ปล้นจูบ (80%)

1390 Words
“แน่จริงก็เก่งให้ตลอดสิทูนหัว” ชายหนุ่มเอ่ยท้าด้วยท่าทางเป็นต่อพร้อมเลิกคิ้วสูง กลิ่นสาบสาวหอมกรุ่นซึ่งลอยมาเตะจมูกทุกคราที่เธอขยับเขยื้อนกายออกอาการพยศ ทำให้เดเรคชักจะเปลี่ยนใจอยากลิ้มลอง ‘ของแปลก’ ขึ้นมาครามครัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าบ้านๆ จะทำให้เรือนกายทรงพลังตื่นตัวได้มากถึงเพียงนี้   “คุณมันน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้!” เสียงห้วนจัดด่าทอดังสนั่น พลางจ้องใบหน้าหล่อระเบิดระเบ้อราวกับจะจับเขาแยกชิ้นส่วน เพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังเดือดปุดๆ  “ก็คุณมันน่ารังแกนี่นาเบบี๋” แทนที่จะกราดเกรี้ยวเขากลับฉีกยิ้มกว้างยียวน แถมยังมีหน้ามาทำตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์จนเธออยากจะกรี๊ดออกมาให้ดังๆ   “ไอ้ผู้ชายบ้า ไอ้คนกวนประสาท ไอ้คนหล่อสติเฟื่อง!” คำก่นด่าในตอนท้ายที่ตีความหมายว่า ‘เพี้ยน’ ทำให้พ่อหนุ่มเพลย์บอยถึงกับฉุนกึก  “เป็นสาวเป็นนางหัดพูดจาให้มันไพเราะหน่อยสิทูนหัว ไม่ใช่คำก็ด่าสองคำก็ด่าแบบนี้…” เขายังไม่ทันกล่าวให้จบประโยคเสียงหวานก็ดังแทรกขึ้น  “คุณมันคน…” “จุๆๆ ผมยังพูดไม่จบ อย่าเพิ่งสวนสิยาหยี นี่ไม่ใช่สิ่งที่กุลสตรีพึงกระทำรู้ไหม” ปลายนิ้วกระด้างทว่าร้อนผ่าวจรดลงบนกลีบปากสีชมพูระเรื่อที่เจ่อนิดๆ เพราะฤทธิ์จูบของเขา ทำเอาร่างบางถึงกับสะท้านน้อยๆ หากแต่สร้างความพึงพอใจให้อีกฝ่ายอย่างประหลาดล้ำ “แค่โดน ‘นิ้ว’ ของผมคุณก็อึ้งจนพูดไม่ออกเลยเหรอสาวน้อย แล้วถ้าเป็น ‘ส่วนอื่น’ ล่ะ คุณไม่ตะลึงจนช็อกไปสามวันเจ็ดวันเลยหรืออย่างไร” ถ้อยคำที่เน้นไปในทางสองแง่สามง่าม ทำให้เจ้าของใบหน้าแดงก่ำนึกอยากจะซัดพ่อคนกวนประสาทให้คว่ำนัก   “เชิญคุณเอา ‘ส่วนอื่น’ ที่คุณแสนจะภาคภูมิใจ ไปนำเสนอกับคนอื่นเถอะย่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าโต้ตอบเสียงสะบัด เต็มไปด้วยความโมโหสุดขีด “ระวังนะ หวงเนื้อหวงตัวมากๆ อะไรๆ มันจะขึ้นสนิมเสียหมด เรือนร่างของผู้หญิงถูกสร้างมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ชายรู้ไหม” ในขณะที่อารดากำลังแทบเต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่นั้น เขากลับสำเริงสำราญกับการยียวนให้เธอสูญเสียการควบคุมตัวเอง นัยน์ตาสีเฮเซลส่อประกายรื่นรมย์จนน่าหมั่นไส้ “หื่นขึ้นสมอง!” เสียงหวานประณามดังลั่น พร้อมพยายามบิดข้อมือกลมกลึงทั้งคู่ให้หลุดพ้นจากพันธนาการแกร่งจนเป็นผลสำเร็จ   “ผู้ชายไม่หื่น ก็คงถูกจัดให้อยู่ในหมวดบุคคลไร้สมรรถภาพทางเพศ และคนอย่างผมก็ยังฟิตปั๋งชนิด ‘โด่ไม่รู้ล้ม’ ห่างไกลจากคำนั้นมากโขเลยจ้ะเบบี๋” คนโดนตีแสกหน้ายังคงยิ้มร่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ว่าเธอจะด่าทอและเหน็บแนมอะไรเขาก็สามารถตอบโต้ได้เสียหมด   อารดาเม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง ขณะเดียวกันนั้นสมองน้อยๆ ก็พยายามคิดหาคำด่าทออันเจ็บแสบ ทว่าก่อนที่สงครามน้ำลายจะยืดเยื้อและชวนปวดหัวมากไปกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดตาทัพเสียก่อน “นายครับ”  แล้ววิกเตอร์กับบอดี้การ์ดนับห้าชีวิตก็วิ่งมาหยุดลงตรงหน้าเจ้าพ่อหนุ่ม พร้อมด้วยอาวุธในมือครบครัน เหตุที่วิกเตอร์มาช้า เพราะคืนนี้เขาโดนสั่งห้ามไม่ให้ติดตามอย่างเด็ดขาด โดยเดเรคอ้างว่าอยากออกมาท่องราตรีเพียงลำพัง แต่สุดท้ายเลขาฯ หนุ่มก็อดขัดคำสั่งไม่ได้ เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจพิลึก จนมารู้จากตำรวจสายตรวจว่ามีคนวิ่งไล่ยิงกันในบริเวณนี้ พอเขาตามมาดูถึงได้แน่แก่ใจว่าผู้ที่โดนประทุษร้ายคือเจ้านายหนุ่มอย่างที่คาดการณ์เอาไว้นั่นเอง  “เก็บปืนของพวกแกซะ” น้ำเสียงทรงอำนาจออกคำสั่งประกาศิต ขณะปรายตามองเจ้าของร่างเพรียวระหงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเดเรคก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่เห็นความตระหนกฉายออกมาทางสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย น่าแปลกยิ่งนักที่ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวปืน  “นายได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ” วิกเตอร์ถามพลางมองเจ้านายหนุ่มสลับกับผู้หญิงแปลกหน้าอย่างงงๆ ก่อนที่อารดาจะขยับมายืนด้านหลัง เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน และที่สำคัญเธอจะชิ่งหนีทันทีที่มีโอกาส แต่ดูเหมือนว่าความหวังมันจะริบหรี่ เมื่อเขาคว้าเข้าที่ข้อมือกลมกลึง แล้วถึงได้เอ่ยตอบคำถามลูกน้อง  “ฉันปลอดภัยดี”   “ขอโทษครับที่พวกผมมาช้า” “มันไม่ใช่ความผิดของพวกแกหรอก เพราะฉันเป็นคนสั่งไม่ให้ใครติดตามเอง”  “แล้วคนร้าย…” ก่อนที่คนสนิทจะทันได้กล่าวออกมาให้จบประโยค เดเรคก็โบกมือเป็นเชิงห้ามปราม จากนั้นเขาก็หมุนกายมาหาอารดา “ผมขอคุยกับลูกน้องก่อนนะทูนหัว แล้วจะกลับมาสานต่อ ‘เรื่องของเรา’ ให้จบ รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนเด็ดขาด” คำสั่งของพ่อคนบ้าอำนาจทำให้แม่สาวหัวดื้อถึงกับฉุนกึก “อย่ามาโมเมนะ ฉันกับคุณ…เราไม่มีเรื่องอะไรจะสานต่อกันทั้งนั้นแหละ” อารดาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเหลืออด เพราะคำพูดพล่อยๆ นั้นทำให้ลูกน้องของเขามองเธอเป็นตาเดียวกัน  “เอ๊ะ…ผมบอกว่ามีก็มีสิ และคุณก็ต้องรอผม ไม่งั้นผมจะตามคุณไปถึงบ้านเลยเชียว” พ่อเจ้าประคุณแถไปเรื่อย เพราะยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมเขาจึงไม่อยากไปจากเธอในตอนนี้   “ชิ…คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงจะมาสั่งคนอย่างฉันได้” สาวแสบย่นจมูก และขมุบขมิบปากเข่นเขี้ยว ก่อนจะฉุนเฉียวหนักเมื่อเขาเอ่ยสำทับอีกครา “ห้ามไปไหนนะ เพราะถ้าไม่รอ คุณจะไม่ได้รองเท้าสวยๆ คู่นี้คืน” เหตุที่หยิบยกเอารองเท้าขึ้นมาข่มขู่ เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงทุกคนคงจะรักและบ้ารองเท้าไม่ต่างกัน   จากนั้นพ่อหนุ่มจอมโอหังที่ถือรองเท้าในมือก็กลับหลังหัน แล้วเรียกลูกน้องไปคุยถึงเรื่องของคนร้ายตรงริมถนน ซึ่งห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่พอสมควร เดเรคไม่ลืมสั่งให้คนของตนไปจัดการลากคอไอ้ชาติชั่วที่คิดจะลูบคมเขามาสั่งสอนให้หลาบจำและรู้สำนึก ว่าอย่าบังอาจมาเล่นนอกกติกาแบบหมาหมู่กับคนอย่างเดเรค เบอร์ยาน็อฟสกี้ ตบท้ายด้วยการสั่งให้ลูกน้องไปรอที่หน้าปากซอย เพราะคิดว่าคนร้ายคงไม่หวนกลับมาอีกแล้ว    ฝ่ายอารดานั้นยอมกัดฟันสละรองเท้าคู่สวยที่เพิ่งซื้อมา แม้ว่ารู้สึกเสียดายเงินอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่คิดจะรออย่างที่พ่อคนเผด็จการออกคำสั่ง เพราะสาวเชยแต่มีสมองไม่ชอบให้ใครมาบงการชีวิตอยู่แล้ว พอเขาหันไปให้ความสนใจกับลูกน้อง เธอก็จ้ำอ้าวเท่าที่สังขารจะอำนวย ด้วยเกรงว่าพ่อคนกวนประสาทจะตามมาราวีอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเธอเสียแล้ว “เฮ้…จะรีบไปไหนล่ะยาหยี เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ” เดเรควิ่งตามร่างอ้อนแอ้นมาจนเกือบจะถึงท้ายซอยเลยทีเดียว ชายหนุ่มนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่จริงเขาควรจะไปจากเธอตั้งนานแล้วเสียด้วยซ้ำ ทว่าหนุ่มเพลย์บอยตัวร้ายกลับอยากจะยื้อเวลาให้ได้อยู่กับอีกฝ่ายให้นานเท่านานอย่างน่าประหลาด  เมื่อไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ อารดาจึงกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน ก่อนจะจำใจหันขวับกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น ดวงหน้าหวานใสหงิกงอเป็นม้าหมากรุก  “ดีใจมากเหรอที่ผมตามมา ถึงได้ทำหน้าแบบนั้น” พ่อคนหลงตัวเองเลิกคิ้วยวนยั่ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD