ดั่งหนู...ติดกับดัก4

2236 Words
นอกจากนัดคุยกับลูกค้าช่วงเช้ามุกรินก็อยู่ในบริษัททั้งวัน จนกระทั่งเคลียร์งานที่คั่งค้างเสร็จเรียบร้อยเธอก็พบว่าเป็นเวลาเกือบจะสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เธอนัดหมายอาทิตย์เอาไว้ เจ้าของร่างบางจึงรีบปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นปริญญ์ก็เดินมาที่โต๊ะทำงานของเธอ “ไปกันเลยไหม” ตั้งแต่เข้าบริษัทมุกรินก็มัวแต่เร่งเคลียร์งานจนลืมไปว่าเมื่อวานนี้ตอนที่ออกไปดูงานด้วยกัน ปริญญ์อาสาจะขับรถไปส่งเธอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เพื่อนเธอทำงานอยู่ แต่เธอเพิ่งจะนึกได้ “เอ่อ คือ มุกลืมบอกบอสไปน่ะค่ะว่ามุกต้องรอเอาของกับคุณอาทิตย์ คือวันนี้ตอนไปพบลูกค้ามุกลืมเอกสารไว้น่ะค่ะคุณอาทิตย์เลยเอามาให้” มุกรินรีบอธิบายเพราะมีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปริญญ์กำลังสงสัยว่าทำไมอาทิตย์ถึงต้องเอาเอกสารมาให้ถึงที่นี่ ไม่สิ เขากำลังคิดว่ามีเหตุผลอะไรที่อาทิตย์ต้องทำถึงขนาดนี้ นอกเสียจากฝ่ายนั้นอาจจะนึกสนใจรุ่นน้องคนสนิทของเขาอยู่ ทว่าจังหวะนั้นปริญญ์ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีช่อดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะของเธอเขาจึงอยากรู้ว่า ใครกันนะเป็นเจ้าของดอกยิบโซช่อโตนี้ “ใครให้มาเหรอ” “พอดีร้านที่นัดคุยกับคุณจิตตาครบรอบวันที่เจ้าของร้านพบรักกัน ทางร้านเลยสุ่มดอกไม้ให้ลูกค้าเป็นของขวัญน่ะค่ะ” “แล้วมุกก็เป็นคนได้?” เจ้านายหนุ่มเลิกคิ้วหนาเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก ซึ่งมุกรินเองก็คิดแบบนี้เช่นกันแต่ในเมื่อพนักงานของร้านบอกมาแบบนั้นเธอก็ได้แค่รับไว้ตามมารยาท “ค่ะ” “วันหลังพาผมไปร้านั้นหน่อยนะ แล้วนี่นัดคุณอาทิตย์ไว้กี่โมง” แม้จะรู้ว่าอาทิตย์อาจจะเป็นคู่แข่งหัวใจในอนาคตแต่ปริญญ์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา และเขายังคงเป็นหัวหน้าผู้ใจดีของมุกรินเสมอ “สี่โมงค่ะ” “จะถึงเวลาแล้วนี่ งั้นไปเลยไหม ถ้าให้เขามารอมันจะเสียมารยาทนะ” “ค่ะ” เมื่อเห็นด้วยว่าเธอควรจะเป็นฝ่ายออกไปรออาทิตย์เธอก็รีบเก็บสัมภาระแล้วเดินออกไปพร้อมกับปริญญ์ แต่ทว่าภาพที่เธอเคียงคู่ออกมาจากบริษัทพร้อมกันกับปริญญ์นั้นอยู่ในสายตาของอาทิตย์ทั้งหมดเพราะเขามาถึงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อมองเห็นรถป้ายทะเบียนเลขสวยจอดอยู่มุกรินก็จำได้ทันทีว่าเป็นรถของอาทิตย์ เธอหันไปสบตาปริญญ์ครู่เดียวก่อนจะเดินตรงไปยังรถคันหรู ซึ่งในตอนนั้นอาทิตย์ก็ได้เปิดประตูลงมาจากรถ “ทำไมไม่โทรหามุกล่ะคะมุกจะได้ออกมาเอา” มุกรินรู้สึกเสียมารยาทที่สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายให้อาทิตย์รอจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็น่าจะโทรบอกเธอสิ ไม่ใช่มานั่งรออยู่ในรถแบบนี้ “ไม่เป็นไรครับผมไม่ได้รีบไปไหน นี่ครับเอกสาร” จังหวะที่ยื่นเอกสารให้อาทิตย์ก็เหลือบมองไปด้านหลังของเธอ พอเห็นปริญญ์กำลังมองมาอาทิตย์ก็กระตุกยิ้มมุมปาก แต่สิ่งที่สายตาคมคายฉายความไม่พอใจออกมานิด ๆ กลับไม่ใช่เจ้านายหนุ่มที่ชอบทำตัวเป็นแมวหวงก้างนั่น หากแต่เป็นเรื่องที่มุกรินไม่ได้ถือช่อดอกไม้ออกมาด้วยต่างหาก ทั้งที่เธอเดินออกมาจากบริษัทเหมือนคนที่เลิกงานแล้วแท้ ๆ “ขอบคุณนะคะที่คุณอาทิตย์อุตส่าห์เอามาให้ถึงที่นี่ มุกนี่แย่จริงๆ ค่ะลืมได้ไงไม่รู้” ถึงแม้จะไม่ใช่น้ำใจยิ่งใหญ่อะไรแต่กับคนที่ถือว่าเพิ่งรู้จักกันและยิ่งเป็นคนในครอบครัวของคุณประภพด้วยแล้ว มุกรินจึงรู้สึกไม่ดีที่ต้องรบกวนอีกฝ่ายอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่ง อาทิตย์ก็จับสังเกตได้ว่ามุกรินกลับมาเรียกชื่อจริงของเขาเหมือนในตอนแรก หรือจะเป็นเพราะว่ามีบอสหนุ่มยืนคุมเชิงอยู่ อาทิตย์ได้แต่คับข้องใจแต่ก็ไม่ได้คิดจะพูดออกมา “คุณมุกจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” ความจริงเขาก็พอเดาได้ว่ามุกรินน่าจะกำลังออกไปข้างนอกกับเจ้านายหนุ่มของเธอ แต่เขาก็แสร้งเป็นไม่รู้ “ค่ะ งั้นมุกขอตัวก่อนนะคะ” จบประโยคมุกรินก็เดินไปที่รถของปริญญ์ ส่วนอาทิตย์ก็กลับเข้าไปในรถตัวเอง และไม่ถึงนาทีรถของปริญญ์ก็ขับผ่านหน้าอาทิตย์ไปโดยที่มุกรินไม่แม้จะมองมาที่รถของเขา แล้วคำความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว สักวันในสายตาของมุกรินจะต้องมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ปริญญ์ขับรถมาส่งมุกรินที่ร้านอาหารซึ่งมัสยาทำงานอยู่แล้วขอตัวกลับทันทีเพราะมีธุระที่ต้องไปทำ มุกรินยืนรอไม่นานมัสยาก็เลิกงาน “โทษทีนะรอนานไหม” มัสยา หรือ มัส เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของมุกริน เรียกได้ว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่รักและหวังดีต่อกันมาจนตอนนี้ “เพิ่งมาถึง ว่าแต่เจ้านายจอมเนี๊ยบของแกอยู่ร้านไหม” มุกรินถามเพื่อนพลางสอดส่องสายตาเข้าไปในร้านราวกับคนยืนมองลาดเลาอะไรสักอย่าง เมื่อเดือนที่แล้วมัสยาโทรมาเล่าให้เธอฟังว่าเจ้านายคนใหม่ทั้งเขี้ยวและแสนเจ้าระเบียบจนมัสยาคิดหนักว่าตัวเองจะทำงานที่นี่ได้สักกี่วัน แต่ก็เป็นเพราะมัสยาสร้างวีรกรรมตั้งแต่วันแรกที่เธอมาสมัครงาน ก่อนหน้านี้มัสยาทำงานเป็นพนักงานบัญชี แต่เพราะเธอค้นพบว่าตัวเองชอบทำอาหารมากกว่าการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เลยตัดสินใจลาออกจากงานแล้วมาสมัครเป็นเชฟจากการประกาศรับสมัครงานในเว็บหางานแห่งหนึ่ง แต่เพราะวุฒิการศึกษาไม่ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัครบวกกับยังไม่มีประสบการณ์ ฝ่ายบุคคลเลยให้เธอทำในตำแหน่งเสิร์ฟแทน มัสยาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีและยอมรับว่าเธอขาดทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์การทำอาหารแต่คำพูดหนึ่งของเจ้าของร้านในวันนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก และสักวันเธอจะต้องลบคำสบประมาทของอิตาเจ้าของร้านขี้เก๊กนั่นให้ได้ “อยู่ จะไปไหนได้ล่ะ คงอยู่จนพนักงานกลับหมดทุกคนนั่นแหละ ไม่รู้ว่ากลัวของหายรึไง” ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานมัสยาก็ไม่เคยเห็นเจ้าของร้านกลับก่อนพนักงานสักวันเดียว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเจ้าของร้านคนนี้ควบตำแหน่งเชฟมือหนึ่งของร้านด้วย แต่ในวันที่ไม่ได้เข้าครัวเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้านายหนีกลับก่อนพนักงานอยู่ดี ความจริงมัสยาชื่นชมในตัวเจ้าของร้านที่ปฏิบัติเหมือนพนักงานทุกอย่าง หายากที่จะมีเจ้าของธุรกิจแบบนี้ แต่เป็นเพราะวันแรกเธอกับอีกฝ่ายก็สร้างวีรกรรมต่อกันทำให้มัสยาผูกใจเจ็บเจ้านายหนุ่มไม่หาย “ก็พูดไปโน่น ไปเถอะป่านนี้ป้าเราคงเตรียมกับข้าวไว้รอแล้ว” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินไปที่รถของมัสยาก็มีคนเดินออกมาจากร้านจึงได้รู้ว่าอิตาเจ้านายขี้เก๊กที่เพื่อนเธอเพิ่งนินทาไปหยก ๆ คือลูกชายคนโตของคุณประภพ “คุณมุกริน” “คุณภาสกร” ทั้งสองคนต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ แม้ว่ามัสยาจะเคยบอกว่าเธอทำงานที่ไหนแต่ก็ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อเจ้าของร้านให้ฟัง และถึงแม้เธอจะพอรู้จากคุณประภพว่าภาสกรผันตัวไปทำธุรกิจร้านอาหารแต่เธอก็ไม่ได้ขนาดจะจำชื่อร้านได้ ส่วนมัสยาเองก็ไม่เคยรู้จักภาสกรมา ประกอบกับมัสยามัวแต่ปรับตัวกับงานใหม่จึงไม่ได้สนใจเรื่องชื่อหรือนามสกุลของเจ้าของร้าน “เอ่อ คือมัสเป็นเพื่อนมุกน่ะค่ะ” มุกรินเห็นภาสกรทำสีหน้าสงสัยที่เห็นเธออยู่กับมัสยาจึงได้อธิบาย ส่วนมัสยาก็ตกใจมากที่เห็นเพื่อนกับเจ้านายคนใหม่รู้จักกัน “นี่แกรู้จักคุณภาสกรด้วยเหรอ” มัสยากระซิบถามแต่ถึงอย่างนั้นภาสกรก็ได้ยินเต็มสองหูว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงตัวเองอยู่ “คุณภาสกรเป็นลูกชายคนโตของคุณลุง” ฟังจากที่มุกรินพูดมัสยาก็เดาได้ทันทีว่าหมายถึงคุณประภพที่อุปการะมุกรินมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่ามัสยารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว “โลกกลมจังเลยนะครับที่คุณมุกเป็นเพื่อนกับพนักงานในร้านของผม” ภาสกรพูดต่อ มัสยาสังเกตเห็นสายตาเวลาที่ภาสกรมองมุกริน มันดูมีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งเธอก็เดาได้ไม่ยาก “นั่นสิคะ ยัยมัสเคยพูดถึงเจ้านายใหม่ให้ฟังเหมือนกันแต่มุกก็ไม่คิดว่าจะเป็นคุณภาสกร” “พนักงานผมพูดถึงผมยังไงบ้างเหรอครับ” ภาสกรมองไปยังพนักงานใหม่ของเขาด้วยความอยากรู้ แม้ภาสกรจะเป็นเจ้านายที่ไม่ได้ถือโทษโกรธลูกน้องและยิ่งไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่เขาก็พอรู้ว่ามัสยาไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่ มัสยาถึงกับต้องแอบหยิกแขนมุกรินที่ดันพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ขืนบอกว่าลับหลังเธอนินทาอะไรภาสกรไปบ้าง มีหวังเธอต้องถูกอิตาเจ้านายใจแคบนี่ไล่ออกจากงานแน่ ๆ “ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยัยมัสแค่พูดว่าเจ้าของร้านทำงานเนี๊ยบมาก” มุกรินรีบแก้ตัวให้เพื่อนเธอเสร็จสรรพ “อ้อ เหรอครับ” ภาสกรตอบรับด้วยรอยยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มที่มัสยาไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติในเวลางานภาสกรจะเป็นคนจริงจัง นอกจากลูกค้า เธอแทบจะไม่เห็นเขายิ้มให้ใครด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มที่มีต่อมุกรินก็ต่างออกไปอยู่ดี “แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันเหรอครับ” “ไปทำธุระค่ะ งั้นเราขอตัวนะคะ” มัสยาชิงตอบเพื่อตัดบทสนทนาก่อนจะดึงแขนมุกรินไปขึ้นรถ แม้มัสยาจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้านายคนใหม่ดันเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณของเพื่อน แต่สำหรับภาสกรกลับเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ขอให้มัสยาช่วยเป็นแม่สื่อแม่ชัก พอขึ้นมาบนรถได้มัสยาก็หันไปจ้องหน้ามุกรินราวกับว่าเธอเพิ่งทำความผิดร้ายแรงมาอย่างนั้นแหละ “แกจ้องหน้าฉันทำไม” มุกรินรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้มัสยารีบขอตัวออกมาจนแทบจะเรียกได้ว่าเสียมารยาท ประกอบกับสีหน้าไม่ชอบใจเป็นเพราะว่าเธอรู้จักกับเจ้านายคนใหม่นั่นเอง หนำซ้ำเมื่อครู่เธอยังเกือบจะหลุดปากพูดเรื่องก่อนหน้านี้ที่มัสยานินทาภาสกรเอาไว้ “ทำไมลูกชายของคุณลุงประภพแกถึงมาเป็นเจ้านายฉันได้เนี่ย” มัสยารู้ว่าไม่ใช่ความผิดของมุกรินสักนิดแต่เธอก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี “นั่น่ะสิ ทำไมโลกเราถึงได้กลมขนาดนี้นะ” มุกรินรู้พูดเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดี ทั้งที่มัสยามองเป็นความซวยเห็น ๆ คิดถึงวันแรกที่มาสมัครงานทีไรเธอก็รู้สึกโมโหทุกที “เชิญโลกกลมไปคนเดียวเลยย่ะ” มัสยาตอบอย่างประชด “นี่แกไม่ชอบคุณภาสกรขนาดนั้นเลยเหรอ” มุกรินหันไปถามเพื่อนด้วยสีหน้าอยากรู้เต็มประดา ตั้งแต่คบกันมาเธอไม่เคยเห็นมัสยาตั้งท่าเกลียดใครมาก่อน อีกอย่างภาสรก็ไม่น่าจะดูเป็นคนเลวร้ายอะไร ตรงกันข้ามมุกรินกลับรู้สึกว่าภาสกรดูเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งด้วยซ้ำ “อย่าเรียกว่าไม่ชอบ เรียกว่าเกลียดเลยแหละ” มัสยาตอบแบบทันควัน “แล้วทำไมแกยังทำงานให้เขา” “ก็ฉันแยกได้ระหว่างคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากับเงินทองไง” พูดจบมัสยาก็ขับรถออกไป แม้ฐานะทางบ้านเธอไม่ได้ยากจนข้นแค้นก็จริงแต่ภาระที่เธอต้องแบกรับ ความกดดันจากคนในครอบครัวที่เธอต้องรับผิดชอบทุกอย่างทำให้มัสยาคิดถึงเรื่องเงินก่อนเรื่องอื่น กว่ามัสยาจะขับรถมาถึงบ้านของมุกรินก็จวนมืดค่ำ พอรถจอดทั้งสองคนก็มองเห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ มุกรินรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นรถคันนี้ที่ไหนมาก่อนแต่ก็ไม่แน่ใจจึงรีบลงไปดู “ใครมาบ้านรถพี่ปรกหรือเปล่า” มัสยามองไปที่รถคันดังกล่าวพลางถามเพื่อนเพราะปกตินอกจากปริญญ์ก็ไม่มีใครมาที่บ้านเวลานี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD