดขึ้นมาก
เครื่องดนตรีชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า ขิม
บ้าไปแล้ว
“ขิม...”
เสียงในลำคอฉันลากยาวคำพยางค์เดียวนี้จนน้ำเสียงหายไปด้วยความเบาหวิว ภายในใจตีรวนสับสนกันไปหมดไม่รู้ว่าจะเชื่อความรู้สึกไหนก่อนดี จากที่นอนอยู่ดีๆ ตอนนี้กับมีความอยากลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงเพื่อมองไปที่กีตาร์ตัวนั้น จดจ่อไปกับมันแล้วในที่สุดฉันก็ทำตามกับความอยากของตัวเอง
พร้อมกับความคิดหลายปีก่อน...
‘ขิมชอบผู้ชายแบบไหน?’
‘ถามทำไม แปลกๆ’
‘เอาหน่า บอกๆ มาเถอะ’
‘ตัวสูง เส้นเลือดปูดๆ ตรงหลังมือ’
‘สีผิวล่ะ?’
‘ขาวหรือดำ แทนได้หมดแต่ถ้าเล่นกีตาร์ได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ’
‘งั้นเหรอ’
ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกมส์คิดยังไงถึงได้ถามแต่ถ้าถามฉันที่เป็นคนตอบ คำตอบก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปนั้นแหละยังไงคนเราก็ต้องมองหน้าตารูปร่างเป็นหลักอยู่แล้ว ความคิดพวกนี้สำหรับฉันมันไม่ผิดนะมันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนเท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้ ขณะนี้รวมถึงสิ่งที่เห็นทำให้ฉันไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นัก
กีตาร์ตัวนั้น
การสลักเครื่องดนตรีตัวนั้น
ถ้าฉันไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ‘ขิม’ ก็หมายถึงเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งซีกใช้ตีอีกประการหนึ่งถ้าฉันเกิดคิดเข้าข้างตัวเองรูปดนตรีที่สลักนั้นมันพ้องกับชื่อเล่นของตัวเองซึ่งอาจเปรียบได้ถึงตัวฉันเอง เป็นคนสำคัญของเจ้าของกีตาร์ตัวนั้น
จะใช่หรือเปล่ามีเพียงคนเดียวที่ให้คำตอบได้นั่นก็คือ เกมส์
แกร๊ก...
เสียงเปิดประตูและปิดประตูห้องทำให้ฉันละสายตาจากกีตาร์หันไปมองร่างสูงของเกมส์แทน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์อีกข้างหนึ่งถือถุงกระดาษใบใหญ่พอประมาณ เขาเดินเข้ามาประชิดเตียงวางถุงนั้นไว้ที่ว่างข้างตัวฉันจากนั้นก็วางกระเป๋าสตางค์หนังสีดำตรงโต๊ะหัวเตียงโดยปราศจากคำพูดใดๆ ซึ่งฉันเองก็เงียบได้เพียงใช้สายตามองไม่พูดเช่นกัน
เกมส์เขายังยืนเต็มความสูงอยู่ที่เดิมแต่ใช้มือข้างซ้ายด้านเดียวกับที่ฉันนั่งอยู่บนเตียงแล้วสามารถเห็นได้ชัดเจนระดับ HD ล้วงไปยังกระเป๋ากางเกงด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจนักแต่นัยน์ตาสีนิลเหวี่ยงๆ คู่นั้นกับจ้องมองมายังฉันแบบนิ่งๆ แทน
คิ้วของเขาขมวดแทบชนกัน
“ทำไมไม่นอนลงไป ลุกนั่งเพื่อ?”
ถามออกมาแต่เบี่ยงสายตาไปมองทางอื่นเหมือนไม่สนใจนั่นหมายความว่ายังไงกันแน่ ฉันบอกตรงๆ ว่าไม่เข้าใจเลยทว่าคำถามของเกมส์หายไปทันทีเมื่อสิ่งที่สายตาตัวเองเห็นตอนนี้มัน
ถุงยาง
ซองสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ระหว่างสองนิ้วชี้กับนิ้วกลางของเกมส์ที่หนีบออกมาให้เห็นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาสำหรับฉันไง ซองสี่เหลี่ยมนั่นผ่านอากาศไปโดยที่สายตาของฉันยังจับจ้องมันอยู่จนกระทั่งเกมส์ปล่อยมันรวมกับกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถตรงโต๊ะหัวเตียง
“จะทำอะไร”
ฉันรู้ดีว่าปฏิกิริยาตัวเองรุนแรงระดับหนึ่งโดยเฉพาะเสียงห้วนๆ จากประโยคเมื่อกี้ ก็เกมส์จู่ๆ เขาก็ทรุดนั่งบนเตียงเท่านั้นยังไม่พอยังยื่นมือใหญ่ของเขาเข้ามาหาฉัน พอโดนเอ็ดสายตาเหวี่ยงคู่นั้นก็หันมามองฉันอย่างตรงๆ ราวกับอยากถามว่า เธอมีปัญหาอะไร
“เอามือยื่นมาทำไมล่ะ” พอไม่ได้คำตอบฉันก็ตอบแบบส่งๆ ด้วยความระแวงจึงคว้าหมอนใบใหญ่เข้ามากอดหลวมๆ กันๆ เอาไว้ก็ไม่เสียหาย “เก็บไปสิ”
“อะไรขิม อะไรของเธอ”
“เก็บมือไป ยื่นมาทำไมล่ะ”
ฉันพูดให้ความกระจ่างแก่เกมส์เขาถอนลมหายใจออกมายาวเหยียด
“ไม่ได้อยากจับแค่จะวัดดูว่ามีไข้มั้ย” ทำไมฉันจะระแวงไม่ได้ คิดอะไรก่อนมันก็ไม่ได้มีปัญหามีประโยชน์ด้วยซ้ำเผื่อหาทางแก้ไขได้ “ไหนดูหน่อย”
“ไม่”
ขณะที่เกมส์ยื่นฝ่ามือใหญ่ของเขาตรงเข้ามาลำตัวของฉันก็เอียงไปอีกทางเผื่อหลบหลีกฝ่ามือนั้นอย่างหวุดหวิดไม่นานเกมส์ก็เป็นฝ่ายเก็บฝ่ามือไปความปกติก็เข้ามา
“สรุปว่ามีไข้รู้มั้ยว่าเป็นไข้ทับระดู”
“...” ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ คิดไม่ถึง
“ไม่รู้ อาการชัดขนาดนี้ยังไม่รู้เหรอขิม” เกมส์พ่นคำถามออกมาด้วยใบหน้าซื่อๆ แต่สายตาไม่ซื่อกลับเหมือนหลอกด่าว่าโง่มากกว่าอีก “ปวดหัว ตัวร้อน ไข้สูงและอาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วม”
ได้ทีเลยนะ
อยากด่าหรือว่าอะไรก็เอาตามสบายเลย
“นึกไม่ถึงอ่ะ”
“นึกเรื่องอื่นอยู่สิ ไม่ได้โง่สายตาเธอ ท่าทางเธอเมื่อกี้มันกลัวออกหน้าขนาดนั้น” เกมส์ขยับตัวเข้ามาหาฉันอีกขั้นหนึ่งระยะห่างจึงแคบลงกว่าเดิม “จ้องแต่ถุงยาง”
ถุงยาง แสดงว่าเขาเห็น...
“ฉัน...”
“พึ่งเคยเห็นหรือไงถึงมโนไปไกลขนาดนั้น”
“ไม่ได้มโนสักหน่อย อย่ามั่ว”
“มั่ว? หึ...” รอยยิ้มเหยาะแสดงออกมาให้ฉันเห็นท่ามกลางสายตาเหวี่ยงๆ เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยทำให้รู้สึกคาดเดาความคิดยาก ยากที่สุดผู้ชายคนนี้ “ไม่มั่วหรอก ไม่เคยมั่วด้วยซ้ำ”
ความจริงจังส่งผ่านมาทางสายตาเหมือนกับว่าเกมส์พยายามสื่ออะไรออกมาให้ฉันได้เห็นได้รับรู้โดยที่ปราศจากคำพูดบทสนทนายาวๆ ระหว่างฉันกับเขาหรือจะเป็นไอ้คำว่ามั่วนั่น
มันเป็นคนละความหมายกันกับที่ฉันพูดหรอ
ตรงนี้แหละที่เป็นความยากของภาษา การสนทนาเกิดขึ้นบางเรื่องอาจจะเข้าใจในเรื่องเดียวกันแต่ในบางเรื่องบางเหตุการณ์เราอาจจะพูดเรื่องเดียวกันแต่ประโยคที่ออกมาจากอีกคนซึ่งเป็นคู่สนทนาอาจจะไม่ได้หมายความเหมือนที่เราคิดมันต่างไป มันซับซ้อนเหมือนกับใจคน
“เอ่อ...”
“อีกอย่างเมนส์มาทั้งฝ่าทั้งใช้ทำไม่ได้หรอก”
ไม่มีอะไรพูดต่อได้เลย
“นายคิดเอามาใช้กับฉันงั้นเหรอ!”